คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“ในหลวง-พระราชินี” ส่งพระราชสาส์นเสียพระราชหฤทัยเหตุแผ่นดินไหวที่นิวซีแลนด์ ขณะที่ 6 นศ.ไทย ยังไม่รู้ชะตากรรม!

เมื่อวันที่ 22 ก.พ. เวลาประมาณ 06.00น. ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงที่เมืองไครส์เชิร์ช เมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศนิวซีแลนด์ วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.3 ริกเตอร์โดยจุดศูนย์กลางอยู่ใต้ดินลึก 4 กม.ห่างจากเมือง 5 กม. แรงสั่นสะเทือนทำให้อาคารบ้านเรือนพังเสียหายจำนวนมาก และทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากเช่นกัน
สำหรับสาเหตุที่แผ่นดินไหวครั้งนี้ก่อความเสียหายจำนวนมาก เนื่องจากพื้นที่ที่เกิดแผ่นดินไหว เคยเกิดแผ่นดินไหวมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยครั้งนั้นวัดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 7.1 ริกเตอร์ แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งนั้นไม่ได้ทำให้อาคารบ้านเรือนพังหรือถล่ม มีเพียงอาคารแตกร้าวเท่านั้น แต่เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวซ้ำในครั้งนี้ อาคารที่แตกร้าวอยู่แล้วจึงพังถล่มลงมาทันที โดยล่าสุด จนถึงวันนี้(26 ก.พ.) พบผู้เสียชีวิตแล้ว 145 ราย และยังมีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคารอีกจำนวนมาก ซึ่งมีคนไทยด้วยอย่างน้อย 6 ราย เป็นนักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เดินทางไปอบรมที่นิวซีแลนด์ เบื้องต้นทราบว่าติดอยู่ใต้ซากอาคารซีทีวีที่พังถล่มลงมา ส่วนนักศึกษาไทยอีก 5 รายรอดชีวิตมาได้
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง ส่งพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังผู้สำเร็จราชการแห่งนิวซีแลนด์เมื่อวันที่ 24 ก.พ.กรณีเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมืองไครสต์เชิร์ช ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
นอกจากเหตุแผ่นดินไหวที่เมืองไครส์เชิร์ชที่มีคนไทยได้รับผลกระทบแล้ว ยังมีเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงที่ประเทศลิเบียที่ส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพของคนไทยที่นั่นด้วยเช่นกัน เพราะหลังเกิดเหตุการณ์ประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีโมอัมมาร์ กัดดาฟี เขาก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปราบผู้ประท้วงอย่างรุนแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนับพันคน โดยคาดว่ายอดผู้เสียชีวิตอาจสูงถึง 200 คน ขณะที่ทางการลิเบียพยายามสกัดไม่ให้ผู้สื่อข่าวต่างชาติเดินทางเข้าไปรายงานข่าวในประเทศ พร้อมสั่งปิดการให้บริการอินเตอร์เน็ตทั้งหมดในกรุงตริโปลีและเบงกาซี เพื่อรับมือการชุมนุมประท้วง โดยเริ่มใช้มาตรการเด็ดขาดในการปราบปรามผู้ชุมนุมมาตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ. ไม่ว่าจะเป็นการใช้กระสุนจริงยิงเข้าใส่ การวางกำลังพลแม่นปืนหรือสไนเปอร์ระดมยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมที่เดินขบวนไปตามท้องถนนแบบไม่เลือกหน้า จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
สำหรับการช่วยเหลือแรงงานไทยในลิเบีย ซึ่งมีอยู่ประมาณ 23,600 คนนั้น นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ อธิบดีกรมการจัดหางาน ได้เชิญบริษัทที่จัดส่งแรงงานไปต่างประเทศ 30 ราย ประชุม(21 ก.พ.) เพื่อเตรียมพร้อมช่วยเหลือแรงงานไทยในลิเบียและตะวันออกกลาง ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์ พบว่า แรงงานส่วนใหญ่ยังปลอดภัย แต่ได้รับรายงานว่ามีแรงงานเวียดนามเสียชีวิต 1 ราย ขณะที่บางพื้นที่ในลิเบียยังสามารถปฏิบัติงานได้ เนื่องจากนายจ้างไม่ได้สั่งให้หยุดงาน แต่ในเขตการชุมนุมประท้วงอย่างเบงกาซีและตริโปลีนั้น นายจ้างสั่งหยุดงานทั้งหมดและให้คนงานหลบอยู่ในแคมป์ที่พัก หากออกมาข้างนอกอาจถูกปล้นสะดมได้
ล่าสุด วันนี้(26 ก.พ.) กระทรวงแรงงานได้ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ในการช่วยเหลือแรงงานไทยในลิเบียให้ได้เดินทางกลับประเทศแล้วจำนวน 33 คน นับเป็นชุดแรกที่ได้เดินทางกลับ ทั้งนี้ หลังกลับถึงสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อเช้าวันนี้ กระทรวงแรงงานได้มอบเงินค่าเดินทางกลับบ้านให้รายละ 2 พันบาท พร้อมแนะให้แรงงานไทยที่กลับมา ไปยื่นคำร้องที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดเพื่อรับเงินช่วยเหลือรายละ 15,000 บาท ส่วนแรงงานที่ยังตกค้างอยู่ในลิเบีย จะเร่งอพยพกลับประเทศโดยด่วน
2.อาเซียน มีมติส่งทหารคุมชายแดนไทย-กัมพูชา ป้องกันปะทะซ้ำ ด้านเขมร คุย เข้าทาง พร้อมฟ้องศาลโลก หากอาเซียนแก้ปัญหาไม่ได้!

ความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอสซี)เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ได้เชิญตัวแทนฝ่ายไทยและกัมพูชาเข้าชี้แจงเหตุปะทะของทั้ง 2 ประเทศที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยยูเอ็นเอสซีมีมติเรียกร้องให้คู่กรณีใช้ความอดทนอดกลั้น และหยุดยิงถาวร รวมทั้งสนับสนุนให้อาเซียนเข้ามามีบทบาทในการคลี่คลายความขัดแย้ง ซึ่งอาเซียนมีกำหนดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศในวันที่ 22 ก.พ. แต่ก่อนจะถึงกำหนดดังกล่าว มีข่าวว่า ผู้นำทางทหารของไทย-กัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยนำโดย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก ส่วนฝ่ายกัมพูชามี พล.ท.ฮุนมาเน็ต บุตรชายสมเด็จฯ ฮุน เซน ได้พบหารือและลงนามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกันแล้วเมื่อวันที่ 19 ก.พ.
อย่างไรก็ตาม นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมายืนยันว่า ทหารระดับสูงของไทยและกัมพูชาไม่ได้ลงนามข้อตกลงหยุดยิง แค่เห็นร่วมกันว่าจะหยุดยิง จากนั้นทั้งสองฝ่ายจะรายงานให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(เจบีซี)ได้ทราบ เพื่อเจรจาหารือกันต่อไป โดยก่อนหน้านี้ นายอัษฎา ชัยนาม ประธานเจบีซีฝ่ายไทย ได้ทำหนังสือเชิญกัมพูชาประชุมเจบีซีที่ กทม.ในวันที่ 27 ก.พ. แต่กัมพูชายังไม่ได้ให้คำตอบ นายกษิต ยังยืนยันด้วยว่า การที่ยูเอ็นเอสซีหนุนให้อาเซียนเข้ามามีบทบาทในการคลี่คลายปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ไม่ใช่การยกระดับปัญหา แต่เป็นเรื่องที่ยูเอ็นเอสซีส่งกลับมาที่อาเซียน ซึ่งอาเซียนจะเป็นเพียงพี่เลี้ยงให้การเจรจาของทั้ง 2 ฝ่ายคืบหน้าไปได้
นายกษิต บอกด้วยว่า ไทยจะขอให้อินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียนส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาประจำอยู่กับทหารไทยตามแนวชายแดน เพื่อพิสูจน์ว่าไทยไม่ต้องการให้เกิดสงคราม และไม่เคยยิงกัมพูชาก่อน ทั้งนี้ คำพูดนายกษิตถือว่าเข้าทางความต้องการของกัมพูชา โดยนายฮอ นัมฮง รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา บอกว่า “นี่เป็นผลของการร้องเรียนของเราต่อยูเอ็นเอสซี เพราะเราได้ขอให้ยูเอ็นเอสซีส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดนเพื่อเป็นหลักประกันในการหยุดยิงและเพื่อสังเกตการณ์ว่าใครเป็นผู้รุกรานกันแน่ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกัน”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ฝ่ายไทยได้พยายามชี้แจงให้นานาชาติเข้าใจว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงใส่ไทยก่อน โดย พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล รองเสนาธิการทหารบก ได้นำผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทยรวม 14 ประเทศ ลงพื้นที่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษเมื่อวันที่ 21 ก.พ. เพื่อดูความเสียหายของบ้านเรือนประชาชน รวมถึงโรงเรียนและวัด ซึ่งเป็นผลจากการถูกกระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชา ซึ่งคณะผู้ช่วยทูตทหารให้ความสนใจและใช้กล้องบันทึกภาพไว้อย่างละเอียด
สำหรับผลประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่มีทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศไทยและกัมพูชาเข้าร่วมด้วยเมื่อวันที่ 22 ก.พ.นั้น นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บอกว่า ได้ข้อสรุปว่า ทั้งไทยและกัมพูชาต่างให้คำมั่นต่อกัน รวมทั้งให้ความมั่นใจต่ออาเซียนและประชาคมโลกด้วยว่าจะไม่ให้เกิดการปะทะกัน นอกจากนี้ทั้งสองประเทศยังตกลงให้มีทหารจากประเทศอินโดนีเซียเข้าสังเกตการณ์ในพื้นที่ของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายละ 15 คน รวมทั้งเห็นพ้องว่า จะยังคงใช้การเจรจาในกรอบทวิภาคีแก้ปัญหาต่อไป ทั้งการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(เจบีซี) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา(จีบีซี) ที่จะประชุมที่อินโดนีเซีย โดยอินโดนีเซียจะเชิญไทยและกัมพูชาเข้าร่วม
ด้านนายฮอ นัมฮง รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ได้พูดทำนองเกทับไทยว่า การที่ไทยเห็นด้วยกับข้อเสนอของกัมพูชาที่ให้อาเซียนมาช่วยเจรจา หลังจากก่อนหน้านี้ไทยต้องการเจรจาทวิภาคีอย่างเดียว ถือว่าไทยเดินตามการทูตของกัมพูชา และถือว่าการเจรจาทวิภาคีปิดฉากลงแล้ว “หากอาเซียนไม่สามารถแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนได้ กัมพูชาก็มีแผนสองรองรับแล้ว โดยเตรียมว่าจ้างทนายความต่างชาติจำนวน 3 คน เป็นชาวอังกฤษ ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย เพื่อยื่นหนังสือต่อศาลโลก ขอให้ศาลโลกอ่านคำพิพากษา พ.ศ.2505 อีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเรายื่นฟ้องให้ตัดสินใหม่ แต่อยากให้ศาลโลกยืนยันคำตัดสินให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับปัญหานี้”
ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บอกว่า กัมพูชามีสิทธิยื่นเรื่องต่อศาลโลกได้ ซึ่งไทยก็เตรียมคณะที่จะไปต่อสู้คดีเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เพื่อไม่ให้ฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำ พร้อมยืนยัน คำพิพากษาของศาลโลกไม่ได้พิจารณาเรื่องแผนที่ แต่เป็นเรื่องพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งจุดยืนของไทย ยังยึดอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1904 ที่ระบุชัดเจนว่า ให้เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาบริเวณเขาพระวิหารเป็นไปตามแนวสันปันน้ำ ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ไทยใช้อยู่ในเจบีซี
ทั้งนี้ นอกจากยูเอ็นเอสซีและอาเซียนจะเข้ามามีบทบาทเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาแล้ว ยังมีองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งประชาชาติ(ยูเนสโก)ด้วย โดยก่อนหน้านี้ยูเนสโกได้ตั้งผู้แทนพิเศษเพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายของปราสาทพระวิหาร หลังเกิดการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา แต่ล่าสุด นายโคอิชิโร มัตสึอุระ ผู้แทนพิเศษของยูเนสโกได้เดินทางมาไทย และเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ก.พ. หลังเข้าพบ นายอภิสิทธิ์ เผยว่า ผู้แทนพิเศษของยูเนสโกมาพบเพื่อรับทราบข้อมูลและมุมมองของทั้ง 2 ประเทศเกี่ยวกับปัญหามรดกโลก โดยหนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีคลี่คลายสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนกรณีที่กัมพูชาจะเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารต่อคณะกรรมการมรดกโลกนั้น นายอภิสิทธิ์ บอกว่า เป็นหลักการของมรดกโลกอยู่แล้วว่า เมื่อยังไม่มีเขตแดนที่ชัดเจน การบริหารจัดการพื้นที่จะไม่ค่อยสอดคล้องกับความเป็นจริงและหลักการทำงานของยูเนสโกอยู่แล้ว ซึ่งไทยต้องการให้เรื่องเขตแดนชัดเจนก่อน คิดว่ายูเนสโกเข้าใจจุดยืนของไทย
ส่วนความคืบหน้าการต่อสู้คดีของนายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ผู้สื่อข่าวเอฟเอ็มทีวี เครือข่ายสันติอโศก ที่ถูกศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุก 8 ปี และ 6 ปีตามลำดับ ฐานรุกล้ำดินแดนกัมพูชาและจารกรรมข้อมูล ทั้งที่ทั้งสองยืนยันว่าถูกทหารกัมพูชาจับในขณะที่อยู่ในดินแดนไทยนั้น ล่าสุด วันนี้(26 ก.พ.) มีข่าวว่า ทั้งสองตัดสินใจไม่อุทธรณ์คดี และได้ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมายืนยันว่า นายวีระและ น.ส.ราตรี ได้ลงนามในเอกสารขอพระราชทานอภัยโทษเรียบร้อยแล้ว
ด้านนายปรีชา สมความคิด น้องชายนายวีระ บอกว่า ยังไม่ทราบเรื่องที่นายวีระเซ็นหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะครอบครัวได้พบนายวีระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 ก.พ. จากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีก และว่า ครอบครัวตนและครอบครัว น.ส.ราตรี ได้พยายามติดต่อขอเข้าเยี่ยมบุคคลทั้งสองผ่านสถานทูตไทยประจำกัมพูชาเมื่อวันที่ 21 และ 25 ก.พ. แต่ถูกสถานทูตปฏิเสธ โดยอ้างว่าทางการกัมพูชาไม่อนุญาต ซึ่งตนและครอบครัวรู้สึกแปลกใจมากที่ถูกปฏิเสธโดยไม่ได้รับคำชี้แจงใดใดมากกว่านี้
3. ศาล ให้ประกันตัว 7 แกนนำ นปช.แล้ว แต่ห้ามปลุกระดม-ออกนอกประเทศ ด้านรัฐบาล ต่ออายุ พ.ร.บ.มั่นคงฯ อีก 1 เดือน !

ความเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดง หรือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) โดยเฉพาะ 7 แกนนำ และอีก 1 แนวร่วมที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ในคดีก่อการร้าย ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง ,นายนิสิต สินธุไพร ,นายขวัญชัย ไพรพนา ,นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ,นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และนายภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุจินดาทอง ซึ่งทั้ง 8 ได้ยื่นขอต่อศาลอาญาให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 6 แสนบาท และศาลได้นัดไต่สวนพยานเมื่อวันที่ 21 ก.พ.นั้น
ปรากฏว่า พยานที่เข้าให้การ นอกจากจะมีนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.แล้ว ยังมี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 , นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ และ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีที่ริเริ่มโครงการเดินสายปรองดอง
ทั้งนี้ พล.ต.ต.วิชัย เบิกความว่า ตนได้รับมอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นตัวแทนประสานงานกับแกนนำ นปช.ในการดูแลการชุมนุม ยืนยันว่า ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมืออย่างดีทั้งการหลีกเลี่ยงเส้นทางและการกีดขวางการจราจร รวมทั้งไม่พบการสะสมอาวุธในพื้นที่ชุมนุม
ขณะที่นายคณิต ณ นคร เบิกความว่า ได้ทำข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีว่า การได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่ถ้าเป็นความผิดร้ายแรง อาจคุมขังได้ตามสมควร สำหรับแกนนำคนเสื้อแดงนั้น ตนเห็นว่ามีความจำเป็นต้องได้รับการปล่อยตัว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อเหตุ อาจจะทำให้เกิดการปรองดองสมานฉันท์
ด้าน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ก็เบิกความหนุนให้ปล่อยตัวชั่วคราว 7 แกนนำ นปช.เช่นกัน โดยบอกว่า “ถ้าได้แกนนำ นปช.ทั้ง 7 คนมาร่วมแนวทางปรองดองกับผม ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่ถ้าออกมาแล้วก่อความวุ่นวาย ผมคงไม่กล้าที่จะมาเป็นพยานในศาลวันนี้”
ขณะที่นายวีระ มุสิกพงศ์ เบิกความว่า หาก 7 แกนนำ นปช.ได้รับการประกันตัว เชื่อว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ไม่หลบหนี และคิดว่าการปล่อยตัวชั่วคราว จะเป็นการสร้างความปรองดองให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขมากกว่า
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เบิกความยืนยันว่า นปช.ชุมนุมโดยยึดหลักสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรงในการต่อสู้ โดยตนและแกนนำ นปช.เข้ามอบตัว หลังประกาศยุติการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 และพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นายณัฐวุฒิ ยังให้เหตุผลที่พวกตนควรได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวด้วยว่า “ที่ผ่านมา แกนนำ นปช.ไม่มีพฤติกรรมหลบหนี ไม่คิดไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หากได้รับการปล่อยตัว เพราะคดีดังกล่าวศาลกำลังนัดตรวจหลักฐาน อีกทั้งแกนนำ นปช.ทั้ง 7 คน มีครอบครัวต้องดูแล มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มีตำแหน่งหน้าที่การงานมั่นคง เช่น ตนเคยเป็นโฆษกรัฐบาล นายนิสิต (สินธุไพร) เคยเป็น ส.ส.4 สมัย นายวิภูแถลง (พัฒนภูมิไทย) เคยเป็นข้าราชการครู”
ด้านศาลพิจารณาหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว 7 แกนนำ และ 1 แนวร่วม นปช. โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากมีข้อเท็จจริงบางประการที่จะให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม(ที่ไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว)ได้ โดยตีราคาประกันคนละ 6 แสนบาท ทั้งนี้ ศาลมีเงื่อนไขห้ามจำเลยไปปลุกระดม ยั่วยุ ให้เกิดความวุ่นวายหรือความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง และห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง 7 แกนนำ นปช.ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. รวมทั้งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต่างประกาศเป็นเสียงเดียวกันว่า หลังจากนี้จะเดินสายไปยังศาลทุกจังหวัดที่มีคนเสื้อแดงถูกคุมขังอยู่ เพื่อให้คนเสื้อแดงทุกคนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเช่นกัน ไม่เท่านั้น นายจตุพร ยังบอกด้วยว่า จะหารือกับคนเสื้อแดงที่ยังหลบหนีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ,นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ,พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ,นายอดิศร เพียงเกษ และนายอารีย์ ไกรนรา (หัวหน้าการ์ด นปช.) เพื่อเข้ามอบตัวและหวังว่าจะได้รับการประกันตัว โดยมั่นใจว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จก่อนที่คนเสื้อแดงจะจัดคอนเสิร์ตใหญ่รับขวัญ 7 แกนนำ นปช.ที่โบนันซ่า เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ในวันที่ 26 มี.ค.แน่นอน
ด้านนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ รักษาการโฆษก นปช. พูดถึงการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 12 มี.ค.ว่า เพื่อรำลึกครบรอบ 1 ปีการเคลื่อนพลทั้งแผ่นดินของคนเสื้อแดง แต่จะปรับเปลี่ยนสถานที่ชุมนุมเป็นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในเวลา 15.00น.เพียงแห่งเดียว ไม่เคลื่อนไปไหน โดยจะมีแกนนำ นปช.ทั้ง 7 คนร่วมปราศรัยด้วย เนื่องจากเงื่อนไขของศาล คือสั่งห้ามยุยงปลุกปั่น และห้ามออกนอกประเทศ แต่ไม่ได้ห้ามเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและขับไล่รัฐบาล
ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปักหลักชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลาออก เพื่อรับผิดชอบกรณีที่ล้มเหลวในการแก้ปัญหา ปล่อยให้กัมพูชารุกล้ำและยึดครองดินแดนไทย ทำให้สถานการณ์ตึงเครียด จนทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกัน กระทั่งมีทหารและประชาชนเสียชีวิต ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว ตำรวจได้ออกหมายเรียก 10 แกนนำพันธมิตรฯ ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาฐานฝ่าฝืน พ.ร.บ.มั่นคงฯ ที่ห้ามเข้าหรือออกจากเขตที่กำหนด ในวันที่ 22 ก.พ. โดยผู้ถูกออกหมายเรียก ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ,นายสนธิ ลิ้มทองกุล ,นายประพันธ์ คูณมี ,นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ,นายรักษ์ รักษ์พงษ์ ,นายสุริยะใส กตะศิลา ,นายเทิดภูมิ ใจดี ,นายพิภพ ธงไชย ,นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือนายรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี และนายทศพล แก้วทิมา นั้น
ปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนด(22 ก.พ.) แกนนำพันธมิตรฯ ที่ถูกออกหมายเรียกได้เข้าพบพนักงานสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล หลังจากนั้น นายสนธิ ได้เป็นตัวแทนผู้ที่ถูกออกหมายเรียกทั้ง 10 โดยปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจะยื่นคำให้การภายใน 30 วัน
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ ได้เข้าฟ้องต่อศาลแพ่งว่า นายกรัฐมนตรี-คณะรัฐมนตรี และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ในพื้นที่ 7 เขตโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากยังไม่มีเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง จึงขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือสั่งเพิกถอนประกาศดังกล่าว ซึ่งศาลได้นัดไต่สวน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในวันที่ 28 ก.พ.นี้ นายสุวัตร บอกด้วยว่า หากศาลแพ่งไม่สั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือสั่งเพิกถอนประกาศดังกล่าว พันธมิตรฯ จะยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
ด้านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(22 ก.พ.) ได้มีมติขยายเวลาประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ที่จะครบกำหนดในวันที่ 23 ก.พ.ออกไปอีก 30 วัน(ตั้งแต่ 24 ก.พ.-25 มี.ค.) โดยครอบคลุมพื้นที่ 7 เขตเหมือนเดิม คือ เขตวังทองหลาง ,ปทุมวัน ,ราชเทวี ,ดุสิต ,วัฒนา ,ป้อมปราบศัตรูพ่าย และพระนคร แม้ว่าทางศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) จะเสนอให้ลดการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ เหลือเพียง 4 เขตก็ตาม แต่มีรายงานว่า รัฐมนตรีหลายคนในที่ประชุม ครม.ไม่เห็นด้วยกับการลดพื้นที่ เนื่องจากในวันที่ 12 มี.ค. จะมีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง
4. ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด “ชินณิชา”หลานทักษิณ ปกปิดบัญชีหนี้สิน 100 ล้าน ด้านเจ้าตัว โวย ชี้ขาดช่วงใกล้เลือกตั้ง!

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. นายอภินันทน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เผยว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิด น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวนายสมชาย และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ตามที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ
ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบบัญชีที่ น.ส.ชินณิชายื่นต่อ ป.ป.ช.ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.เชียงใหม่เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2551 พบว่า น.ส.ชินณิชาไม่ได้ยื่นแสดงรายการหนี้สินในส่วนเงินกู้ยืมจากนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเงิน 100 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว น.ส.ชินณิชาเคยยื่นขอให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) เพิกถอนการอายัด แต่ต่อมา น.ส.ชินณิชา ได้ยื่นแสดงรายการหนี้สินดังกล่าวต่อ ป.ป.ช.เพิ่มเติมในวันที่ 31 ต.ค.2551 หรือ 8 เดือนหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.แล้ว โดยอ้างว่า ตนเข้าใจคลาดเคลื่อนโดยสุจริตว่ายังไม่จำเป็นต้องยื่นบัญชีหนี้สินดังกล่าว เพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ คตส.
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า คำอ้างของ น.ส.ชินณิชาฟังไม่ขึ้น เนื่องจากการยื่นบัญชีหนี้สินดังกล่าวในภายหลัง เป็นการยื่นหลังจากมีข่าวปรากฏทางสื่อมวลชนแล้วว่า น.ส.ชินณิชายังไม่ได้ยื่น นอกจากนี้ การที่ น.ส.ชินณิชาอ้างว่า คิดว่ายังไม่จำเป็นต้องยื่นเพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ คตส.นั้น ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เพราะในขณะที่ น.ส.ชินณิชาไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีหนี้สิน 100 ล้านบาทดังกล่าว แต่ น.ส.ชินณิชากลับมีการยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินในส่วนของเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาถนนรัชดาภิเษกจำนวน 6.8 ล้านบาทเศษต่อ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากที่ยื่นขอให้ คตส.เพิกถอนการอายัด โดยเป็นส่วนหนึ่งของเงิน 100 ล้านบาทที่ถูก คตส.อายัดไว้เช่นกัน ไม่เท่านั้น น.ส.ชินณิชา ยังได้ยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินในส่วนของเงินที่ให้บริษัท วาย ชินวัตร จำกัด กู้ยืมอีกเป็นจำนวน 10 ล้านบาทต่อ ป.ป.ช. ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเงิน 100 ล้านบาทที่กู้ยืมมาจากนายบรรณพจน์และถูก คตส.อายัดอยู่เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติว่า น.ส.ชินณิชาจงใจยื่นแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ และหลังจากนี้จะยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อวินิจฉัยให้ น.ส.ชินณิชาพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี และขอให้ลงโทษทางอาญาตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 ด้วย
ด้าน น.ส.ชินณิชา บอกว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดของเรื่องดังกล่าว และยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งจาก ป.ป.ช.อย่างเป็นทางการ พร้อมยืนยันว่าไม่รู้สึกตกใจ แต่แปลกใจ เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งนานมากแล้ว และแปลกใจที่เมื่อใกล้เลือกตั้งแล้วมีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณา ส่วนจะต่อสู้อย่างไรต่อไปนั้น ขอดูรายละเอียดก่อน
ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ในฐานะที่ยื่นเรื่องดังกล่าวให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ พูดถึงการทำงานของ ป.ป.ช.ว่า หลายเรื่องยังช้า ยังมีเรื่องค้างอยู่ที่ ป.ป.ช.จำนวนมาก “ผมจึงเสนอมาด้วยความเคารพและหวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการทำงานของ ป.ป.ช.บ้าง ขอให้ช่วยเร่งสอบสวนคดีเอสเอ็มเอสของนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ผมได้ทักท้วงไป เพราะเห็นว่าน่าจะเข้าข่ายมาตรา 103 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉะนั้นจึงควรเร่งทำให้ประจักษ์”
1.“ในหลวง-พระราชินี” ส่งพระราชสาส์นเสียพระราชหฤทัยเหตุแผ่นดินไหวที่นิวซีแลนด์ ขณะที่ 6 นศ.ไทย ยังไม่รู้ชะตากรรม!
เมื่อวันที่ 22 ก.พ. เวลาประมาณ 06.00น. ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงที่เมืองไครส์เชิร์ช เมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศนิวซีแลนด์ วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.3 ริกเตอร์โดยจุดศูนย์กลางอยู่ใต้ดินลึก 4 กม.ห่างจากเมือง 5 กม. แรงสั่นสะเทือนทำให้อาคารบ้านเรือนพังเสียหายจำนวนมาก และทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากเช่นกัน
สำหรับสาเหตุที่แผ่นดินไหวครั้งนี้ก่อความเสียหายจำนวนมาก เนื่องจากพื้นที่ที่เกิดแผ่นดินไหว เคยเกิดแผ่นดินไหวมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยครั้งนั้นวัดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 7.1 ริกเตอร์ แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งนั้นไม่ได้ทำให้อาคารบ้านเรือนพังหรือถล่ม มีเพียงอาคารแตกร้าวเท่านั้น แต่เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวซ้ำในครั้งนี้ อาคารที่แตกร้าวอยู่แล้วจึงพังถล่มลงมาทันที โดยล่าสุด จนถึงวันนี้(26 ก.พ.) พบผู้เสียชีวิตแล้ว 145 ราย และยังมีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคารอีกจำนวนมาก ซึ่งมีคนไทยด้วยอย่างน้อย 6 ราย เป็นนักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เดินทางไปอบรมที่นิวซีแลนด์ เบื้องต้นทราบว่าติดอยู่ใต้ซากอาคารซีทีวีที่พังถล่มลงมา ส่วนนักศึกษาไทยอีก 5 รายรอดชีวิตมาได้
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง ส่งพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังผู้สำเร็จราชการแห่งนิวซีแลนด์เมื่อวันที่ 24 ก.พ.กรณีเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมืองไครสต์เชิร์ช ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
นอกจากเหตุแผ่นดินไหวที่เมืองไครส์เชิร์ชที่มีคนไทยได้รับผลกระทบแล้ว ยังมีเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงที่ประเทศลิเบียที่ส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพของคนไทยที่นั่นด้วยเช่นกัน เพราะหลังเกิดเหตุการณ์ประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีโมอัมมาร์ กัดดาฟี เขาก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปราบผู้ประท้วงอย่างรุนแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนับพันคน โดยคาดว่ายอดผู้เสียชีวิตอาจสูงถึง 200 คน ขณะที่ทางการลิเบียพยายามสกัดไม่ให้ผู้สื่อข่าวต่างชาติเดินทางเข้าไปรายงานข่าวในประเทศ พร้อมสั่งปิดการให้บริการอินเตอร์เน็ตทั้งหมดในกรุงตริโปลีและเบงกาซี เพื่อรับมือการชุมนุมประท้วง โดยเริ่มใช้มาตรการเด็ดขาดในการปราบปรามผู้ชุมนุมมาตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ. ไม่ว่าจะเป็นการใช้กระสุนจริงยิงเข้าใส่ การวางกำลังพลแม่นปืนหรือสไนเปอร์ระดมยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมที่เดินขบวนไปตามท้องถนนแบบไม่เลือกหน้า จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
สำหรับการช่วยเหลือแรงงานไทยในลิเบีย ซึ่งมีอยู่ประมาณ 23,600 คนนั้น นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ อธิบดีกรมการจัดหางาน ได้เชิญบริษัทที่จัดส่งแรงงานไปต่างประเทศ 30 ราย ประชุม(21 ก.พ.) เพื่อเตรียมพร้อมช่วยเหลือแรงงานไทยในลิเบียและตะวันออกกลาง ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์ พบว่า แรงงานส่วนใหญ่ยังปลอดภัย แต่ได้รับรายงานว่ามีแรงงานเวียดนามเสียชีวิต 1 ราย ขณะที่บางพื้นที่ในลิเบียยังสามารถปฏิบัติงานได้ เนื่องจากนายจ้างไม่ได้สั่งให้หยุดงาน แต่ในเขตการชุมนุมประท้วงอย่างเบงกาซีและตริโปลีนั้น นายจ้างสั่งหยุดงานทั้งหมดและให้คนงานหลบอยู่ในแคมป์ที่พัก หากออกมาข้างนอกอาจถูกปล้นสะดมได้
ล่าสุด วันนี้(26 ก.พ.) กระทรวงแรงงานได้ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ในการช่วยเหลือแรงงานไทยในลิเบียให้ได้เดินทางกลับประเทศแล้วจำนวน 33 คน นับเป็นชุดแรกที่ได้เดินทางกลับ ทั้งนี้ หลังกลับถึงสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อเช้าวันนี้ กระทรวงแรงงานได้มอบเงินค่าเดินทางกลับบ้านให้รายละ 2 พันบาท พร้อมแนะให้แรงงานไทยที่กลับมา ไปยื่นคำร้องที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดเพื่อรับเงินช่วยเหลือรายละ 15,000 บาท ส่วนแรงงานที่ยังตกค้างอยู่ในลิเบีย จะเร่งอพยพกลับประเทศโดยด่วน
2.อาเซียน มีมติส่งทหารคุมชายแดนไทย-กัมพูชา ป้องกันปะทะซ้ำ ด้านเขมร คุย เข้าทาง พร้อมฟ้องศาลโลก หากอาเซียนแก้ปัญหาไม่ได้!
ความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอสซี)เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ได้เชิญตัวแทนฝ่ายไทยและกัมพูชาเข้าชี้แจงเหตุปะทะของทั้ง 2 ประเทศที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยยูเอ็นเอสซีมีมติเรียกร้องให้คู่กรณีใช้ความอดทนอดกลั้น และหยุดยิงถาวร รวมทั้งสนับสนุนให้อาเซียนเข้ามามีบทบาทในการคลี่คลายความขัดแย้ง ซึ่งอาเซียนมีกำหนดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศในวันที่ 22 ก.พ. แต่ก่อนจะถึงกำหนดดังกล่าว มีข่าวว่า ผู้นำทางทหารของไทย-กัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยนำโดย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก ส่วนฝ่ายกัมพูชามี พล.ท.ฮุนมาเน็ต บุตรชายสมเด็จฯ ฮุน เซน ได้พบหารือและลงนามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกันแล้วเมื่อวันที่ 19 ก.พ.
อย่างไรก็ตาม นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมายืนยันว่า ทหารระดับสูงของไทยและกัมพูชาไม่ได้ลงนามข้อตกลงหยุดยิง แค่เห็นร่วมกันว่าจะหยุดยิง จากนั้นทั้งสองฝ่ายจะรายงานให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(เจบีซี)ได้ทราบ เพื่อเจรจาหารือกันต่อไป โดยก่อนหน้านี้ นายอัษฎา ชัยนาม ประธานเจบีซีฝ่ายไทย ได้ทำหนังสือเชิญกัมพูชาประชุมเจบีซีที่ กทม.ในวันที่ 27 ก.พ. แต่กัมพูชายังไม่ได้ให้คำตอบ นายกษิต ยังยืนยันด้วยว่า การที่ยูเอ็นเอสซีหนุนให้อาเซียนเข้ามามีบทบาทในการคลี่คลายปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ไม่ใช่การยกระดับปัญหา แต่เป็นเรื่องที่ยูเอ็นเอสซีส่งกลับมาที่อาเซียน ซึ่งอาเซียนจะเป็นเพียงพี่เลี้ยงให้การเจรจาของทั้ง 2 ฝ่ายคืบหน้าไปได้
นายกษิต บอกด้วยว่า ไทยจะขอให้อินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียนส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาประจำอยู่กับทหารไทยตามแนวชายแดน เพื่อพิสูจน์ว่าไทยไม่ต้องการให้เกิดสงคราม และไม่เคยยิงกัมพูชาก่อน ทั้งนี้ คำพูดนายกษิตถือว่าเข้าทางความต้องการของกัมพูชา โดยนายฮอ นัมฮง รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา บอกว่า “นี่เป็นผลของการร้องเรียนของเราต่อยูเอ็นเอสซี เพราะเราได้ขอให้ยูเอ็นเอสซีส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดนเพื่อเป็นหลักประกันในการหยุดยิงและเพื่อสังเกตการณ์ว่าใครเป็นผู้รุกรานกันแน่ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกัน”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ฝ่ายไทยได้พยายามชี้แจงให้นานาชาติเข้าใจว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงใส่ไทยก่อน โดย พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล รองเสนาธิการทหารบก ได้นำผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทยรวม 14 ประเทศ ลงพื้นที่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษเมื่อวันที่ 21 ก.พ. เพื่อดูความเสียหายของบ้านเรือนประชาชน รวมถึงโรงเรียนและวัด ซึ่งเป็นผลจากการถูกกระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชา ซึ่งคณะผู้ช่วยทูตทหารให้ความสนใจและใช้กล้องบันทึกภาพไว้อย่างละเอียด
สำหรับผลประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่มีทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศไทยและกัมพูชาเข้าร่วมด้วยเมื่อวันที่ 22 ก.พ.นั้น นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บอกว่า ได้ข้อสรุปว่า ทั้งไทยและกัมพูชาต่างให้คำมั่นต่อกัน รวมทั้งให้ความมั่นใจต่ออาเซียนและประชาคมโลกด้วยว่าจะไม่ให้เกิดการปะทะกัน นอกจากนี้ทั้งสองประเทศยังตกลงให้มีทหารจากประเทศอินโดนีเซียเข้าสังเกตการณ์ในพื้นที่ของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายละ 15 คน รวมทั้งเห็นพ้องว่า จะยังคงใช้การเจรจาในกรอบทวิภาคีแก้ปัญหาต่อไป ทั้งการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(เจบีซี) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา(จีบีซี) ที่จะประชุมที่อินโดนีเซีย โดยอินโดนีเซียจะเชิญไทยและกัมพูชาเข้าร่วม
ด้านนายฮอ นัมฮง รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ได้พูดทำนองเกทับไทยว่า การที่ไทยเห็นด้วยกับข้อเสนอของกัมพูชาที่ให้อาเซียนมาช่วยเจรจา หลังจากก่อนหน้านี้ไทยต้องการเจรจาทวิภาคีอย่างเดียว ถือว่าไทยเดินตามการทูตของกัมพูชา และถือว่าการเจรจาทวิภาคีปิดฉากลงแล้ว “หากอาเซียนไม่สามารถแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนได้ กัมพูชาก็มีแผนสองรองรับแล้ว โดยเตรียมว่าจ้างทนายความต่างชาติจำนวน 3 คน เป็นชาวอังกฤษ ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย เพื่อยื่นหนังสือต่อศาลโลก ขอให้ศาลโลกอ่านคำพิพากษา พ.ศ.2505 อีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเรายื่นฟ้องให้ตัดสินใหม่ แต่อยากให้ศาลโลกยืนยันคำตัดสินให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับปัญหานี้”
ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บอกว่า กัมพูชามีสิทธิยื่นเรื่องต่อศาลโลกได้ ซึ่งไทยก็เตรียมคณะที่จะไปต่อสู้คดีเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เพื่อไม่ให้ฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำ พร้อมยืนยัน คำพิพากษาของศาลโลกไม่ได้พิจารณาเรื่องแผนที่ แต่เป็นเรื่องพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งจุดยืนของไทย ยังยึดอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1904 ที่ระบุชัดเจนว่า ให้เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาบริเวณเขาพระวิหารเป็นไปตามแนวสันปันน้ำ ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ไทยใช้อยู่ในเจบีซี
ทั้งนี้ นอกจากยูเอ็นเอสซีและอาเซียนจะเข้ามามีบทบาทเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาแล้ว ยังมีองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งประชาชาติ(ยูเนสโก)ด้วย โดยก่อนหน้านี้ยูเนสโกได้ตั้งผู้แทนพิเศษเพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายของปราสาทพระวิหาร หลังเกิดการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา แต่ล่าสุด นายโคอิชิโร มัตสึอุระ ผู้แทนพิเศษของยูเนสโกได้เดินทางมาไทย และเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ก.พ. หลังเข้าพบ นายอภิสิทธิ์ เผยว่า ผู้แทนพิเศษของยูเนสโกมาพบเพื่อรับทราบข้อมูลและมุมมองของทั้ง 2 ประเทศเกี่ยวกับปัญหามรดกโลก โดยหนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีคลี่คลายสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนกรณีที่กัมพูชาจะเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารต่อคณะกรรมการมรดกโลกนั้น นายอภิสิทธิ์ บอกว่า เป็นหลักการของมรดกโลกอยู่แล้วว่า เมื่อยังไม่มีเขตแดนที่ชัดเจน การบริหารจัดการพื้นที่จะไม่ค่อยสอดคล้องกับความเป็นจริงและหลักการทำงานของยูเนสโกอยู่แล้ว ซึ่งไทยต้องการให้เรื่องเขตแดนชัดเจนก่อน คิดว่ายูเนสโกเข้าใจจุดยืนของไทย
ส่วนความคืบหน้าการต่อสู้คดีของนายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ผู้สื่อข่าวเอฟเอ็มทีวี เครือข่ายสันติอโศก ที่ถูกศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุก 8 ปี และ 6 ปีตามลำดับ ฐานรุกล้ำดินแดนกัมพูชาและจารกรรมข้อมูล ทั้งที่ทั้งสองยืนยันว่าถูกทหารกัมพูชาจับในขณะที่อยู่ในดินแดนไทยนั้น ล่าสุด วันนี้(26 ก.พ.) มีข่าวว่า ทั้งสองตัดสินใจไม่อุทธรณ์คดี และได้ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมายืนยันว่า นายวีระและ น.ส.ราตรี ได้ลงนามในเอกสารขอพระราชทานอภัยโทษเรียบร้อยแล้ว
ด้านนายปรีชา สมความคิด น้องชายนายวีระ บอกว่า ยังไม่ทราบเรื่องที่นายวีระเซ็นหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ เพราะครอบครัวได้พบนายวีระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 ก.พ. จากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีก และว่า ครอบครัวตนและครอบครัว น.ส.ราตรี ได้พยายามติดต่อขอเข้าเยี่ยมบุคคลทั้งสองผ่านสถานทูตไทยประจำกัมพูชาเมื่อวันที่ 21 และ 25 ก.พ. แต่ถูกสถานทูตปฏิเสธ โดยอ้างว่าทางการกัมพูชาไม่อนุญาต ซึ่งตนและครอบครัวรู้สึกแปลกใจมากที่ถูกปฏิเสธโดยไม่ได้รับคำชี้แจงใดใดมากกว่านี้
3. ศาล ให้ประกันตัว 7 แกนนำ นปช.แล้ว แต่ห้ามปลุกระดม-ออกนอกประเทศ ด้านรัฐบาล ต่ออายุ พ.ร.บ.มั่นคงฯ อีก 1 เดือน !
ความเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดง หรือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) โดยเฉพาะ 7 แกนนำ และอีก 1 แนวร่วมที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ในคดีก่อการร้าย ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง ,นายนิสิต สินธุไพร ,นายขวัญชัย ไพรพนา ,นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ,นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และนายภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุจินดาทอง ซึ่งทั้ง 8 ได้ยื่นขอต่อศาลอาญาให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 6 แสนบาท และศาลได้นัดไต่สวนพยานเมื่อวันที่ 21 ก.พ.นั้น
ปรากฏว่า พยานที่เข้าให้การ นอกจากจะมีนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.แล้ว ยังมี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 , นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ และ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีที่ริเริ่มโครงการเดินสายปรองดอง
ทั้งนี้ พล.ต.ต.วิชัย เบิกความว่า ตนได้รับมอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นตัวแทนประสานงานกับแกนนำ นปช.ในการดูแลการชุมนุม ยืนยันว่า ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมืออย่างดีทั้งการหลีกเลี่ยงเส้นทางและการกีดขวางการจราจร รวมทั้งไม่พบการสะสมอาวุธในพื้นที่ชุมนุม
ขณะที่นายคณิต ณ นคร เบิกความว่า ได้ทำข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีว่า การได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่ถ้าเป็นความผิดร้ายแรง อาจคุมขังได้ตามสมควร สำหรับแกนนำคนเสื้อแดงนั้น ตนเห็นว่ามีความจำเป็นต้องได้รับการปล่อยตัว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อเหตุ อาจจะทำให้เกิดการปรองดองสมานฉันท์
ด้าน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ก็เบิกความหนุนให้ปล่อยตัวชั่วคราว 7 แกนนำ นปช.เช่นกัน โดยบอกว่า “ถ้าได้แกนนำ นปช.ทั้ง 7 คนมาร่วมแนวทางปรองดองกับผม ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่ถ้าออกมาแล้วก่อความวุ่นวาย ผมคงไม่กล้าที่จะมาเป็นพยานในศาลวันนี้”
ขณะที่นายวีระ มุสิกพงศ์ เบิกความว่า หาก 7 แกนนำ นปช.ได้รับการประกันตัว เชื่อว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ไม่หลบหนี และคิดว่าการปล่อยตัวชั่วคราว จะเป็นการสร้างความปรองดองให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขมากกว่า
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เบิกความยืนยันว่า นปช.ชุมนุมโดยยึดหลักสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรงในการต่อสู้ โดยตนและแกนนำ นปช.เข้ามอบตัว หลังประกาศยุติการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 และพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นายณัฐวุฒิ ยังให้เหตุผลที่พวกตนควรได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวด้วยว่า “ที่ผ่านมา แกนนำ นปช.ไม่มีพฤติกรรมหลบหนี ไม่คิดไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หากได้รับการปล่อยตัว เพราะคดีดังกล่าวศาลกำลังนัดตรวจหลักฐาน อีกทั้งแกนนำ นปช.ทั้ง 7 คน มีครอบครัวต้องดูแล มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มีตำแหน่งหน้าที่การงานมั่นคง เช่น ตนเคยเป็นโฆษกรัฐบาล นายนิสิต (สินธุไพร) เคยเป็น ส.ส.4 สมัย นายวิภูแถลง (พัฒนภูมิไทย) เคยเป็นข้าราชการครู”
ด้านศาลพิจารณาหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว 7 แกนนำ และ 1 แนวร่วม นปช. โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากมีข้อเท็จจริงบางประการที่จะให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม(ที่ไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว)ได้ โดยตีราคาประกันคนละ 6 แสนบาท ทั้งนี้ ศาลมีเงื่อนไขห้ามจำเลยไปปลุกระดม ยั่วยุ ให้เกิดความวุ่นวายหรือความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง และห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง 7 แกนนำ นปช.ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. รวมทั้งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต่างประกาศเป็นเสียงเดียวกันว่า หลังจากนี้จะเดินสายไปยังศาลทุกจังหวัดที่มีคนเสื้อแดงถูกคุมขังอยู่ เพื่อให้คนเสื้อแดงทุกคนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเช่นกัน ไม่เท่านั้น นายจตุพร ยังบอกด้วยว่า จะหารือกับคนเสื้อแดงที่ยังหลบหนีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ,นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ,พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ,นายอดิศร เพียงเกษ และนายอารีย์ ไกรนรา (หัวหน้าการ์ด นปช.) เพื่อเข้ามอบตัวและหวังว่าจะได้รับการประกันตัว โดยมั่นใจว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จก่อนที่คนเสื้อแดงจะจัดคอนเสิร์ตใหญ่รับขวัญ 7 แกนนำ นปช.ที่โบนันซ่า เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ในวันที่ 26 มี.ค.แน่นอน
ด้านนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ รักษาการโฆษก นปช. พูดถึงการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 12 มี.ค.ว่า เพื่อรำลึกครบรอบ 1 ปีการเคลื่อนพลทั้งแผ่นดินของคนเสื้อแดง แต่จะปรับเปลี่ยนสถานที่ชุมนุมเป็นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในเวลา 15.00น.เพียงแห่งเดียว ไม่เคลื่อนไปไหน โดยจะมีแกนนำ นปช.ทั้ง 7 คนร่วมปราศรัยด้วย เนื่องจากเงื่อนไขของศาล คือสั่งห้ามยุยงปลุกปั่น และห้ามออกนอกประเทศ แต่ไม่ได้ห้ามเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและขับไล่รัฐบาล
ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปักหลักชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลาออก เพื่อรับผิดชอบกรณีที่ล้มเหลวในการแก้ปัญหา ปล่อยให้กัมพูชารุกล้ำและยึดครองดินแดนไทย ทำให้สถานการณ์ตึงเครียด จนทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกัน กระทั่งมีทหารและประชาชนเสียชีวิต ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว ตำรวจได้ออกหมายเรียก 10 แกนนำพันธมิตรฯ ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาฐานฝ่าฝืน พ.ร.บ.มั่นคงฯ ที่ห้ามเข้าหรือออกจากเขตที่กำหนด ในวันที่ 22 ก.พ. โดยผู้ถูกออกหมายเรียก ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ,นายสนธิ ลิ้มทองกุล ,นายประพันธ์ คูณมี ,นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ,นายรักษ์ รักษ์พงษ์ ,นายสุริยะใส กตะศิลา ,นายเทิดภูมิ ใจดี ,นายพิภพ ธงไชย ,นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือนายรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี และนายทศพล แก้วทิมา นั้น
ปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนด(22 ก.พ.) แกนนำพันธมิตรฯ ที่ถูกออกหมายเรียกได้เข้าพบพนักงานสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล หลังจากนั้น นายสนธิ ได้เป็นตัวแทนผู้ที่ถูกออกหมายเรียกทั้ง 10 โดยปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจะยื่นคำให้การภายใน 30 วัน
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ ได้เข้าฟ้องต่อศาลแพ่งว่า นายกรัฐมนตรี-คณะรัฐมนตรี และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ในพื้นที่ 7 เขตโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากยังไม่มีเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง จึงขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือสั่งเพิกถอนประกาศดังกล่าว ซึ่งศาลได้นัดไต่สวน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในวันที่ 28 ก.พ.นี้ นายสุวัตร บอกด้วยว่า หากศาลแพ่งไม่สั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือสั่งเพิกถอนประกาศดังกล่าว พันธมิตรฯ จะยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
ด้านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(22 ก.พ.) ได้มีมติขยายเวลาประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ที่จะครบกำหนดในวันที่ 23 ก.พ.ออกไปอีก 30 วัน(ตั้งแต่ 24 ก.พ.-25 มี.ค.) โดยครอบคลุมพื้นที่ 7 เขตเหมือนเดิม คือ เขตวังทองหลาง ,ปทุมวัน ,ราชเทวี ,ดุสิต ,วัฒนา ,ป้อมปราบศัตรูพ่าย และพระนคร แม้ว่าทางศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) จะเสนอให้ลดการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ เหลือเพียง 4 เขตก็ตาม แต่มีรายงานว่า รัฐมนตรีหลายคนในที่ประชุม ครม.ไม่เห็นด้วยกับการลดพื้นที่ เนื่องจากในวันที่ 12 มี.ค. จะมีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง
4. ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด “ชินณิชา”หลานทักษิณ ปกปิดบัญชีหนี้สิน 100 ล้าน ด้านเจ้าตัว โวย ชี้ขาดช่วงใกล้เลือกตั้ง!
เมื่อวันที่ 23 ก.พ. นายอภินันทน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เผยว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิด น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวนายสมชาย และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ตามที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ
ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบบัญชีที่ น.ส.ชินณิชายื่นต่อ ป.ป.ช.ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.เชียงใหม่เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2551 พบว่า น.ส.ชินณิชาไม่ได้ยื่นแสดงรายการหนี้สินในส่วนเงินกู้ยืมจากนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเงิน 100 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว น.ส.ชินณิชาเคยยื่นขอให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) เพิกถอนการอายัด แต่ต่อมา น.ส.ชินณิชา ได้ยื่นแสดงรายการหนี้สินดังกล่าวต่อ ป.ป.ช.เพิ่มเติมในวันที่ 31 ต.ค.2551 หรือ 8 เดือนหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.แล้ว โดยอ้างว่า ตนเข้าใจคลาดเคลื่อนโดยสุจริตว่ายังไม่จำเป็นต้องยื่นบัญชีหนี้สินดังกล่าว เพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ คตส.
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า คำอ้างของ น.ส.ชินณิชาฟังไม่ขึ้น เนื่องจากการยื่นบัญชีหนี้สินดังกล่าวในภายหลัง เป็นการยื่นหลังจากมีข่าวปรากฏทางสื่อมวลชนแล้วว่า น.ส.ชินณิชายังไม่ได้ยื่น นอกจากนี้ การที่ น.ส.ชินณิชาอ้างว่า คิดว่ายังไม่จำเป็นต้องยื่นเพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ คตส.นั้น ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เพราะในขณะที่ น.ส.ชินณิชาไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีหนี้สิน 100 ล้านบาทดังกล่าว แต่ น.ส.ชินณิชากลับมีการยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินในส่วนของเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาถนนรัชดาภิเษกจำนวน 6.8 ล้านบาทเศษต่อ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากที่ยื่นขอให้ คตส.เพิกถอนการอายัด โดยเป็นส่วนหนึ่งของเงิน 100 ล้านบาทที่ถูก คตส.อายัดไว้เช่นกัน ไม่เท่านั้น น.ส.ชินณิชา ยังได้ยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินในส่วนของเงินที่ให้บริษัท วาย ชินวัตร จำกัด กู้ยืมอีกเป็นจำนวน 10 ล้านบาทต่อ ป.ป.ช. ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเงิน 100 ล้านบาทที่กู้ยืมมาจากนายบรรณพจน์และถูก คตส.อายัดอยู่เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติว่า น.ส.ชินณิชาจงใจยื่นแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ และหลังจากนี้จะยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อวินิจฉัยให้ น.ส.ชินณิชาพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี และขอให้ลงโทษทางอาญาตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 ด้วย
ด้าน น.ส.ชินณิชา บอกว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดของเรื่องดังกล่าว และยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งจาก ป.ป.ช.อย่างเป็นทางการ พร้อมยืนยันว่าไม่รู้สึกตกใจ แต่แปลกใจ เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งนานมากแล้ว และแปลกใจที่เมื่อใกล้เลือกตั้งแล้วมีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณา ส่วนจะต่อสู้อย่างไรต่อไปนั้น ขอดูรายละเอียดก่อน
ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ในฐานะที่ยื่นเรื่องดังกล่าวให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ พูดถึงการทำงานของ ป.ป.ช.ว่า หลายเรื่องยังช้า ยังมีเรื่องค้างอยู่ที่ ป.ป.ช.จำนวนมาก “ผมจึงเสนอมาด้วยความเคารพและหวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการทำงานของ ป.ป.ช.บ้าง ขอให้ช่วยเร่งสอบสวนคดีเอสเอ็มเอสของนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ผมได้ทักท้วงไป เพราะเห็นว่าน่าจะเข้าข่ายมาตรา 103 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉะนั้นจึงควรเร่งทำให้ประจักษ์”