คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1. ศาลกัมพูชา ไต่สวน 7 คนไทยแล้ว ยังต้องลุ้น จะได้ประกันตัวหรือไม่ ด้าน “พันธมิตรฯ” ออกแถลงการณ์ประณามเขมรเนรคุณไทยอย่างไร้ยางอาย!
ความคืบหน้ากรณีทหารกัมพูชาจับกุม 7 คนไทย ประกอบด้วย นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ,นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ,ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ สมาชิกสันติอโศก แนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฯลฯ ขณะเดินทางไปตรวจสอบหลักเขตชายแดนที่ 46 ท้ายบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้วเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา หลังได้รับร้องเรียนจากชาวบ้านเรื่องที่ดินทำกิน ด้านฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าคนไทยทั้ง 7 รุกล้ำเขตแดนกัมพูชา พร้อมนำตัวไปควบคุมไว้ที่เรือนจำเปรยซอร์ กรุงพนมเปญ เพื่อรอศาลไต่สวน ขณะที่รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงของไทย ก็พูดทำนองคล้อยตามที่กัมพูชาอ้างว่า 7 คนไทยรุกล้ำเขตแดนกัมพูชา แต่กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ นำโดยนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ยืนยันว่า จุดที่ 7 คนไทยถูกเขมรจับ อยู่ในเขตไทยนั้น
ปรากฏว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ออกมาอ้างว่า กัมพูชามีหลักฐานเป็นบันทึกการเดินทางแบบเรียลิตี้โชว์ที่คนไทยทั้ง 7 รุกล้ำเข้าไปในดินแดนของกัมพูชา โดยบันทึกไว้ด้วยตัวเอง เพื่อใช้เอาผิดคนไทยทั้ง 7 ดังนั้นหากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง จะเดินทางไปเจรจากับสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อขอให้ปล่อยตัว 7 คนไทย ระวังจะหน้าแตกกลับมา เพราะเท่าที่ตนได้เห็นหลักฐานดังกล่าว บอกได้อย่างเดียวว่าชัดเจนมาก ว่าคนไทยทั้ง 7 รุกล้ำดินแดนกัมพูชาจริง
ด้านเว็บไซต์ยูทูบ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอขณะนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ,นายวีระ สมความคิด และคณะ เดินทางเข้าไปยังชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณหลักเขตที่ 46 ระหว่างนั้นนายพนิชได้โทรศัพท์แจ้งไปยังคนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขอให้แจ้งนายอภิสิทธิ์ว่า กำลังเดินเข้าไปยังเขตไทยที่เขมรครอบครองพื้นที่อยู่
ด้านนายอภิสิทธิ์ พูดถึงคลิปดังกล่าวว่า ได้ดูแล้ว และว่า คลิปดังกล่าวไม่ใช่ฉบับเต็ม โดยฉบับเต็มความยาว 20 กว่านาที และว่า การเดินทางไปยังบริเวณดังกล่าวของนายพนิช เนื่องจากทราบว่ามีประชาชนเดือดร้อนเรื่องที่ทำกินบริเวณชายแดน จึงลงพื้นที่เพื่อดูเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังย้ำด้วยว่า ภารกิจของรัฐบาลขณะนี้คือ ต้องให้ความช่วยเหลือ 7 คนไทยให้ได้กลับประเทศโดยเร็วที่สุด โดยจะใช้การประสานงานทุกช่องทาง เพื่อให้เรื่องยุติโดยเร็ว ไม่บานปลาย
ขณะที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้แสดงความเป็นห่วง 7 คนไทยเช่นกัน โดยได้สอบถามแนวทางช่วยเหลือของรัฐบาลระหว่างที่นายอภิสิทธิ์เข้าพบเพื่ออวยพรปีใหม่(4 ม.ค.) ซึ่งนายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและลำดับเหตุการณ์ให้ฟังทั้งหมด
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง พูดถึงการช่วยเหลือ 7 คนไทย โดยฝากความหวังไว้ที่สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่าจะเห็นแก่มิตรภาพและความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ “ผมได้แต่หวังว่านายกฯ กัมพูชาจะเห็นแก่การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและใช้อำนาจหน้าที่ในการเป็นนายกรัฐมนตรีช่วยแก้ปัญหานี้ได้”
ด้านนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาสำทับว่า 7 คนไทยรุกล้ำดินแดนของกัมพูชาจริง โดยบอกว่า คณะของนายพนิชหลุดเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชาราว 55 เมตร นายกษิตยังติงกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติว่าไม่ควรออกมาชุมนุมทั้งในพื้นที่และที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้เขมรปล่อยตัว 7 คนไทย “ขณะนี้สำคัญที่สุดคือการนำตัวคนไทยทั้ง 7 กลับประเทศ จึงไม่อยากให้ทำอะไรที่ส่งผลกระทบกับบุคคลทั้งหมด และอยากขอให้ผู้ที่ออกมากดดันบีบคั้นนึกถึงหัวอกคนไทยทั้ง 7 และครอบครัวด้วย ส่วนเรื่องเขตแดนต้องไปว่ากันที่คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม(เจบีซี)ไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา แต่บรรยากาศควรจะราบรื่น เพราะทุกคนก็ใจร้อน อยากให้เรื่องยุติ อย่างไรก็ดี ก็หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก่อนการเดินทางเยือนไทยของนายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโสประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในเดือนนี้”
ด้าน พล.ต.นพดล โชติศิริ รองเจ้ากรมแผนที่ทหาร บอกว่า จุดที่ 7 คนไทยถูกทหารกัมพูชาจับกุม เป็นพื้นที่ทับซ้อน โดยเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่สำรวจเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.พบว่า จุดที่คณะของนายพนิชถูกจับกุมนั้น อยู่ที่ซุ้มประตูวัดโจกเจีย ห่างจากหลักเขตแดนที่ 46 และ 47 เข้าไปในประเทศกัมพูชา 55 เมตร และอยู่ก่อนถึงทางเข้าวัดโจกเจียประมาณ 350 เมตร โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ทับซ้อน อยู่ระหว่างหาข้อยุติเรื่องการปักปันเขตแดน
ขณะที่นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ตั้งข้อสังเกตกรณีที่กัมพูชาจับกุม 7 คนไทยโดยเชื่อว่า กัมพูชากำลังใช้เล่ห์เหลี่ยมออกแบบให้การต่อสู้คดีนี้เปรียบเสมือนศาลโลกกลายๆ เพื่อให้คำพิพากษาของศาลกัมพูชาส่งผลต่อข้อพิพาทเรื่องดินแดนระหว่าง 2 ประเทศ โดยกัมพูชาจะใช้คำพิพากษาครั้งนี้เป็นข้ออ้างปกป้องพลเมืองตัวเองที่กำลังรุกล้ำดินแดนไทยในหลายพื้นที่ ดังนั้นรัฐบาลควรออกแถลงการณ์เพื่อแสดงจุดยืนให้ชัดเจนต่อรัฐบาลกัมพูชาว่า คนไทยทั้ง 7 ไม่ได้รุกล้ำดินแดนของกัมพูชา
ด้านสมณโพธิรักษ์ เจ้าสำนักสันติอโศก พูดถึงกรณีที่บางฝ่ายมองว่าสันติอโศกอยู่เบื้องหลังการที่ 7 คนไทยถูกจับกุม เนื่องจาก ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ สมาชิกสันติอโศก ร่วมเดินทางไปกับคณะของนายพนิชด้วย โดยเล่าว่า นายพนิชมาขอให้ ร.ต.แซมดินพาไปตรวจสอบปัญหาที่ทำกินของชาวบ้านบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ร.ต.แซมดินจึงชวนนายวีระ สมความคิดไปด้วย เนื่องจากเคยเดินทางไปตรวจสอบที่ดินบริเวณนั้นมาแล้ว “สันติอโศกไม่เกี่ยวข้อง เราเป็นคนไทยอยากจะพิสูจน์ความจริงว่า มันเป็นอย่างไรตรงที่ที่มีปัญหาอยู่ ก็รู้อยู่แล้วว่าตอนนี้เราจะเสียแผ่นดิน และพยายามที่จะต่อสู้อยู่”
ส่วนความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ 7 คนไทยในกัมพูชานั้น เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ทั้งหมดได้ถูกนำตัวขึ้นศาลชั้นต้นแห่งกรุงพนมเปญ เพื่อไต่สวนที่ละคน โดยนายพนิชถูกไต่สวนเป็นคนแรก เป็นที่น่าสังเกตว่า ศาลใช้เวลาไต่สวนคนไทยทั้ง 7 ตั้งแต่เช้ายันค่ำ นานถึง 11 ชั่วโมงกว่าจะเสร็จสิ้น จากนั้นได้นำคนไทยทั้ง 7 ไปคุมขังที่เรือนจำเปรยซอร์เหมือนเดิม โดยก่อนถูกนำตัวไป นายวีระ หันมาพูดกับผู้สื่อข่าวว่า “เขาพยายามยัดเยียดข้อหาผมเพิ่ม แต่ไม่ได้หรอก สรุปผมถูกแจ้ง 2 ข้อหา ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต” ส่วนนายพนิช พูดกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ขอขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง” ทั้งนี้ สื่อกัมพูชาประเมินว่า นายวีระ และนางนฤมล จิตวรารัตน์ เลขานุการส่วนตัวของนายวีระ อาจถูกแจ้งข้อหาเพิ่มฐานจารกรรมข้อมูลทางราชการ หากมีการตรวจพบเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กในตัวนางนฤมลจริงดังที่มีข่าว
ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พูดถึงการประกันตัว 7 คนไทยว่า ศาลกัมพูชายังไม่ได้นัดพิจารณาคดี ต้องดูว่าจะนัดพิจารณาคดีในวันที่ 10 ม.ค.นี้เลยหรือไม่ และว่า หากยื่นประกันตัวเมื่อใด ตามกฎหมายกัมพูชาต้องใช้เวลาอีก 5 วันในการพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ประกันตัวหรือไม่ ส่วนเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษนั้น นายชวนนท์ บอกว่า “เป็นเรื่องของกัมพูชา ญาติผู้ต้องขัง และผู้ต้องขัง รัฐบาลไม่สามารถไปขอพระราชทานอภัยโทษได้ ทั้งนี้ การอภัยโทษต้องให้คดีถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม ในการไต่สวนของศาลกัมพูชาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.ทั้ง 7 คนยืนยันว่าได้เข้าไปในพื้นที่โดยไม่มีเจตนา เพียงต่เข้าไปดูพื้นที่ตามที่ได้รับร้องเรียนจากชาวบ้าน”
ด้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์ประณามผู้ที่ให้ข่าวเท็จ โดยให้ร้ายว่า 7 คนไทยรุกล้ำดินแดนของกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ,นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ,พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม ,นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ฯลฯ แถลงการณ์พันธมิตรฯ ยังยกหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า 7 คนไทยอยู่ในเขตไทยขณะถูกกัมพูชาจับกุม โดยหลักฐานได้แก่ เอกสารสิทธิในการทำกินของราษฎรไทย ส.ค.1 และ น.ส.3 ,หลักฐานภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นว่าบริเวณที่ 7 คนไทยถูกจับอยู่ในค่ายอพยพเขมรของสำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ(UNHCR) ที่ขอยืมพื้นที่ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีแผนผังค่ายอพยพบ้านหนองจานและบริเวณใกล้เคียงที่แสดงให้เห็นถึงบ่อน้ำของค่ายอพยพที่อยู่ในดินแดนของไทย ซึ่ง 7 คนไทยยังไปไม่ถึงจุดดังกล่าว ฯลฯ
ทั้งนี้ แถลงการณ์พันธมิตรฯ ได้แสดงความเสียใจพร้อมให้กำลังใจ 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับ พร้อมประณามรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ใช้อำนาจที่ตัวเองมีในการกดดันกัมพูชาให้ปล่อย 7 คนไทยเหมือนกับนานาประเทศ นอกจากนี้ยังประณามนายฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา ,ทหารกัมพูชา ,รัฐบาลและศาลกัมพูชาที่บังอาจมาจับคนไทยในดินแดนของประเทศไทย ทั้งที่ไทยเคยให้ชาวกัมพูชาที่เดือดร้อนอพยพมาอาศัยหนีภัยสงครามในกัมพูชา การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยและเนรคุณต่อราชอาณาจักรไทยอย่างไร้ยางอายอย่างยิ่ง และว่า เมื่อ 7 คนไทยไม่ได้ล้ำแดนกัมพูชา พันธมิตรฯ จึงขอให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีรักษาศักดิ์ศรีของประเทศด้วยการประกาศไม่รับคำตัดสินของศาลกัมพูชา เพราะถือว่าผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากละเมิดอธิปไตยเหนือดินแดนไทย และตระบัดสัตย์ในข้อตกลงระหว่างไทย-กัมพูชา พร้อมขอให้รัฐบาลยื่นคำขาดอย่างเป็นทางการและใช้มาตรการกดดันอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้กัมพูชาปล่อยตัว 7 คนไทยโดยไม่มีเงื่อนไข
2. 7 แกนนำ นปช.นอนคุกต่อ หลังศาลไม่ให้ประกัน ชี้ คดีอัตราโทษสูง หวั่นหลบหนี ด้าน “ธิดา”เตรียมอุทธรณ์ซ้ำ!
เมื่อวันที่ 4 ม.ค.นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยา นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ในฐานะรักษาการประธาน นปช.พร้อมด้วยนายนรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ในฐานะทีมทนายความของ นปช.ได้เข้าพบแกนนำ นปช.ทั้ง 7 คนที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในคดีก่อการร้าย เพื่อให้แกนนำทั้ง 7 ลงนามในคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวก่อนยื่นคำร้องต่อศาลอาญาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง ,นายนิสิต สินธุไพร ,นายขวัญชัย ไพรพนา ,นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก
ทั้งนี้ นางธิดา ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำ นปช.ทั้ง 7 ต่อศาล พร้อมยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 3 ล้านบาท รวม 21 ล้านบาท โดยให้เหตุผลในการขอปล่อยตัวชั่วคราวว่า เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ของประเทศเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว เห็นได้จากเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้ประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลแล้ว ประกอบกับขณะนี้ทุกฝ่ายในประเทศรวมทั้งนานาชาติ ได้เรียกร้องให้มีการปรองดอง เพื่อคืนความสงบสุขให้กับสังคม เห็นได้จากการที่รัฐบาลตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดอง(คอป.) ขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากทุกฝ่าย เพื่อให้สาธารณชนได้ทราบ เพื่อนำไปสู่แผนปรองดองแห่งชาติ พร้อมยืนยันว่า หากจำเลยทั้ง 7 ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จะไม่หลบหนี
ด้านศาลพิเคราะห์คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและเอกสารประกอบแล้ว เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์เคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำ นปช.ทั้ง 7 ก่อนหน้านี้(14 ต.ค.2553) โดยระบุเหตุผลว่า เนื่องจากข้อหาตามคดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวชั่วคราวเกรงจะหลบหนี เป็นเหตุผลที่ระบุไว้ชัดแจ้งแล้วยังไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง
ด้านนางธิดา ได้เดินทางเข้าเยี่ยม 7 แกนนำ นปช.ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อีกครั้งในวันต่อมา(5 ม.ค.) เพื่อหารือว่า จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลทันทีหรือไม่ โดยมีเวลาอุทธรณ์ภายใน 15 วัน รวมทั้งหารือเกี่ยวกับการชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและแยกราชประสงค์ในวันที่ 9 ม.ค.ด้วย นางธิดา ยังบอกด้วยว่า จะจัดชุมนุมเรียกร้องทุกเดือนจนกว่าคนเสื้อแดงจะได้รับความยุติธรรมและได้ประชาธิปไตยคืนมา และว่า ขณะนี้ตนได้ทำหนังสือไปถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์แล้ว เพื่อขอพยานมาสังเกตการณ์การพิจารณาคดีและไต่สวนคดีของ นปช.ในศาลไทย เพื่อป้องกันความไม่เป็นธรรมระหว่างพิจารณาคดี
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อช่วงบ่ายวันนี้(9 ม.ค.) ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนเคลื่อนไปยังแยกราชประสงค์ในช่วงค่ำนั้น ไฮไลต์อยู่ที่การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยนอกจากได้สวัสดีปีใหม่และอวยพรให้คนเสื้อแดงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณยังบอกด้วยว่า ปี 2554 นี้จะเป็นปีที่ดีของคนไทย เป็นปีที่ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้น ความยุติธรรม-ความเป็นธรรมและความผาสุกจะกลับสู่ประชาชน พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอ้างด้วยว่า รัฐบาลมีแผนไล่ล่าตนและจับกุมแกนนำ นปช.เพราะหวังว่ากลุ่ม นปช.จะยอมแพ้ ซึ่งไม่จริง เพราะวันนี้กลุ่ม นปช.เดินมาไกลเกินกว่าตนแล้ว ทั้งนี้ กลุ่มเสื้อแดงได้สลายการชุมนุมในเวลาประมาณ 21.00น. โดยนัดชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 23 ม.ค.
3. สาวซิ่งซีวิค มอบตัวแล้ว-ตร.ตั้ง 2 ข้อหา ด้านสถานพินิจฯ บอก ไม่มีอำนาจควบคุมตัว ขณะที่ มธ.เตรียมเป็นโจทก์ร่วมญาติเหยื่อฟ้องทั้งแพ่ง-อาญา!
ความคืบหน้ากรณี น.ส.เอ(นามสมมติ) อายุ 16 ปี 6 เดือน ซึ่งเป็นคนนามสกุลดัง “เทพหัสดิน ณ อยุธยา” ตกเป็นผู้ต้องหาขับรถเก๋งฮอนด้าซีวิคชนท้ายรถตู้โดยสารบนทางด่วนโทลล์เวย์ จนมีผู้เสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บอีก 6 คนเมื่อคืนวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยหลังเกิดเหตุ ปรากฏภาพ น.ส.เอยืนกดโทรศัพท์ในลักษณะเหมือนเล่นบีบี แต่บิดา-มารดาของ น.ส.เอยืนยันว่า ลูกสาวแค่กดบีบีบอกเพื่อนที่เป็นเจ้าของรถว่าเกิดอุบัติเหตุ และสอบถามเพื่อนเรื่องประกันเท่านั้น พร้อมอ้างว่า เหตุที่ลูกสาวยืนกดโทรศัพท์ เนื่องจากไม่สามารถนั่งได้ เพราะบาดเจ็บมีแผลที่ก้น ส่วนสาเหตุที่ น.ส.เอไม่ไปขอขมาศพผู้เสียชีวิต เป็นเพราะสภาพจิตใจของลูกสาวยังบอบช้ำ พร้อมเตรียมบวชถือศีลสักพักหลังเข้าพบตำรวจในวันที่ 5 ม.ค.ตามที่ตำรวจออกหมายเรียกนั้น
ปรากฎว่า เมื่อถึงกำหนด(5 ม.ค.) ได้มีการเปลี่ยนสถานที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหา จาก สน.วิภาวดี เป็นกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.)โดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งนี้ น.ส.เอเดินทางมา บช.น.พร้อมด้วย พ.อ.รัฐชัย และนางลัดดาวัลย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา บิดามารดา พร้อมทนายความ 3 คน
หลังแจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำแล้วเสร็จ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รับผิดชอบงานกฎหมายและสอบสวน เผยว่า เบื้องต้นแจ้ง 2 ข้อหา คือ ขับรถประมาทเป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่น ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ทำให้มีผู้ได้รับอันตรายทางจิตใจ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและทำให้มีผู้เสียชีวิต ส่วนอีกข้อหาคือ ขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต และว่า หลังสอบปากคำเสร็จสิ้น จะนำตัว น.ส.เอส่งสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรุงเทพมหานคร ภายใน 24 ชั่วโมง โดยเป็นไปตามกฎหมาย เพราะ น.ส.เออายุ 16 ปี 6 เดือน ส่วนจะควบคุมตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราว ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของสถานพินิจฯ
ส่วนจะให้ความเป็นธรรมกับญาติผู้เสียชีวิตอย่างไรนั้น พล.ต.ต.อำนวย บอกว่า ไม่มีปัญหา ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ตั้งทีมกฎหมายขึ้นมาช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิต และว่า คดีนี้ไม่ได้ลึกลับซับซ้อน มีทั้งวงจรปิด และประจักษ์พยาน ซึ่งมีคนเห็นเหตุการณ์ ทั้งผู้ที่อยู่ในรถตู้ และคนอื่นที่ขับตามหลังมา
สำหรับการดำเนินการกับเจ้าของรถฮอนด้าซีวิคตัวจริงนั้น พล.ต.ต.อำนวย บอกว่า พนักงานสอบสวนได้นัดหมายมาสอบปากคำเรียบร้อยแล้ว และอาจต้องดำเนินคดีด้วย ข้อหายินยอมให้ผู้ไม่มีใบอนุญาตขับขี่นำรถไปใช้ในทางสาธารณะ โดยมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท พล.ต.ต.อำนวย ยังพยายามประสานเพื่อให้ผู้ต้องหาและญาติผู้เสียชีวิตได้มีการเจรจาเพื่อเยียวยาค่าเสียหายด้วย “ผมสอบถามผู้ปกครองแล้วเรื่องเจรจาค่าเสียหาย ไม่ว่าในทางแพ่ง เรื่องการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งเยียวยาคนเจ็บ ผู้เสียชีวิต และผู้เกี่ยวข้อง ทางผู้ปกครอง น.ส.เอประสงค์ให้ตำรวจนัดเจรจาอีกครั้ง ส่วนจะตกลงกันกี่ครั้งกี่คราว ได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของอนาคต ถ้าหากตกลงกันได้ด้วยดีอย่างสมานฉันท์ก็ดี แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็เป็นหน้าที่ของทีมงานกฎหมายที่ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งขึ้นต้องไปฟ้องร้องกันทางแพ่งต่อไป”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำตัว น.ส.เอไปยังสถานพินิจฯ ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามความรู้สึกของ น.ส.เอ แต่เจ้าตัวปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ เมื่อผู้สื่อข่าวถามนำว่า มีอะไรจะพูดขอโทษหรือไม่ น.ส.เอ บอกเพียงสั้นๆ ว่า “ขอโทษค่ะ หนูเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นอุบัติเหตุ”
ด้านนางทัศนาวไล ไกรนรา ผู้อำนวยการสถานพินิจฯ เผยขั้นตอนการดำเนินการกับ น.ส.เอว่า เบื้องต้นได้ให้เจ้าหน้าที่กรมคุมประพฤติสอบปากคำ น.ส.เอ และผู้ปกครอง โดยเมื่อรวบรวมข้อเท็จจริงเสร็จสิ้น กรมพินิจฯ จะส่งข้อมูลให้พนักงานสอบสวน เพื่อส่งให้อัยการส่งฟ้องศาลเยาวชนและครอบครัว จากนั้นศาลเยาวชนฯ จะส่งสำเนาคำฟ้องกลับมายังสถานพินิจฯ อีกครั้ง และสถานพินิจฯ จะเสนอรายงานข้อเท็จจริงในส่วนของสถานพินิจฯ ให้ศาลเพื่อพิจารณาคดีต่อไป
นางทัศนาวไล บอกด้วยว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งผู้เสียหายเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังนั้นญาติผู้เสียหายสามารถเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการในการฟ้องคดีหรือสามารถยื่นคำร้องต่อผู้อำนวยการสถานพินิจฯ เพื่อขอยื่นฟ้องเอง และสามารถเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้ “คดีนี้มีอัตราโทษจำคุก 7 ปี แต่ผู้ต้องหาเป็นเยาวชนและได้มอบตัว หลังจากเจ้าหน้าที่กรมพินิจฯ สอบปากคำเสร็จสิ้นแล้ว จะไม่มีการควบคุมตัว สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยกเว้นทางเจ้าหน้าที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม จะนัดเป็นครั้งๆ ไป”
ขณะที่นางลัดดาวัลย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา มารดาของ น.ส.เอ เผยหลังให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่สถานพินิจฯ ว่า ตนและลูกสาวเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และหากเป็นไปได้ พร้อมจะไปเยี่ยมผู้เสียหายทุกคน และว่า ลูกสาวมีโรคประจำตัว ต้องกินยาเป็นประจำ ดังนั้นคงไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ คงต้องให้เรียนต่อในประเทศ ส่วนเรื่องบวชนั้น คงต้องหารือกันอีกครั้ง
ด้านนายธวัชชัย ไทยเขียว อธิบดีกรมพินิจฯ พูดถึงสาเหตุที่สถานพินิจฯ ปล่อยตัว น.ส.เอ ว่า น.ส.เอเป็นเยาวชน และเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สถานพินิจฯ ไม่มีอำนาจควบคุมตัว และว่า คดีนี้ควรเอาผิดเจ้าของรถฮอนด้าซีวิคด้วย ฐานเป็นผู้ให้การสนับสนุนหรือส่งเสริมให้เยาวชนประพฤติตนไปในทางเสียหายหรือกระทำผิดมาตรา 26(3) ของ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะที่ พ.ต.ท.วิจิตร ด่านธำรงกุล พนักงานสอบสวน สน.วิภาวดี บอกว่า เบื้องต้นทราบแล้วว่าเจ้าของรถฮอนด้าซีวิค เป็นผู้หญิง แต่ยังไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับ น.ส.เอ อย่างไร โดยได้ออกหมายเรียกให้เข้าพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 19 ม.ค.นี้ เพื่อสอบปากคำถึงที่มาที่ไปของรถ เนื่องจากตามสำเนาทะเบียนรถเป็นผู้เช่าซื้อและเจ้าตัวอยู่ที่ จ.ภูเก็ต แต่รถดังกล่าวกลับมาใช้ที่กรุงเทพฯ และอยู่ที่ น.ส.เอได้อย่างไร สำหรับสำนวนคดี ขณะนี้คืบหน้าประมาณ 70% แล้ว ขาดเพียงเอกสารจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับคดีและสอบปากคำเจ้าของรถตัวจริง ก่อนจะรวบรวมหลักฐานส่งฟ้องอัยการต่อไป
ด้าน ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) เผยว่า วันที่ 10 ม.ค.นี้ จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลและไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิตที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ส่วนวันที่ 14 ม.ค.จะหารือกับญาติผู้เสียหายถึงแนวทางดำเนินคดีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ก่อนเปิดแถลงข่าว “วันดังกล่าว ญาติและครอบครัวผู้เสียหายจะมอบอำนาจให้มหาวิทยาลัยตั้งทนายความเป็นโจทก์ร่วมในคดี ซึ่งตอนนี้กระบวนการยุติธรรมได้เดินหน้าแล้ว เพราะตำรวจได้ตั้งข้อหาผู้กระทำโดยประมาทแล้ว พร้อมกันนั้นจะหารือถึงคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องคดีอาญาด้วย”
4. “7 วันอันตราย” ตายพุ่ง 358 ราย โดยเฉพาะภาคกลาง-อีสาน ด้าน “สุเทพ” สั่ง “ศปถ.”รับมือสงกรานต์!
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์ 7 วันอันตรายช่วงเทศกาลปีใหม่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน(ศปถ.) ได้แถลงสรุปตัวเลขอุบัติเหตุทางถนนระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.2553-4 ม.ค.2554 ว่า เกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น 3,497 ครั้ง ลดลงจากปีที่แล้ว 37 ครั้ง สำหรับยอดผู้เสียชีวิตในปีนี้ มีทั้งสิ้น 358 ศพ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 11 คน ส่วนผู้บาดเจ็บมีจำนวน 3,750 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 77 คน สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ เมาสุรา ส่วนยานพาหนะที่เกิดอุบัติสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 83.24 ทั้งนี้ ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน ร้อยละ 58.03
นายสุเทพ บอกด้วยว่า เมื่อดูสถิติของการเกิดอุบัติเหตุเป็นรายภาค พบว่า ภาคใต้อุบัติเหตุลดลง แสดงว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้ดียิ่งขึ้น ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากนั้น ทางศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจะต้องวิเคราะห์สาเหตุ เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขต่อไป เพื่อให้ตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตลดลงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะมาถึง
1. ศาลกัมพูชา ไต่สวน 7 คนไทยแล้ว ยังต้องลุ้น จะได้ประกันตัวหรือไม่ ด้าน “พันธมิตรฯ” ออกแถลงการณ์ประณามเขมรเนรคุณไทยอย่างไร้ยางอาย!
ความคืบหน้ากรณีทหารกัมพูชาจับกุม 7 คนไทย ประกอบด้วย นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ,นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ,ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ สมาชิกสันติอโศก แนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฯลฯ ขณะเดินทางไปตรวจสอบหลักเขตชายแดนที่ 46 ท้ายบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้วเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา หลังได้รับร้องเรียนจากชาวบ้านเรื่องที่ดินทำกิน ด้านฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าคนไทยทั้ง 7 รุกล้ำเขตแดนกัมพูชา พร้อมนำตัวไปควบคุมไว้ที่เรือนจำเปรยซอร์ กรุงพนมเปญ เพื่อรอศาลไต่สวน ขณะที่รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงของไทย ก็พูดทำนองคล้อยตามที่กัมพูชาอ้างว่า 7 คนไทยรุกล้ำเขตแดนกัมพูชา แต่กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ นำโดยนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ยืนยันว่า จุดที่ 7 คนไทยถูกเขมรจับ อยู่ในเขตไทยนั้น
ปรากฏว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ออกมาอ้างว่า กัมพูชามีหลักฐานเป็นบันทึกการเดินทางแบบเรียลิตี้โชว์ที่คนไทยทั้ง 7 รุกล้ำเข้าไปในดินแดนของกัมพูชา โดยบันทึกไว้ด้วยตัวเอง เพื่อใช้เอาผิดคนไทยทั้ง 7 ดังนั้นหากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง จะเดินทางไปเจรจากับสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อขอให้ปล่อยตัว 7 คนไทย ระวังจะหน้าแตกกลับมา เพราะเท่าที่ตนได้เห็นหลักฐานดังกล่าว บอกได้อย่างเดียวว่าชัดเจนมาก ว่าคนไทยทั้ง 7 รุกล้ำดินแดนกัมพูชาจริง
ด้านเว็บไซต์ยูทูบ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอขณะนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ,นายวีระ สมความคิด และคณะ เดินทางเข้าไปยังชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณหลักเขตที่ 46 ระหว่างนั้นนายพนิชได้โทรศัพท์แจ้งไปยังคนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขอให้แจ้งนายอภิสิทธิ์ว่า กำลังเดินเข้าไปยังเขตไทยที่เขมรครอบครองพื้นที่อยู่
ด้านนายอภิสิทธิ์ พูดถึงคลิปดังกล่าวว่า ได้ดูแล้ว และว่า คลิปดังกล่าวไม่ใช่ฉบับเต็ม โดยฉบับเต็มความยาว 20 กว่านาที และว่า การเดินทางไปยังบริเวณดังกล่าวของนายพนิช เนื่องจากทราบว่ามีประชาชนเดือดร้อนเรื่องที่ทำกินบริเวณชายแดน จึงลงพื้นที่เพื่อดูเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังย้ำด้วยว่า ภารกิจของรัฐบาลขณะนี้คือ ต้องให้ความช่วยเหลือ 7 คนไทยให้ได้กลับประเทศโดยเร็วที่สุด โดยจะใช้การประสานงานทุกช่องทาง เพื่อให้เรื่องยุติโดยเร็ว ไม่บานปลาย
ขณะที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้แสดงความเป็นห่วง 7 คนไทยเช่นกัน โดยได้สอบถามแนวทางช่วยเหลือของรัฐบาลระหว่างที่นายอภิสิทธิ์เข้าพบเพื่ออวยพรปีใหม่(4 ม.ค.) ซึ่งนายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและลำดับเหตุการณ์ให้ฟังทั้งหมด
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง พูดถึงการช่วยเหลือ 7 คนไทย โดยฝากความหวังไว้ที่สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่าจะเห็นแก่มิตรภาพและความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ “ผมได้แต่หวังว่านายกฯ กัมพูชาจะเห็นแก่การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและใช้อำนาจหน้าที่ในการเป็นนายกรัฐมนตรีช่วยแก้ปัญหานี้ได้”
ด้านนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาสำทับว่า 7 คนไทยรุกล้ำดินแดนของกัมพูชาจริง โดยบอกว่า คณะของนายพนิชหลุดเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชาราว 55 เมตร นายกษิตยังติงกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติว่าไม่ควรออกมาชุมนุมทั้งในพื้นที่และที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้เขมรปล่อยตัว 7 คนไทย “ขณะนี้สำคัญที่สุดคือการนำตัวคนไทยทั้ง 7 กลับประเทศ จึงไม่อยากให้ทำอะไรที่ส่งผลกระทบกับบุคคลทั้งหมด และอยากขอให้ผู้ที่ออกมากดดันบีบคั้นนึกถึงหัวอกคนไทยทั้ง 7 และครอบครัวด้วย ส่วนเรื่องเขตแดนต้องไปว่ากันที่คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม(เจบีซี)ไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา แต่บรรยากาศควรจะราบรื่น เพราะทุกคนก็ใจร้อน อยากให้เรื่องยุติ อย่างไรก็ดี ก็หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก่อนการเดินทางเยือนไทยของนายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโสประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในเดือนนี้”
ด้าน พล.ต.นพดล โชติศิริ รองเจ้ากรมแผนที่ทหาร บอกว่า จุดที่ 7 คนไทยถูกทหารกัมพูชาจับกุม เป็นพื้นที่ทับซ้อน โดยเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่สำรวจเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.พบว่า จุดที่คณะของนายพนิชถูกจับกุมนั้น อยู่ที่ซุ้มประตูวัดโจกเจีย ห่างจากหลักเขตแดนที่ 46 และ 47 เข้าไปในประเทศกัมพูชา 55 เมตร และอยู่ก่อนถึงทางเข้าวัดโจกเจียประมาณ 350 เมตร โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ทับซ้อน อยู่ระหว่างหาข้อยุติเรื่องการปักปันเขตแดน
ขณะที่นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ตั้งข้อสังเกตกรณีที่กัมพูชาจับกุม 7 คนไทยโดยเชื่อว่า กัมพูชากำลังใช้เล่ห์เหลี่ยมออกแบบให้การต่อสู้คดีนี้เปรียบเสมือนศาลโลกกลายๆ เพื่อให้คำพิพากษาของศาลกัมพูชาส่งผลต่อข้อพิพาทเรื่องดินแดนระหว่าง 2 ประเทศ โดยกัมพูชาจะใช้คำพิพากษาครั้งนี้เป็นข้ออ้างปกป้องพลเมืองตัวเองที่กำลังรุกล้ำดินแดนไทยในหลายพื้นที่ ดังนั้นรัฐบาลควรออกแถลงการณ์เพื่อแสดงจุดยืนให้ชัดเจนต่อรัฐบาลกัมพูชาว่า คนไทยทั้ง 7 ไม่ได้รุกล้ำดินแดนของกัมพูชา
ด้านสมณโพธิรักษ์ เจ้าสำนักสันติอโศก พูดถึงกรณีที่บางฝ่ายมองว่าสันติอโศกอยู่เบื้องหลังการที่ 7 คนไทยถูกจับกุม เนื่องจาก ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ สมาชิกสันติอโศก ร่วมเดินทางไปกับคณะของนายพนิชด้วย โดยเล่าว่า นายพนิชมาขอให้ ร.ต.แซมดินพาไปตรวจสอบปัญหาที่ทำกินของชาวบ้านบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ร.ต.แซมดินจึงชวนนายวีระ สมความคิดไปด้วย เนื่องจากเคยเดินทางไปตรวจสอบที่ดินบริเวณนั้นมาแล้ว “สันติอโศกไม่เกี่ยวข้อง เราเป็นคนไทยอยากจะพิสูจน์ความจริงว่า มันเป็นอย่างไรตรงที่ที่มีปัญหาอยู่ ก็รู้อยู่แล้วว่าตอนนี้เราจะเสียแผ่นดิน และพยายามที่จะต่อสู้อยู่”
ส่วนความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ 7 คนไทยในกัมพูชานั้น เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ทั้งหมดได้ถูกนำตัวขึ้นศาลชั้นต้นแห่งกรุงพนมเปญ เพื่อไต่สวนที่ละคน โดยนายพนิชถูกไต่สวนเป็นคนแรก เป็นที่น่าสังเกตว่า ศาลใช้เวลาไต่สวนคนไทยทั้ง 7 ตั้งแต่เช้ายันค่ำ นานถึง 11 ชั่วโมงกว่าจะเสร็จสิ้น จากนั้นได้นำคนไทยทั้ง 7 ไปคุมขังที่เรือนจำเปรยซอร์เหมือนเดิม โดยก่อนถูกนำตัวไป นายวีระ หันมาพูดกับผู้สื่อข่าวว่า “เขาพยายามยัดเยียดข้อหาผมเพิ่ม แต่ไม่ได้หรอก สรุปผมถูกแจ้ง 2 ข้อหา ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต” ส่วนนายพนิช พูดกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ขอขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง” ทั้งนี้ สื่อกัมพูชาประเมินว่า นายวีระ และนางนฤมล จิตวรารัตน์ เลขานุการส่วนตัวของนายวีระ อาจถูกแจ้งข้อหาเพิ่มฐานจารกรรมข้อมูลทางราชการ หากมีการตรวจพบเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กในตัวนางนฤมลจริงดังที่มีข่าว
ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พูดถึงการประกันตัว 7 คนไทยว่า ศาลกัมพูชายังไม่ได้นัดพิจารณาคดี ต้องดูว่าจะนัดพิจารณาคดีในวันที่ 10 ม.ค.นี้เลยหรือไม่ และว่า หากยื่นประกันตัวเมื่อใด ตามกฎหมายกัมพูชาต้องใช้เวลาอีก 5 วันในการพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ประกันตัวหรือไม่ ส่วนเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษนั้น นายชวนนท์ บอกว่า “เป็นเรื่องของกัมพูชา ญาติผู้ต้องขัง และผู้ต้องขัง รัฐบาลไม่สามารถไปขอพระราชทานอภัยโทษได้ ทั้งนี้ การอภัยโทษต้องให้คดีถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม ในการไต่สวนของศาลกัมพูชาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.ทั้ง 7 คนยืนยันว่าได้เข้าไปในพื้นที่โดยไม่มีเจตนา เพียงต่เข้าไปดูพื้นที่ตามที่ได้รับร้องเรียนจากชาวบ้าน”
ด้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์ประณามผู้ที่ให้ข่าวเท็จ โดยให้ร้ายว่า 7 คนไทยรุกล้ำดินแดนของกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ,นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ,พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม ,นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ฯลฯ แถลงการณ์พันธมิตรฯ ยังยกหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า 7 คนไทยอยู่ในเขตไทยขณะถูกกัมพูชาจับกุม โดยหลักฐานได้แก่ เอกสารสิทธิในการทำกินของราษฎรไทย ส.ค.1 และ น.ส.3 ,หลักฐานภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นว่าบริเวณที่ 7 คนไทยถูกจับอยู่ในค่ายอพยพเขมรของสำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ(UNHCR) ที่ขอยืมพื้นที่ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีแผนผังค่ายอพยพบ้านหนองจานและบริเวณใกล้เคียงที่แสดงให้เห็นถึงบ่อน้ำของค่ายอพยพที่อยู่ในดินแดนของไทย ซึ่ง 7 คนไทยยังไปไม่ถึงจุดดังกล่าว ฯลฯ
ทั้งนี้ แถลงการณ์พันธมิตรฯ ได้แสดงความเสียใจพร้อมให้กำลังใจ 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับ พร้อมประณามรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ใช้อำนาจที่ตัวเองมีในการกดดันกัมพูชาให้ปล่อย 7 คนไทยเหมือนกับนานาประเทศ นอกจากนี้ยังประณามนายฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา ,ทหารกัมพูชา ,รัฐบาลและศาลกัมพูชาที่บังอาจมาจับคนไทยในดินแดนของประเทศไทย ทั้งที่ไทยเคยให้ชาวกัมพูชาที่เดือดร้อนอพยพมาอาศัยหนีภัยสงครามในกัมพูชา การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยและเนรคุณต่อราชอาณาจักรไทยอย่างไร้ยางอายอย่างยิ่ง และว่า เมื่อ 7 คนไทยไม่ได้ล้ำแดนกัมพูชา พันธมิตรฯ จึงขอให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีรักษาศักดิ์ศรีของประเทศด้วยการประกาศไม่รับคำตัดสินของศาลกัมพูชา เพราะถือว่าผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากละเมิดอธิปไตยเหนือดินแดนไทย และตระบัดสัตย์ในข้อตกลงระหว่างไทย-กัมพูชา พร้อมขอให้รัฐบาลยื่นคำขาดอย่างเป็นทางการและใช้มาตรการกดดันอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้กัมพูชาปล่อยตัว 7 คนไทยโดยไม่มีเงื่อนไข
2. 7 แกนนำ นปช.นอนคุกต่อ หลังศาลไม่ให้ประกัน ชี้ คดีอัตราโทษสูง หวั่นหลบหนี ด้าน “ธิดา”เตรียมอุทธรณ์ซ้ำ!
เมื่อวันที่ 4 ม.ค.นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยา นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ในฐานะรักษาการประธาน นปช.พร้อมด้วยนายนรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ในฐานะทีมทนายความของ นปช.ได้เข้าพบแกนนำ นปช.ทั้ง 7 คนที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในคดีก่อการร้าย เพื่อให้แกนนำทั้ง 7 ลงนามในคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวก่อนยื่นคำร้องต่อศาลอาญาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง ,นายนิสิต สินธุไพร ,นายขวัญชัย ไพรพนา ,นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก
ทั้งนี้ นางธิดา ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำ นปช.ทั้ง 7 ต่อศาล พร้อมยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 3 ล้านบาท รวม 21 ล้านบาท โดยให้เหตุผลในการขอปล่อยตัวชั่วคราวว่า เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ของประเทศเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว เห็นได้จากเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้ประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลแล้ว ประกอบกับขณะนี้ทุกฝ่ายในประเทศรวมทั้งนานาชาติ ได้เรียกร้องให้มีการปรองดอง เพื่อคืนความสงบสุขให้กับสังคม เห็นได้จากการที่รัฐบาลตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดอง(คอป.) ขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากทุกฝ่าย เพื่อให้สาธารณชนได้ทราบ เพื่อนำไปสู่แผนปรองดองแห่งชาติ พร้อมยืนยันว่า หากจำเลยทั้ง 7 ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จะไม่หลบหนี
ด้านศาลพิเคราะห์คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและเอกสารประกอบแล้ว เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์เคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำ นปช.ทั้ง 7 ก่อนหน้านี้(14 ต.ค.2553) โดยระบุเหตุผลว่า เนื่องจากข้อหาตามคดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวชั่วคราวเกรงจะหลบหนี เป็นเหตุผลที่ระบุไว้ชัดแจ้งแล้วยังไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง
ด้านนางธิดา ได้เดินทางเข้าเยี่ยม 7 แกนนำ นปช.ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อีกครั้งในวันต่อมา(5 ม.ค.) เพื่อหารือว่า จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลทันทีหรือไม่ โดยมีเวลาอุทธรณ์ภายใน 15 วัน รวมทั้งหารือเกี่ยวกับการชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและแยกราชประสงค์ในวันที่ 9 ม.ค.ด้วย นางธิดา ยังบอกด้วยว่า จะจัดชุมนุมเรียกร้องทุกเดือนจนกว่าคนเสื้อแดงจะได้รับความยุติธรรมและได้ประชาธิปไตยคืนมา และว่า ขณะนี้ตนได้ทำหนังสือไปถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์แล้ว เพื่อขอพยานมาสังเกตการณ์การพิจารณาคดีและไต่สวนคดีของ นปช.ในศาลไทย เพื่อป้องกันความไม่เป็นธรรมระหว่างพิจารณาคดี
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อช่วงบ่ายวันนี้(9 ม.ค.) ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนเคลื่อนไปยังแยกราชประสงค์ในช่วงค่ำนั้น ไฮไลต์อยู่ที่การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยนอกจากได้สวัสดีปีใหม่และอวยพรให้คนเสื้อแดงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณยังบอกด้วยว่า ปี 2554 นี้จะเป็นปีที่ดีของคนไทย เป็นปีที่ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้น ความยุติธรรม-ความเป็นธรรมและความผาสุกจะกลับสู่ประชาชน พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอ้างด้วยว่า รัฐบาลมีแผนไล่ล่าตนและจับกุมแกนนำ นปช.เพราะหวังว่ากลุ่ม นปช.จะยอมแพ้ ซึ่งไม่จริง เพราะวันนี้กลุ่ม นปช.เดินมาไกลเกินกว่าตนแล้ว ทั้งนี้ กลุ่มเสื้อแดงได้สลายการชุมนุมในเวลาประมาณ 21.00น. โดยนัดชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 23 ม.ค.
3. สาวซิ่งซีวิค มอบตัวแล้ว-ตร.ตั้ง 2 ข้อหา ด้านสถานพินิจฯ บอก ไม่มีอำนาจควบคุมตัว ขณะที่ มธ.เตรียมเป็นโจทก์ร่วมญาติเหยื่อฟ้องทั้งแพ่ง-อาญา!
ความคืบหน้ากรณี น.ส.เอ(นามสมมติ) อายุ 16 ปี 6 เดือน ซึ่งเป็นคนนามสกุลดัง “เทพหัสดิน ณ อยุธยา” ตกเป็นผู้ต้องหาขับรถเก๋งฮอนด้าซีวิคชนท้ายรถตู้โดยสารบนทางด่วนโทลล์เวย์ จนมีผู้เสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บอีก 6 คนเมื่อคืนวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยหลังเกิดเหตุ ปรากฏภาพ น.ส.เอยืนกดโทรศัพท์ในลักษณะเหมือนเล่นบีบี แต่บิดา-มารดาของ น.ส.เอยืนยันว่า ลูกสาวแค่กดบีบีบอกเพื่อนที่เป็นเจ้าของรถว่าเกิดอุบัติเหตุ และสอบถามเพื่อนเรื่องประกันเท่านั้น พร้อมอ้างว่า เหตุที่ลูกสาวยืนกดโทรศัพท์ เนื่องจากไม่สามารถนั่งได้ เพราะบาดเจ็บมีแผลที่ก้น ส่วนสาเหตุที่ น.ส.เอไม่ไปขอขมาศพผู้เสียชีวิต เป็นเพราะสภาพจิตใจของลูกสาวยังบอบช้ำ พร้อมเตรียมบวชถือศีลสักพักหลังเข้าพบตำรวจในวันที่ 5 ม.ค.ตามที่ตำรวจออกหมายเรียกนั้น
ปรากฎว่า เมื่อถึงกำหนด(5 ม.ค.) ได้มีการเปลี่ยนสถานที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหา จาก สน.วิภาวดี เป็นกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.)โดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งนี้ น.ส.เอเดินทางมา บช.น.พร้อมด้วย พ.อ.รัฐชัย และนางลัดดาวัลย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา บิดามารดา พร้อมทนายความ 3 คน
หลังแจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำแล้วเสร็จ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รับผิดชอบงานกฎหมายและสอบสวน เผยว่า เบื้องต้นแจ้ง 2 ข้อหา คือ ขับรถประมาทเป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่น ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ทำให้มีผู้ได้รับอันตรายทางจิตใจ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและทำให้มีผู้เสียชีวิต ส่วนอีกข้อหาคือ ขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต และว่า หลังสอบปากคำเสร็จสิ้น จะนำตัว น.ส.เอส่งสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรุงเทพมหานคร ภายใน 24 ชั่วโมง โดยเป็นไปตามกฎหมาย เพราะ น.ส.เออายุ 16 ปี 6 เดือน ส่วนจะควบคุมตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราว ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของสถานพินิจฯ
ส่วนจะให้ความเป็นธรรมกับญาติผู้เสียชีวิตอย่างไรนั้น พล.ต.ต.อำนวย บอกว่า ไม่มีปัญหา ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ตั้งทีมกฎหมายขึ้นมาช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิต และว่า คดีนี้ไม่ได้ลึกลับซับซ้อน มีทั้งวงจรปิด และประจักษ์พยาน ซึ่งมีคนเห็นเหตุการณ์ ทั้งผู้ที่อยู่ในรถตู้ และคนอื่นที่ขับตามหลังมา
สำหรับการดำเนินการกับเจ้าของรถฮอนด้าซีวิคตัวจริงนั้น พล.ต.ต.อำนวย บอกว่า พนักงานสอบสวนได้นัดหมายมาสอบปากคำเรียบร้อยแล้ว และอาจต้องดำเนินคดีด้วย ข้อหายินยอมให้ผู้ไม่มีใบอนุญาตขับขี่นำรถไปใช้ในทางสาธารณะ โดยมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท พล.ต.ต.อำนวย ยังพยายามประสานเพื่อให้ผู้ต้องหาและญาติผู้เสียชีวิตได้มีการเจรจาเพื่อเยียวยาค่าเสียหายด้วย “ผมสอบถามผู้ปกครองแล้วเรื่องเจรจาค่าเสียหาย ไม่ว่าในทางแพ่ง เรื่องการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งเยียวยาคนเจ็บ ผู้เสียชีวิต และผู้เกี่ยวข้อง ทางผู้ปกครอง น.ส.เอประสงค์ให้ตำรวจนัดเจรจาอีกครั้ง ส่วนจะตกลงกันกี่ครั้งกี่คราว ได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของอนาคต ถ้าหากตกลงกันได้ด้วยดีอย่างสมานฉันท์ก็ดี แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็เป็นหน้าที่ของทีมงานกฎหมายที่ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งขึ้นต้องไปฟ้องร้องกันทางแพ่งต่อไป”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำตัว น.ส.เอไปยังสถานพินิจฯ ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามความรู้สึกของ น.ส.เอ แต่เจ้าตัวปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ เมื่อผู้สื่อข่าวถามนำว่า มีอะไรจะพูดขอโทษหรือไม่ น.ส.เอ บอกเพียงสั้นๆ ว่า “ขอโทษค่ะ หนูเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นอุบัติเหตุ”
ด้านนางทัศนาวไล ไกรนรา ผู้อำนวยการสถานพินิจฯ เผยขั้นตอนการดำเนินการกับ น.ส.เอว่า เบื้องต้นได้ให้เจ้าหน้าที่กรมคุมประพฤติสอบปากคำ น.ส.เอ และผู้ปกครอง โดยเมื่อรวบรวมข้อเท็จจริงเสร็จสิ้น กรมพินิจฯ จะส่งข้อมูลให้พนักงานสอบสวน เพื่อส่งให้อัยการส่งฟ้องศาลเยาวชนและครอบครัว จากนั้นศาลเยาวชนฯ จะส่งสำเนาคำฟ้องกลับมายังสถานพินิจฯ อีกครั้ง และสถานพินิจฯ จะเสนอรายงานข้อเท็จจริงในส่วนของสถานพินิจฯ ให้ศาลเพื่อพิจารณาคดีต่อไป
นางทัศนาวไล บอกด้วยว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งผู้เสียหายเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังนั้นญาติผู้เสียหายสามารถเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการในการฟ้องคดีหรือสามารถยื่นคำร้องต่อผู้อำนวยการสถานพินิจฯ เพื่อขอยื่นฟ้องเอง และสามารถเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้ “คดีนี้มีอัตราโทษจำคุก 7 ปี แต่ผู้ต้องหาเป็นเยาวชนและได้มอบตัว หลังจากเจ้าหน้าที่กรมพินิจฯ สอบปากคำเสร็จสิ้นแล้ว จะไม่มีการควบคุมตัว สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยกเว้นทางเจ้าหน้าที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม จะนัดเป็นครั้งๆ ไป”
ขณะที่นางลัดดาวัลย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา มารดาของ น.ส.เอ เผยหลังให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่สถานพินิจฯ ว่า ตนและลูกสาวเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และหากเป็นไปได้ พร้อมจะไปเยี่ยมผู้เสียหายทุกคน และว่า ลูกสาวมีโรคประจำตัว ต้องกินยาเป็นประจำ ดังนั้นคงไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ คงต้องให้เรียนต่อในประเทศ ส่วนเรื่องบวชนั้น คงต้องหารือกันอีกครั้ง
ด้านนายธวัชชัย ไทยเขียว อธิบดีกรมพินิจฯ พูดถึงสาเหตุที่สถานพินิจฯ ปล่อยตัว น.ส.เอ ว่า น.ส.เอเป็นเยาวชน และเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สถานพินิจฯ ไม่มีอำนาจควบคุมตัว และว่า คดีนี้ควรเอาผิดเจ้าของรถฮอนด้าซีวิคด้วย ฐานเป็นผู้ให้การสนับสนุนหรือส่งเสริมให้เยาวชนประพฤติตนไปในทางเสียหายหรือกระทำผิดมาตรา 26(3) ของ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะที่ พ.ต.ท.วิจิตร ด่านธำรงกุล พนักงานสอบสวน สน.วิภาวดี บอกว่า เบื้องต้นทราบแล้วว่าเจ้าของรถฮอนด้าซีวิค เป็นผู้หญิง แต่ยังไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับ น.ส.เอ อย่างไร โดยได้ออกหมายเรียกให้เข้าพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 19 ม.ค.นี้ เพื่อสอบปากคำถึงที่มาที่ไปของรถ เนื่องจากตามสำเนาทะเบียนรถเป็นผู้เช่าซื้อและเจ้าตัวอยู่ที่ จ.ภูเก็ต แต่รถดังกล่าวกลับมาใช้ที่กรุงเทพฯ และอยู่ที่ น.ส.เอได้อย่างไร สำหรับสำนวนคดี ขณะนี้คืบหน้าประมาณ 70% แล้ว ขาดเพียงเอกสารจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับคดีและสอบปากคำเจ้าของรถตัวจริง ก่อนจะรวบรวมหลักฐานส่งฟ้องอัยการต่อไป
ด้าน ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) เผยว่า วันที่ 10 ม.ค.นี้ จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลและไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิตที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ส่วนวันที่ 14 ม.ค.จะหารือกับญาติผู้เสียหายถึงแนวทางดำเนินคดีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ก่อนเปิดแถลงข่าว “วันดังกล่าว ญาติและครอบครัวผู้เสียหายจะมอบอำนาจให้มหาวิทยาลัยตั้งทนายความเป็นโจทก์ร่วมในคดี ซึ่งตอนนี้กระบวนการยุติธรรมได้เดินหน้าแล้ว เพราะตำรวจได้ตั้งข้อหาผู้กระทำโดยประมาทแล้ว พร้อมกันนั้นจะหารือถึงคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องคดีอาญาด้วย”
4. “7 วันอันตราย” ตายพุ่ง 358 ราย โดยเฉพาะภาคกลาง-อีสาน ด้าน “สุเทพ” สั่ง “ศปถ.”รับมือสงกรานต์!
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์ 7 วันอันตรายช่วงเทศกาลปีใหม่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน(ศปถ.) ได้แถลงสรุปตัวเลขอุบัติเหตุทางถนนระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.2553-4 ม.ค.2554 ว่า เกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น 3,497 ครั้ง ลดลงจากปีที่แล้ว 37 ครั้ง สำหรับยอดผู้เสียชีวิตในปีนี้ มีทั้งสิ้น 358 ศพ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 11 คน ส่วนผู้บาดเจ็บมีจำนวน 3,750 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 77 คน สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ เมาสุรา ส่วนยานพาหนะที่เกิดอุบัติสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 83.24 ทั้งนี้ ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน ร้อยละ 58.03
นายสุเทพ บอกด้วยว่า เมื่อดูสถิติของการเกิดอุบัติเหตุเป็นรายภาค พบว่า ภาคใต้อุบัติเหตุลดลง แสดงว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้ดียิ่งขึ้น ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากนั้น ทางศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจะต้องวิเคราะห์สาเหตุ เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขต่อไป เพื่อให้ตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตลดลงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะมาถึง