คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1. “สมเด็จพระบรมฯ” เสด็จฯ แทนพระองค์ พระราชทานเพลิง “จ่าเพียร” ด้าน ตร.รวบตัวผู้ต้องสงสัยได้ 3 รายแล้ว!
ความคืบหน้ากรณี พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา จ.ยะลา เจ้าของฉายา “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “จ่าเพียร” เสียชีวิตจากเหตุระเบิดที่คนร้ายลอบวางไว้ใต้พื้นถนนเมื่อวันที่ 12 มี.ค. โดยเป็นการเสียชีวิตหลังจากที่ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอย้ายออกจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ไม่สำเร็จ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสลดพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ทรงทราบว่า พ.ต.อ.สมเพียรอยากจะขอพระราชทานพระราชวโรกาสเข้าเฝ้าฯ แต่ก็ไม่มีโอกาส กระทั่งเสียชีวิตนั้น เมื่อวันที่ 17 มี.ค. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จฯ แทนพระองค์ ประกอบพิธีพระราชทานเพลิง พ.ต.อ.สมเพียร ที่วัดคลองเปล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ท่ามกลางประชาชนเข้าร่วมงานจำนวนมาก รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ,พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ในการนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้พระราชทานพระราชวโรกาสให้นางพิมพ์ชนา ภูวพงษ์พิทักษ์ ภรรยา พ.ต.อ.สมเพียร พร้อมบุตรชายทั้ง 4 คนเข้าเฝ้าฯ อย่างใกล้ชิด และพระราชทานกำลังใจให้แก่ครอบครัวนางพิมพ์ชนา พร้อมยกย่องการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.อ.สมเพียรที่เสียสละเพื่อแผ่นดิน ก่อนเสด็จฯ กลับ
ด้านนางพิมพ์ชนา บอกว่า แม้จะเสียใจที่ต้องสูญเสียสามี ซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่รู้สึกภาคภูมิใจในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร รับสั่งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใย และทราบว่า พ.ต.อ.สมเพียรเสียชีวิตด้วยความเสียสละ กล้าหาญ พร้อมพระราชทานของที่ระลึกเป็นกล่องสวยงาม พร้อมรับสั่งถึงความเป็นอยู่และการทำงานของลูกชายทั้ง 4 คน นางพิมพ์ชนา ยังบอกด้วยว่า หลังจากนี้จะให้ลูกเปลี่ยนมาใช้นามสกุล ภูวพงษ์พิทักษ์ หมายถึงตระกูลผู้รักษาแผ่นดิน มี พ.ต.อ.สมเพียรเป็นต้นตระกูล “หวังว่าการเสียชีวิตของสามีจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อม เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
นางพิมพ์ชนา ยังพูดถึงกรณีที่สมาคมตำรวจมีแนวคิดจัดสร้างอนุสาวรีย์ พ.ต.อ.สมเพียรที่ สภ.บันนังสตาด้วยว่า “ถ้าหากการจัดสร้างอนุสาวรีย์ของสามีเป็นจริง อยากให้ตั้งเอาไว้ที่โรงเรียนตำรวจภูธรภาค 9 จ.ยะลา เพื่อให้นักเรียนพลตำรวจได้ร่วมรำลึกและดูเป็นแบบอย่างในการทำงาน เพื่อปลูกฝังให้ตำรวจทำงานให้ได้เหมือนกับ ผกก.สมเพียร หรือไม่อย่างนั้น ดิฉันอยากให้ตั้งอนุสาวรีย์ของ พ.ต.อ.สมเพียรที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นอุทาหรณ์ ระลึกและจดจำว่านายตำรวจคนนี้เคยขึ้นมาร้องเรียนเรื่องการโยกย้าย แต่ไม่เคยได้รับความเป็นธรรม เหมือนกับการร้องขอชีวิต แต่ผู้บังคับบัญชาไม่เคยเหลียวแล ไม่ได้มองถึงผลงานของนายตำรวจคนนี้ จนกระทั่งเกิดความสูญเสียขึ้น”
ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ แถลงว่า เมื่อวันที่ 16 มี.ค. นายกฯ ได้ลงนามในประกาศสำนักนายกฯ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เรื่องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ พล.ต.อ.ให้กับ พ.ต.อ.สมเพียร และยศ พ.ต.อ.ให้กับ ด.ต.โสภณ อินทรบวร คนขับรถของ พ.ต.อ.สมเพียร ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เดียวกัน ส่วนประกาศฉบับที่ 2 พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทยให้ พ.ต.อ.สมเพียร และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นเบญจมาภรณ์มงกุฎไทยให้ ด.ต.โสภณ
ส่วนการติดตามจับกุมคนร้ายที่ลอบวางระเบิด เป็นเหตุให้ พ.ต.อ.สมเพียรเสียชีวิตนั้น เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ตำรวจศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศชต.) ได้นำกำลังเข้าควบคุมตัวนายหะกัม ปูตะ ,นายอับดุลเลาะ อาลีมามะ และนายลุกมัน อาลีมามะ ที่บ้านพักใน อ.บันนังสตา ตามหมาย พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มาสอบสวน เพื่อขยายผลต่อไป ทั้งนี้ จากการสอบสวนเชื่อว่า ผู้ต้องสงสัยน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบวางระเบิด พ.ต.อ.สมเพียร ด้าน พล.ต.ต.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ รองผู้บัญชาการ ศชต.บอกว่า เบื้องต้น ผู้ต้องสงสัยทั้งสามคนยังให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดดังกล่าว
2. มือมืด ป่วนเมืองไม่เลิก บึ้ม 2 แห่งในคืนเดียว “กลาโหม-ป.ป.ช.” ด้าน“บิ๊กจิ๋ว” เลิกเหนียม ขึ้นเวทีเสื้อแดง ชมม็อบยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก!
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากได้นัดชุมนุมใหญ่ที่ถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ 14 มี.ค. พร้อมออกแถลงการณ์ขีดเส้นให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาภายในเที่ยงวันที่ 15 มี.ค. แต่นายอภิสิทธิ์พร้อมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลได้เปิดแถลงว่าไม่สามารถยุบสภาในขณะนี้ได้ เนื่องจากไม่ได้มีปัญหาความขัดแย้งในสภา และไม่ได้เกิดวิกฤตที่การเลือกตั้งใหม่จะสามารถแก้ปัญหาได้ ประกอบกับมองว่าข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมในขณะนี้ได้พาดพิงไปไกลกว่าเรื่องของตัวนายกฯ หรือรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลต้องฟังเสียงของประชาชนที่ไม่ใช่ผู้ชุมนุมด้วย ส่งผลให้แกนนำ นปช.ไม่พอใจ ประกาศยกระดับการชุมนุมขึ้นอีกขั้นตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. ด้วยการเจาะเลือดผู้ชุมนุมคนละ 10 ซีซี หวังให้ได้ 1 ล้านซีซี เพื่อนำไปเทหน้าทำเนียบรัฐบาล-หน้าพรรคประชาธิปัตย์ และหน้าบ้านนายกรัฐมนตรีนั้น
ปรากฏว่า หลังเจาะเลือดผู้ชุมนุม นอกจากจะได้เลือดไม่ถึง 1 ล้านซีซีแล้ว ยังมีการไปกว้านซื้อเลือดวัวเลือดควายมาสมทบด้วย ซึ่งเรื่องนี้ได้ถูกแฉโดยนายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาบอกว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านย่านตลาดท่าอิฐ จ.นนทบุรีว่า เมื่อคืนวันที่ 16 มี.ค. มีคนเสื้อแดง จ.นนทบุรี 3 คนไปขอซื้อเลือดวัวเลือดควายจากโรงเชือดวัวและควายในชุมชนของพี่น้องชาวมุสลิมย่านท่าอิฐจำนวนมากผิดปกติ โดยซื้อไปทั้งหมดกว่า 30 ลิตร บรรจุถังแกลลอนถังละ 5 ลิตร จำนวน 6 แกลลอน คาดว่าจะนำไปผสมน้ำและสารบางตัวที่ทำให้เลือดไม่แข็งตัว โดยอ้างว่าเป็นเลือดคน เพื่อไปเทที่หน้าบ้านนายกฯ
ทั้งนี้ แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามป้องกันไม่ให้กลุ่มเสื้อแดงบุกไปเทเลือดหน้าทำเนียบฯ หน้าพรรคประชาธิปัตย์ และหน้าบ้านนายกฯ แต่ก็ไม่สำเร็จ โดยกลุ่มเสื้อแดงสามารถเทเลือดที่ประตูทำเนียบฯ ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ นอกจากกลุ่มเสื้อแดงจะเทเลือดบริเวณริมฟุตปาธหน้าพรรคแล้ว ยังไปเทเลือดบนลานแม่พระธรณีบีบมวยผม สัญลักษณ์ของพรรคฯ ด้วย ส่วนที่หน้าบ้านนายอภิสิทธิ์นั้น นอกจากกลุ่มเสื้อแดงจะเทเลือดใส่ประตูหน้าบ้านแล้ว คนเสื้อแดงบางส่วน รวมทั้งแกนนำอย่างนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ยังได้นำเลือดที่บรรจุใส่ถุงปาใส่หลังคาบ้านนายอภิสิทธิ์ด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่า การประท้วงด้วยการเทเลือดของกลุ่มเสื้อแดงนี้ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลต้องส่งหน่วยทำความสะอาดมาฆ่าเชื้อบริเวณที่มีการเทเลือด ก่อนนำลิ่มเลือดไปทำลาย
ด้าน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ได้นำน้ำมนต์จากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปประพรมแม่พระธรณี เพื่อขอขมา หลังทำพิธีขอขมาแล้ว นายสุเทพได้ประชุมกับรัฐมนตรีของพรรคฯ โดยมีการประเมินกันว่า การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงอาจยืดเยื้อ เพราะได้ข้อมูลทางการข่าวว่า นายใหญ่ได้ส่งเงินก๊อก 2 ผ่านมายังเครือข่ายนักธุรกิจในประเทศไทย อักษรย่อ ส. ป. พ. เพื่อกระจายต่อไปยัง ส.ส.พรรคเพื่อไทยในภาคอีสานคนละ 15 ล้านบาท เพื่อใช้ขนคนในพื้นที่มาชุมนุม ซึ่งจะทำให้การชุมนุมยืดเยื้อต่อไป
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอลิงก์มายังเวทีคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ(17 มี.ค.) โดยปลุกให้คนเสื้อแดงอดทนอีก 1 สัปดาห์จะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยทั้งประเทศ เพื่ออนาคตของลูกหลาน ขณะที่แกนนำ นปช. ประกาศจะเคลื่อนขบวนครั้งใหญ่อีกครั้งในวันที่ 20 มี.ค. โดยจะเคลื่อนแบบดาวฤกษ์ ไม่ใช่ดาวกระจาย และไม่ใช่เคลื่อนเฉพาะฝั่งพระนคร แต่ขยายไปฝั่งธนบุรีด้วย นอกจากนี้จะมีการปรับยุทธวิธีต่อสู้แบบยืดเยื้อ โดยเฉพาะการปราศรัยบนเวที ที่นอกจากจะมี พ.ต.ท.ทักษิณวิดีโอลิงก์เข้ามาแล้ว ยังจะมีวิทยากรจากบ้านเลขที่ 111 (อดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง) และอีก 31 (กก.บห.)พรรคพลังประชาชน รวมทั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ขึ้นปราศรัย รวมทั้งวิทยากรพิเศษอย่างนายสมชาย วงศ์ศวัสดิ์ อดีตนายกฯ ด้วย
สำหรับบรรยากาศการเคลื่อนขบวนของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อวันที่ 20 มี.ค. ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาตหลายจุด ขณะที่ร้านขายทองแถวเยาวราชต่างพากันปิดร้านเมื่อขบวนคนเสื้อแดงเคลื่อนผ่าน ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทย และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รอสมทบขบวนของคนเสื้อแดงที่หน้าพรรคเพื่อไทย ขณะที่คนเสื้อแดง จ.สมุทรปราการ ได้นำมวลชนประมาณ 500 คนไปชุมนุมหน้าตึกเนชั่น หลังไม่พอใจที่หนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น เสนอข่าวว่าเลือดที่คนเสื้อแดงนำมาเทที่หน้าทำเนียบฯ –หน้าพรรคประชาธิปัตย์ และหน้าบ้านนายกฯ มาจากเลือดวัวเลือดควาย อย่างไรก็ตามหลังผู้บริหารเครือเนชั่นรับเรื่องร้องเรียนแล้ว กลุ่มเสื้อแดงดังกล่าวได้เคลื่อนไปสมทบกับขบวนใหญ่
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังกลุ่มเสื้อแดงเสร็จสิ้นการเคลื่อนขบวนทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี กระทั่งกลับมาปักหลักที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศในช่วงเย็นแล้ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ได้มาขึ้นเวทีปราศรัยเป็นครั้งแรก โดยชื่นชมคนเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้องอำนาจการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยให้กลับมาเป็นของประชาชน “ตลอดระยะเวลา 78 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยเห็นการชุมนุมที่ประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงไม่ใช่ม็อบ แต่เป็นมหามวลชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่มาร่วมกันประกอบภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ในการเรียกร้องอำนาจให้กลับมาอยู่ที่ประชาชน” พล.อ.ชวลิตยังชมแกนนำ นปช.ด้วยที่สามารถดูแลการชุมนุมให้ปราศจากความรุนแรงได้
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วิดีโอลิงก์มายังเวทีคนเสื้อแดงในคืนเดียวกัน(20 มี.ค.) โดยนอกจากโจมตีนายอภิสิทธิ์และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษแล้ว ยังปลุกให้คนกรุงเทพฯ ออกมาร่วมขบวนการกับคนเสื้อแดงด้วย “พี่น้องคนกรุงเทพฯ มาร่วมขบวนการกับคนเสื้อแดงเถอะ เอากำลังมาเสริมกันเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยที่แท้จริง แล้วผมจะเข้าไปจัดกระบวนการเมืองใหม่ ให้พี่น้องเกิดความมั่งคั่ง สร้างเศรษฐีให้เกิดเยอะๆ ในเมืองไทย”
ขณะที่แกนนำ นปช. คุยโวว่า การที่กลุ่มเสื้อแดงสามารถเคลื่อนขบวนได้อย่างเรียบร้อยไม่เกิดเหตุรุนแรง สะท้อนว่าคนกรุงเทพฯ ก็ไม่พอใจรัฐบาลชุดนี้เช่นกัน แกนนำ นปช.ยังเตือนนายอภิสิทธิ์ด้วยว่า หากอยากรักษาชีวิตทางการเมืองและไม่ต้องการเป็นนายกฯ ที่มีคนออกมาขับไล่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ก็ขอให้ประกาศยุบสภาโดยเร็ว ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.บอกว่า หลังจากนี้อาจจะใช้มาตรการแบ่งกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อตามนายอภิสิทธิ์ทุกที่ที่เดินทางไป
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงการเคลื่อนขบวนของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 20 มี.ค.ว่า “พรรคได้รับแจ้งจากคนย่านมีนบุรีว่ามีคนใกล้บ้านว่าจ้างรถปิคอัพคันละ 2-3 พันบาทให้มาร่วมขบวน นอกจากนี้ยังมีการจ้างคนเชียร์ในลักษณะจัดตั้งอย่างน้อยคนละ 500 บาท เพื่อให้มายืนโบกมือสร้างกระแสว่าคน กทม.เห็นด้วยกับการชุมนุม ซึ่งเป็นการหวังผลทางจิตวิทยา”
ทั้งนี้ หลายฝ่ายในสังคม เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)ได้เสนอให้รัฐบาลเจรจากับผู้ชุมนุมเพื่อหาทางออกร่วมกัน ซึ่งนอกจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมเปิดการเจรจา หากนำไปสู่ข้อยุติทางการเมืองและความสงบ แต่แกนนำ นปช.ต้องไม่ใช้การยุบสภาเป็นเงื่อนไขต่อรองแล้ว ล่าสุด วานนี้(21 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ยังได้นำทีมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เปิดแถลงยืนยันอีกครั้งว่า พรรคร่วมรัฐบาลก็เห็นด้วยกับแนวทางเปิดการเจรจากับตัวแทน นปช. ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.บอกว่า “นปช.พร้อมเจรจากับนายอภิสิทธิ์คนเดียวเท่านั้น บนพื้นฐานการเจรจาแบบเสมอภาค ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปกครองหรือผู้อยู่ใต้ปกครอง”
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมากล่าวหา กสม.ทำนองว่าไม่มีความเป็นกลาง เพราะไปแถลงข่าวร่วมกับรัฐบาลที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ร้อนถึง นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการ กสม.ได้ออกมาชี้แจงว่า ตอนที่ กสม.คุยกับแกนนำ นปช. ทางแกนนำก็เป็นผู้กำหนดสถานที่ และเมื่อหารือกันแล้ว แกนนำ นปช.ก็ขอให้ กสม.เป็นคนสื่อข้อความไปถึงรัฐบาล นพ.ชูชัย ยังเตือนสติ พ.ต.ท.ทักษิณด้วยให้หยุดถ่วงกระบวนการเจรจา “ผมอยากวิงวอนให้ พ.ต.ท.ทักษิณหยุดบิดเบือนและทำให้กระบวนการเจรจาต้องหยุดชะงักลง เพราะเท่ากับเป็นการรื้อสะพานแห่งสันติภาพที่เริ่มก่อตัวขึ้น ผมไม่อยากเห็นทั่วทั้งแผ่นดินสยามต้องลุกเป็นไฟ เช่นที่เกิดขึ้นที่ปลายด้ามขวานจนยากแก่การเยียวยาจนบัดนี้”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในขณะที่การเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำ นปช.ยังไม่ได้เปิดฉาก ก็ได้เกิดความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์(ร.1 พัน 1 รอ.) และยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่บ้านพักนักธุรกิจห่างจากบ้านนายอักราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุดแค่ 200 เมตร โดยล่าสุด เมื่อคืนวันที่ 20 มี.ค. มือมืดได้ยิงระเบิดเอ็ม 79 และจรวดอาร์พีจีเข้าใส่สถานที่สำคัญ 2 แห่ง จุดแรกที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)แห่งใหม่ ใกล้สนามบินน้ำ เหตุเกิดเมื่อเวลา 21.30น. โดยระเบิดตกลงบริเวณสนามหญ้าหน้าสำนักงาน ป.ป.ช. หลังจากนั้นประมาณ 1 ชม.(22.30น.) คนร้ายก็ได้ยิงจรวดอาร์พีจี เข้าใส่กระทรวงกลาโหม แต่พลาดเป้า เนื่องจากจรวดพุ่งไปติดสายไฟฟ้าบริเวณปากซอยแพร่งภูธร จึงเกิดระเบิดขึ้น แรงระเบิด นอกจากทำให้บ้านเรือนประชาชนบริเวณดังกล่าวได้รับความเสียหายแล้ว ยังทำให้มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย เป็นเจ้าหน้าที่เก็บขยะของ กทม. โดยถูกสะเก็ดระเบิดที่แขนซ้าย
ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้พบรถต้องสงสัยจอดอยู่ข้างโรงแรมสิริมิตร ซ.แพร่งสรรพศาสตร์ ห่างจากจุดระเบิดประมาณ 500 เมตร เป็นรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน ตศ.9818 กทม. ซึ่งภายหลังทราบว่าเป็นทะเบียนปลอม สภาพรถกระจกแคบด้านหลังคนขับหายไปทั้งบาน กระจกประตูด้านซ้ายแตกทั้งบาน มีคราบเขม่าดินปืนติดอยู่ในภายรถ จากการตรวจสอบภายในรถ พบเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี 1 กระบอก ระเบิดขว้างชนิดสังหารชนิดเอ็ม 67 จำนวน 3 ลูก พร้อมด้วยอาวุธปืนและกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ยังพบเสื้อยืดสกรีนชื่อ ส.จ.คณะวัฒน์ อังสนานิวัฒน์ ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด จ.นครราชสีมา ทั้งนี้ พยานที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า หลังคนร้ายยิงจรวดอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหมแล้ว ได้ขับรถไปจอดทิ้งบริเวณดังกล่าว ก่อนจะเดินไปยังถนนราชดำเนินที่กลุ่มเสื้อแดงชุมนุมอยู่
ด้านนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกรัฐบาล พูดถึงเหตุยิงจรวดอาร์พีจีเข้าใส่กระทรวงกลาโหมและยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่สำนักงาน ป.ป.ช.แห่งใหม่ว่า ขณะนี้ได้หลักฐานชิ้นสำคัญที่สาวไปถึงตัวบุคคลผู้กระทำแล้ว โดยหลักฐานชี้ชัดว่าเป็นกลุ่มใด
ขณะที่พรรคการเมืองใหม่ ออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วงกรณีเกิดเหตุระเบิดขึ้นหลายครั้ง ซึ่งชี้ให้เห็นถึงเจตนาอันป่าเถื่อนของกลุ่มที่หวังโค่นรัฐบาล พร้อมจี้ให้รัฐบาลจับกุมคนร้ายให้ได้ หาไม่แล้ว รัฐบาลก็ไม่มีความหมายที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป พร้อมกันนี้พรรคการเมืองใหม่เห็นด้วยกับแนวทางการเจรจาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ความตึงเครียดในขณะนี้ แต่การเจรจาต้องอยู่บนเงื่อนไขของประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่ความพึงพอใจของใครคนใดคนหนึ่ง แถลงการณ์ของพรรคการเมืองใหม่ ยังแสดงความไม่เห็นด้วยกรณีที่แกนนำ นปช.ประกาศไล่คุกคามการทำหน้าที่ของนายกฯ และคณะรัฐมนตรี รวมทั้งกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการทรยศต่อภาษีของประชาชน หาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยไม่พร้อมจะทำงานในสภา ก็ควรประกาศลาออกเพื่อให้มีการเลือกตั้งซ่อม
3. รวบ 8 พลทหารขโมยระเบิดจากคลังแสงพัทลุงแล้ว-สารภาพขายให้โจรใต้ ไว้ใช้ก่อเหตุ!
ความคืบหน้ากรณีอาวุธสงครามส่วนหนึ่งหายไปจากคลังแสงกองพันทหารช่างที่ 401 ค่ายอภัยบริรักษ์ จ.พัทลุงเมื่อวันที่ 3 มี.ค. ประกอบด้วย ระเบิดสังหารชนิดเอ็ม 26 และเอ็ม 67 จำนวน 20 ลูก กระสุนปืนเอชเค เอ็ม 16 จำนวน 2,000 นัด กระสุนปืน 11 มม.จำนวน 1,000 นัด ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 มี.ค. พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 เผยว่า หลังจากได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบจนได้เบาะแส เจ้าหน้าที่จึงได้นำกำลังไปค้นบ้านของคนร้ายที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งได้พบอาวุธที่สูญหายไปทั้งหมด โดยคนร้ายเป็นพลทหารจำนวน 8 นาย ที่ถูกเกณฑ์มาจากพื้นที่ จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ขณะนี้ได้นำตัวคนร้ายมาสอบสวนที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ภาค 4 ส่วนหน้า และว่า การขโมยอาวุธครั้งนี้ มีการทำกันเป็นขบวนการและทำมานานแล้ว โดยอาวุธที่ขโมยได้จะแบ่งนำไปขาย และนำไปก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ “หลังจากได้ทราบว่าเครื่องกระสุนปืนได้หายไปจากคลังแสง ภายในค่ายอภัยบริรักษ์ที่ จ.พัทลุง ได้มีการติดตามและสอบสวนทหารและกำลังพลที่ได้อยู่เวรยามในวันนั้น โดยตั้งเป้าที่ทหาร 8 นาย ที่อยู่เวรยามในคืนนั้น และเป็นคนในพื้นที่ จ.ปัตตานีทั้งหมด โดยให้เจ้าหน้าที่ทหารจากค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ไปซักถาม ปรากฏว่า ทั้งหมดได้ให้การรับสารภาพ และนำไปเอาของต่างๆ คืนมา โดยส่วนหนึ่งได้นำไปฝังไว้ภายในค่ายอภัยบริรักษ์ ส่วนหนึ่งไปฝังไว้ที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี และที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ขณะนี้ได้สิ่งของคืนมาทั้งหมดแล้ว”
พล.ท.พิเชษฐ์ บอกด้วยว่า จากการสอบสวนพลทหารทั้งหมด ทราบว่าต้องการเงิน และมีการติดต่อซื้อขายเครื่องกระสุนกับกลุ่มที่ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ จ.ปัตตานี เพื่อนำไปก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และว่า จากการซักถามขยายผล ปรากฏว่า พลทหารทั้ง 8 นายมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการและเคยเข้าร่วมขบวนการมาแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนขยายผลว่าจะเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อความรุนแรงกลุ่มใด เพื่อจะได้ติดตามจับกุมต่อไป ส่วนพลทหารทั้ง 8 นาย ขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ค่ายทหารแล้ว
4. “ศาล”สั่งออกหมายจับ “แรมโบ้อีสาน-ธีระชัย” ส่อหนีคดีหมิ่นประมาท “อภิสิทธิ์”!
เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ “แรมโบ้อีสาน” อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคไทยรักไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และนายธีระชัย แสนแก้ว อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคไทยรักไทย เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา สืบเนื่องจากกรณีที่นายสุภรณ์และนายธีระชัย กล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงแล้วว่า เงินที่เพิ่มขึ้นมานั้นมาจากส่วนแบ่งมรดก
สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้อง ให้จำคุกนายสุภรณ์ 12 เดือน และปรับ 20,000 บาท ส่วนนายธีระชัยจำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี ต่อมานายอภิสิทธิ์ ในฐานะโจทก์ได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลไม่รอการลงโทษ ขณะที่นายสุภรณ์และนายธีระชัย จำเลยได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลยกฟ้อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงกำหนดนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 19 มี.ค. ปรากฏว่า นายสุภรณ์และนายธีระชัยไม่มาศาล และไม่ได้มอบหมายให้ทนายความมาศาลเพื่อแจ้งเหตุขัดข้องแต่อย่างใด ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยได้รับหมายศาลโดยชอบแล้ว แต่ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง เห็นว่ามีพฤติการณ์น่าจะหลบหนี จึงให้ออกหมายจับจำเลยทั้งสองมาฟังคำพิพากษาต่อไป โดยศาลนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้งในวันที่ 21 เม.ย. เวลา 09.00 น.