xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 28 ธ.ค.2552-3 ม.ค.2553

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ส.ค.ส.ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในปีใหม่นี้
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ในหลวง” พระราชทานพรปีใหม่คนไทย ให้คิดหน้าคิดหลัง-ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก!

เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพรปีใหม่แก่ประชาชนชาวไทยเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ประจำปี 2553 โดยนอกจากทรงขอบใจประชาชนที่ห่วงใยเกี่ยวกับพระอาการประชวรของพระองค์แล้ว ยังทรงอวยพรให้ประชาชนมีความสุขสวัสดี ทั้งนี้ พระองค์ทรงแนะวิธีที่จะทำให้ความสุขสวัสดีบังเกิดขึ้นได้ว่า “ความสุขสวัสดีนี้เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างยิ่งของคนเรา แต่จะสำเร็จผลเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถและสติปัญญาในการประพฤติตัวปฏิบัติงานของแต่ละบุคคล ในปีใหม่นี้จึงขอให้ชาวไทยทุกคนได้ตั้งจิตตั้งใจให้เที่ยงตรงแน่วแน่ที่จะประพฤติตัวปฏิบัติงานให้เต็มกำลังความสามารถ โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดกำกับอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ จะคิดจะทำสิ่งใดต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ให้รอบคอบ ทำให้ดี ให้ถูกต้อง ข้อสำคัญจะต้องระลึกรู้โดยตระหนักว่าประโยชน์ส่วนรวมนั้นเป็นประโยชน์ที่แต่ละคนพึงยึดเป็นเป้าหมายหลักในการประพฤติตัวและปฏิบัติงาน เพราะเป็นประโยชน์ที่ยั่งยืนแท้จริง ซึ่งทุกคนมีผลได้รับทั่วถึงกัน ความสุขความสวัสดีจักได้เกิดมีขึ้นทั้งแก่บุคคลทั้งแก่ชาติบ้านเมืองไทย ดังที่ทุกคนทุกฝ่ายตั้งใจปรารถนา...”

สำหรับ ส.ค.ส.ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้แก่พสกนิกรชาวไทยในปีนี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ ในฉลองพระองค์แจ๊คเก็ตสีชมพูทับฉลองพระองค์ชั้นในสีขาว พระสนับเพลาสีกากี ประทับบนพระเก้าอี้ที่ตั้งอยู่กลางสนามหญ้าและสวนดอกไม้ โดยมีคุณทองแดงและคุณทองหลาง สุนัขทรงเลี้ยงนั่งเฝ้าอยู่ข้างพระเก้าอี้ทั้งสองด้าน ทั้งนี้ มุมบนด้านซ้ายของ ส.ค.ส.มีข้อความว่า ส.ค.ส.2553 ขณะที่ด้านขวามีข้อความภาษาอังกฤษว่า Happy New Year 2010 ส่วนด้านล่างของ ส.ค.ส.มีข้อความว่า สวัสดีปีใหม่ ขอจงมีความสุข ความเจริญ นอกจากนี้ยังมีตัวเลขระบุวันเดือนปีและเวลาว่า 2009 12 27 / 15 : 25

2.นักข่าว ตั้งฉายา “อภิสิทธิ์-หล่อหลักลอย” ขณะที่ “สุเทพ-แม่นมอมทุกข์” ด้าน “เฉลิม-ดาวดับ”ประจำสภา!
 ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย  ได้ฉายาจากนักข่าวว่า เป็นดาวดับประจำสภา
นับเป็นประเพณีปฏิบัติสำหรับทุกปีที่ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลและผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาจะตั้งฉายาให้กับนายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรี-สภา-ส.ส.-ส.ว. โดยในปี 2552 ที่ผ่านไป ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบฯ ได้ตั้งฉายารัฐบาลว่า “ใครเข้มแข็ง?” เนื่องจากรัฐบาลประกาศแผนพลิกฟื้นประเทศไทยให้พ้นจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองผ่านแผนปฏิบัติการ “ไทยเข้มแข็ง” ภายใต้ พ.ร.บ.และ พ.ร.ก.กู้เงินรวม 8 แสนล้านบาท ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเรื่องผลประโยชน์ของพรรคร่วมรัฐบาล ความโปร่งใส จนเกิดคำถามว่าการสร้างหนี้เพื่อฟื้นประเทศไทยทำให้ใครเข้มแข็ง ระหว่างประชาชนหรือนักการเมือง?

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับฉายาว่า “หล่อหลักลอย” เนื่องจากมีภาพลักษณ์เพียบพร้อม เมื่อเข้ารับตำแหน่งประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อ แต่เมื่อรัฐมนตรีมีปัญหาข้อกฎหมาย ไม่โปร่งใส ไม่สามารถกำกับให้กฎเหล็กมีผลใช้บังคับได้ ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้รับฉายา “แม่นมอมทุกข์” เนื่องจากเป็นผู้สานฝันให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ สำเร็จ แต่นายอภิสิทธิ์กลับสร้างปัญหาหนักอกให้นายสุเทพตามล้างตามเช็ดหลายอย่าง และถูกวิจารณ์ว่าตีตัวออกห่าง จนอยู่ในอาการอมทุกข์

ขณะที่รัฐมนตรีก็ได้รับฉายาแตกต่างกันไป ได้แก่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับฉายาว่า “ช่างจัดฉาก” เพราะมักจะเปรียบเปรยตัวเองเป็น “อิมเมจ เมเกอร์” สร้างภาพลักษณ์ด้านบวกให้รัฐบาล ,นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ได้ฉายา “ไส้ติ่งรัฐบาล” เพราะมักถูกวิจารณ์ว่าปากเป็นพิษ จึงเปรียบเสมือนไส้ติ่งที่แม้จะอยู่ในร่างกายได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดีไม่ดีพอเกิดการอักเสบขึ้นมา จะเป็นโทษต่อร่างกายถึงขั้นเสียชีวิตด้วย ,นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย ได้ฉายา “สตั๊นท์เฒ่าเฝ้าเก้าอี้” เนื่องจากถูกมองว่าแสดงบทบาทตามที่ลูกชายและเพื่อนลูกชายอย่างนายเนวิน ชิดชอบที่อยู่ในบ้านเลขที่ 111 สั่งการ จึงเป็นเสมือนตัวแทนมานั่งเฝ้าเก้าอี้รอตัวจริง ,นายโสภณ ซารัมย์ ได้ฉายา ภูมิใจ “นาย” เนื่องจากเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของนายเนวิน จึงได้รับความไว้วางใจให้มาคุมกระทรวงเกรดเออย่างกระทรวงคมนาคม การเสนอโครงการต่างๆ เป็นไปตามใบสั่ง “นาย”แทบทุกโครงการ โดยเฉพาะโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ฯลฯ ส่วนวาทะแห่งปี 2552 มาจากถ้อยแถลงของนายอภิสิทธิ์ที่กล่าวถึงกรณีกลุ่มเสื้อแดงประกาศชัยชนะที่สามารถบุกล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช พัทยาเมื่อวันที่ 11 เม.ย.ได้ โดยวาทะดังกล่าวก็คือ “ใครก็ตามที่ประกาศชัยชนะ ผมถือว่าคนคนนั้นและกลุ่มคนนั้นคือศัตรูของประเทศอย่างแท้จริง”

ด้านผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ได้ตั้งฉายาสภาผู้แทนราษฎรในรอบปี 2552 ว่า “ถ่อย-เถื่อน-ถีบ” เนื่องจากภาพลักษณ์ของสภาผู้แทนราษฎรตกต่ำ เพราะเต็มไปด้วยความแตกแยกระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล จนเกือบใช้ความรุนแรง ทั้งเปิดศึกหวิดวางมวยกลางสภาหลายครั้ง ท้าทายการนับองค์ประชุมกันดุเดือด ด่าด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมและบางครั้งถึงขั้นหยาบคายหลายคู่ ซึ่งพบถี่มาก ขณะที่วุฒิสภาได้ฉายา “ตะแกรงก้นรั่ว” เนื่องจากวุฒิสภาได้ชื่อว่าเป็นสภาสูงคอยตรวจสอบและกลั่นกรองการทำงานของสภาผู้แทนราษฎร แต่หลังเกิดการสลับขั้วทางการเมือง ภาพการตรวจสอบของวุฒิสภากลับไม่เข้มข้นเหมือนอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลางข้อครหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาล ทำให้สังคมผิดหวังกับบทบาทการตรวจสอบของวุฒิสภา เสมือนว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง เสมอตัว เหมือนความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ

ด้านนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ฉายา “ตลกเฒ่าร้อยเล่ห์” เนื่องจากสภาเต็มไปด้วยความขัดแย้ง รุนแรง และวุ่นวาย แต่นายชัยสามารถใช้บทร้อยเล่ห์ทั้งประนีประนอม ใช้ทั้งไม้แข็งไม้นวม กระทั่งใช้ความอาวุโสหลอกล่อสมาชิกรุ่นลูกจนหัวหมุน โดยเฉพาะการปล่อยมุขขำขันออกมาช่วยผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดระหว่างประชุม ขณะที่นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ได้ฉายา “ประธานหลักเลื่อน” เนื่องจากนายประสพสุขเคยเป็นถึงอดีตประธานศาลอุทธรณ์ ทุกฝ่ายจึงคาดหวังว่าการทำหน้าที่ประธานวุฒิสภาจะเป็นเสาหลักให้กับสภาสูงได้ แต่หลายครั้งนายประสพสุขก็สร้างความผิดหวังให้กับสังคม บ่อยครั้งที่โอนเอนไปตามแรงกดดันของสังคมหรือเกมการเมือง ทำให้เกิดภาวะเลื่อนไป-มาตามแรงกดดัน จนขาดภาวะผู้นำของสภาสูง

สำหรับผู้ที่ได้รับฉายา “ดาวเด่น”ของสภา คือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่ทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาได้โดดเด่น โดยเฉพาะการอภิปรายในสภาที่ใช้ข้อบังคับการประชุมสภามาเป็นเครื่องมือแสดงความคิดเห็นเป็นหลัก ไม่มุ่งอภิปรายด้วยการใช้วาทศิลป์ ส่วน “ดาวดับ”ของสภา คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เนื่องจาก ร.ต.อ.เฉลิมซึ่งเคยทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้น ด้วยข้อมูลที่สร้างความสั่นสะเทือนพอสมควร แต่วันนี้กลายเป็นดาวอับแสง ด้วยบทบาทการทำหน้าที่แทบจะหาสาระไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายหรือยื่นกระทู้ถามในสภา ไม่ได้แสดงความเป็นขุนศึกของฝ่ายค้าน มีแต่วาทะกระแหนะกระแหน

สำหรับผู้ที่ได้รับฉายา “คนดีศรีสภา” คือ นายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เพราะแม้ในรอบปีที่ผ่านมา สภาจะล่ม 11 เดือน 11 ครั้ง เพราะ ส.ส.ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ไม่เข้าประชุมสภา แต่นายเจริญ ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ขั้วตับ กลับเข้าประชุมสภาและร่วมลงมติผ่านกฎหมาย 88 ครั้ง จากการประชุมสภาการลงมติ 100 ครั้ง แม้ในช่วงก่อนปิดสมัยประชุมสภา ที่เกิดเหตุการณ์สภาล่มติดกันซ้ำซาก นายเจริญยังเข้าร่วมประชุมด้วยทั้งที่เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดโรคมะเร็งได้ 1 วัน นับว่าเป็นตัวอย่างของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างสมศักดิ์ศรี

3. “วิทยา” โชว์สปิริตไขก๊อก รมว.สาธารณสุข หลังผลสอบ “ไทยเข้มแข็ง”ส่อทุจริต ด้าน “มานิต” ยังยื้ออยู่ต่อ!
นายวิทยา แก้วภราดัย โบกมือลา หลังแถลงลาออกจาก รมว.สาธารณสุข(29 ธ.ค.)
เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข ที่ตั้งโดยนายกรัฐมนตรี โดยมี นพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธาน ได้แถลงผลการสอบสวนว่า โดยภาพรวมพบว่า การจัดตั้งงบประมาณมีพฤติกรรมและพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่าส่อไปในทางที่จะทำให้เกิดการทุจริตจริง ได้แก่ การขอตั้งงบประมาณทั้งสิ่งก่อสร้าง ครุภัณฑ์การแพทย์และรถพยาบาล มีความผิดพลาดมากมาย การกระจายตัวไม่เหมาะสม และราคาที่ตั้งไว้สูงเกินควร และมีพฤติกรรมบางประการที่ส่อเจตนาการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ

ทั้งนี้ คณะกรรมการสอบฯ ได้ชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้อง 12 คน แบ่งเป็นนักการเมือง 4 คน และข้าราชการประจำ 8 คน สำหรับนักการเมือง ประกอบด้วย 1.นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยคณะกรรมการฯ ชี้ว่า นายวิทยามีความผิดฐานบกพร่องต่อหน้าที่ และไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบที่เกิดขึ้นในกระทรวงฯ ในฐานะเจ้ากระทรวงได้ 2.นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข มีความผิดฐานมีพฤติกรรมที่ส่อในการทุจริต คือไม่ดูแลโครงการไทยเข้มแข็ง แต่ล้วงลูกดึงงบประมาณเข้า จ.ราชบุรีที่ตนเป็น ส.ส.อยู่ และนัดรับประทานข้าวกับบริษัทเจ้าของรถยนต์ผู้ผลิตรถพยาบาล รวมถึงเครื่องพ่นฆ่ายุงลาย 3.นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความผิดฐานมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต โดยนัดรับประทานข้าวร่วมกับนายมานิต และผู้ประกอบการผลิตรถพยาบาล 4.นพ.กฤษดา มนูญวงศ์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความผิดฐานเป็นผู้ล็อบบี้ให้มีการจัดซื้อเครื่องทำลายเชื้อด้วยแสงอัลตราไวโอเลตแบบระบบปิด(ยูวี-แฟน)

ส่วนข้าราชการประจำที่ถูกชี้มูลความผิดอีก 8 คน ประกอบด้วย 1.นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความผิดฐานบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่ดูแลโครงการที่มีงบประมาณมากระดับ 8.6 หมื่นล้านบาทด้วยตนเอง เปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้ 2.พญ.ศิริพร กัญชนะ อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความผิดฐานไม่เอาใจใส่ต่อโครงการ โดยให้สำนักงานสาธารณสุขภูมิภาค(สบภ.) ที่มีผู้ทำงานกว่า 50 คน ดูแลโครงการใหญ่ขนาดนี้ เปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้ 3.นายกสินทร์ วิเศษสินธุ์ อดีตผู้อำนวยการกองแบบแผน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งขณะนี้เกษียณอายุราชการแล้ว มีความผิดฐานมีการปรับปรุงแบบแผน ทำให้เปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้ 4.นพ.เรวัติ วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ มีความผิดฐานจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่ราคาแพงผิดสังเกต 5.นพ.สุชาติ เลาบริพัตร อดีตผู้อำนวยการสำนักงานบริหารสาธารณสุขภูมิภาค มีความผิดฐานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อเครื่องยูวี-แฟน ส่วนข้าราชการที่เกี่ยวข้องรายที่ 6-8 แม้คณะกรรมการสอบฯ จะพบว่าบกพร่องต่อหน้าที่ แต่ไม่มีหลักฐานว่ามีการทุจริต ประกอบด้วย 6.นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความผิดเนื่องจากสมัยที่เป็นรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบสำนักงานสาธารณสุขภูมิภาค แต่โครงการดังกล่าวเป็นหน้าที่ของ พญ.ศิริพร ดูแล แต่ นพ.ไพจิตร์ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบไปได้ 7.นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ มีความผิดฐานรับผิดชอบการดำเนินการโครงการไทยเข้มแข็ง แต่ปัดความรับผิดชอบที่เกิดขึ้น โดยอ้างว่าทำหน้าที่เพียงการตรวจสอบยอดการจัดซื้อจัดจ้างเท่านั้น 8.นพ.จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขต 6 มีความผิดเนื่องจากขณะที่ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศ ได้ให้โรงพยาบาลจัดซื้อเครื่องยูวี-แฟนราคาแพง

ทั้งนี้ หลังคณะกรรมการสอบฯ ชี้มูลความผิดได้ 1 วัน ปรากฏว่า นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถูกชี้มูลว่าบกพร่องต่อหน้าที่และไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบที่โครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงฯ ส่อเจตนาไม่สุจริต ได้เปิดแถลงประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.โดยบอกว่าจะยื่นใบลาออกในวันที่ 30 ธ.ค. พร้อมให้เหตุผลที่ลาออกว่า เพื่อรับผิดชอบความรู้สึกของประชาชน “ผมขอยืนยันกับประชาชนว่า โครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข บาทเดียวยังไม่มีใครได้โกง ผมยังไม่เคยอนุมัติงบประมาณแม้แต่บาทเดียวไปให้ใคร แต่เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่ออารมณ์ความรู้สึกของพี่น้องประชาชน เมื่อคณะกรรมการบอกว่าผมบกพร่อง ผมก็จะพิจารณารับผิดชอบ เพื่อยืนยันว่า นักการเมืองบางครั้งก็สามารถทำในสิ่งที่ประชาชนต้องการได้ โดยไม่ฝืนต่ออารมณ์ความรู้สึกของประชาชน”

ด้านนายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขจากพรรคภูมิใจไทย ที่ถูกคณะกรรมการสอบฯ ชี้มูลความผิดว่ามีพฤติกรรมส่อในทางทุจริตในโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงฯ ไม่ได้แสดงสปิริตลาออกเหมือนนายวิทยาแต่อย่างใด โดยบอกว่า ตนจะลาออกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ในพรรคฯ ตัดสินใจ พร้อมยืนยัน ไม่ได้มีการทุจริตแม้แต่บาทเดียว และสามารถชี้แจงได้ทุกข้อกล่าวหา ด้านนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พูดถึงกรณีนายมานิตถูกคณะกรรมการสอบฯ ชี้มูลความผิดในโครงการไทยเข้มแข็งฯ ว่า นายมานิตอยู่พรรคภูมิใจไทยจริง แต่สังกัดกลุ่มมัชฌิมาของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ดังนั้น ขึ้นอยู่กับนายสมศักดิ์ ซึ่งขณะนี้เดินทางไปต่างประเทศ ดังนั้นต้องรอนายสมศักดิ์กลับมาตัดสินใจ ขณะที่นายมานิต พูดถึงเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ว่า ได้มีโอกาสคุยกับนายสมศักดิ์เพียง 2-3 ครั้ง ซึ่งนายสมศักดิ์ติดภารกิจที่ประเทศสหรัฐฯ แต่วันที่ 5 ม.ค.จะมีคำตอบที่ชัดเจนหลังนายสมศักดิ์กลับมา อย่างไรก็ดี นายมานิต บอกว่า ขณะนี้ตนมีคำตอบในใจแล้ว

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงการแต่งตั้งรัฐมนตรีสาธารณสุขคนใหม่แทนนายวิทยาที่ลาออกว่า มีแคนดิเดตอยู่ 5 คน “คนที่อยู่ในข่ายก็มี ภาคเหนือคือคุณจุติ (ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก) ภาคกลางคือคุณเฉลิมชัย (ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์) ภาค กทม.คือคุณองอาจ (คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม.) ภาคใต้คือคุณนิพิฏฐ์ (อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง) กับคุณชินวรณ์ (บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช) อย่างนี้เป็นต้น ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ไปว่าในที่ประชุมพรรค(วันที่ 6 ม.ค.)”

ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ หนุนนายจุติ ไกรฤกษ์ นั่งรัฐมนตรีสาธารณสุข เพราะนายจุติเคยเป็นเลขาฯ นายอภิสิทธิ์สมัยเป็นผู้นำฝ่ายค้าน และนายจุติได้ช่วยงานพรรคมาตลอด แม้จะพลาดเก้าอี้รัฐมนตรีหลายครั้ง ซึ่งต่างจากนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม. ที่ได้ลดบทบาทตัวเองในพรรคลงหลังจากไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีรายงานว่าหนุนนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ เป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข เพราะที่ผ่านมานายชินวรณ์ช่วยประสานงานกับพรรคร่วมรัฐบาล และทำงานด้านนิติบัญญัติเป็นอย่างดี ไม่เคยงอแงเรียกร้องตำแหน่ง

4. ศาล ปค.สั่งเพิกถอนมติ ครม.กรณีเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ด้าน “พันธมิตรฯ” เล็งยื่น ป.ป.ช.ฟันอาญา “นพดล-ครม.สมัคร”!
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ศาลปกครองกลางได้อ่านคำพิพากษาคดีที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ,นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ,นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กับพวกรวม 13 คน ร่วมกันยื่นฟ้องนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและ ครม.รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2551 ฐานกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กรณีที่นายนพดลลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา พร้อมแผนที่แนบท้าย ลงวันที่ 18 มิ.ย.2551 ขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ก่อนเสนอแถลงการณ์ดังกล่าวต่อองค์การยูเนสโกระหว่างวันที่ 2-10 ก.ค.2551

ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศและมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ นอกจากนี้ก่อนที่ ครม.จะมีมติให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2551 และอนุมัติให้นายนพดลลงนามกับฝ่ายกัมพูชาและยูเนสโกเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2551 ยังไม่ปรากฏว่า ครม.ได้ให้ข้อมูลหรือจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนลงนามแต่อย่างใด ดังนั้นมติ ครม.ดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบตามขั้นตอนและวิธีการที่มาตรา 190 ของ รธน.กำหนดไว้

คำพิพากษายังระบุด้วยว่า คดีนี้มีประเด็นต้องวินิจฉัยด้วยว่า ก่อนนำเสนอร่างแถลงการณ์ให้ ครม.เห็นชอบนั้น นายนพดลได้ตรวจสอบพื้นที่ที่กำหนดในร่างแถลงการณ์ร่วมอย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งศาลเห็นว่า การที่แถลงการณ์ร่วมระบุให้พื้นที่ N.2 และ N.3 รอบปราสาทพระวิหารเป็นพื้นที่กันชน หรือ buffer zone เพื่อกำหนดมาตรการอนุรักษ์คุ้มครองสถานที่ขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และให้เป็นพื้นที่ที่ 2 ประเทศจัดทำแผนบริหารจัดการร่วมกัน ย่อมเป็นการให้สิทธิกัมพูขาเข้ามามีส่วนร่วมจัดการพื้นที่ที่อยู่ในเขตแดนและอำนาจอธิปไตยของไทย ดังนั้น หากนายนพดลลงนามเห็นชอบตามมติ ครม.ก็จะส่งผลผูกพันต่อไทย มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศในพื้นที่ N.2 และ N.3 ในส่วนที่อยู่ในอาณาเขตไทย ซึ่งจะให้กัมพูชาเข้ามาบริหารจัดการร่วมกัน แม้นายนพดลจะอ้างแถลงการณ์ร่วมข้อ 5 ที่ระบุว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกจะไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิในราชอาณาจักรไทย-กัมพูชาในการกำหนดเส้นเขตแดนของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาก็ตาม แต่กัมพูชาอาจหยิบกรณีพื้นที่ N.1 ที่ได้ตกลงไว้แล้วตามแถลงการณ์ร่วมมาเป็นข้ออ้างต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชาภายหลังอีกได้ ดังนั้นการที่นายนพดลนำแถลงการณ์ร่วมและแผนที่แนบท้ายที่ไม่ถูกต้องเสนอต่อ ครม.จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และส่งผลให้มติ ครม.เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2551 ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

ศาลระบุด้วยว่า แม้ ครม.เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2551 ได้ยกเลิกมติ ครม.3 ฉบับกรณีกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกและการเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมวันที่ 27 พ.ค.2551 ,วันที่ 17 มิ.ย.2551 และวันที่ 24 มิ.ย.2551 ไปแล้ว แต่ก็เป็นผลสืบเนื่องจากการปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครอง นอกจากนี้ ศาลเห็นว่า แม้มติ ครม.วันที่ 17 มิ.ย.2551 ถูกยกเลิกแล้ว แต่ไม่มีการกำหนดระยะเวลายกเลิกว่าให้มีผลเมื่อใด ซึ่งอาจมีปัญหาข้อกฎหมายที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจกล่าวอ้างหรือใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่เป็นคุณแก่ไทย จึงพิพากษาให้เพิกถอนมติ ครม.โดยมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 17 มิ.ย.2551 ที่ ครม.มีมติดังกล่าว และเมื่อศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนแล้ว ก็จะมีผลให้มติ ครม.วันที่ 24 มิ.ย.2551 ที่ให้กระทรวงการต่างประเทศแก้ไขถ้อยคำจากคำว่า “แผนที่” เป็น “แผนผัง” ทั้งในหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศและเอกสารที่เกี่ยวข้องต้องสิ้นผลไปด้วย

ทั้งนี้ หลังฟังคำพิพากษา นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความฝ่ายพันธมิตรฯ บอกว่า หลังจากนี้จะส่งข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) พร้อมคำพิพากษาของศาลปกครองให้ ป.ป.ช.นำไปประกอบการพิจารณาเพื่อเอาผิดนายนพดล รวมทั้งจะดำเนินคดีอาญานายนพดลและ ครม.รัฐบาลนายสมัครด้วย

ด้านนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ บอกว่า จะไปยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน เพราะยังมีประเด็นที่ศาลเพิกถอนมติ ครม.ที่เคยถูกเพิกถอนไปแล้ว ทั้งที่ไม่น่าจะมีความจำเป็นต้องเพิกถอนอีก นายนพดล ยังพูดเหมือนต้องการดักคอศาลปกครองสูงสุดด้วยว่า หวังว่าความยุติธรรมในประเทศไทยคงจะมี

นายนพดล ยังยืนยันคำเดิมเหมือนที่เคยยืนยันมาหลายครั้งว่า กรณีที่ตนลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ไม่ได้ทำให้ไทยเสียดินแดนให้กัมพูชา แต่เป็นการช่วยรักษาดินแดนของไทยไว้ด้วยซ้ำ “ยืนยันจะไม่เสียดินแดนให้กัมพูชา เพราะผมได้ปกป้องดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรของพื้นที่ทับซ้อนแล้ว ถ้าไม่เช่นนั้นกัมพูชาคงนำพื้นที่ทับซ้อนและปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปแล้ว จึงไม่เสียชาติเกิดที่ได้ปกป้องพื้นที่ดังกล่าวไว้”
กำลังโหลดความคิดเห็น