xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ : ซีอีโอASTVแฉธัญญทิพย์เบี้ยวเงิน แจงไม่ต่อสัญญาเพราะไม่ซื่อ-หมกเม็ดขายข้าวยี่ห้ออื่นให้ลูกค้าASTV

เผยแพร่:   โดย: MGR Online




คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ชี้แจง

ซีอีโอ ASTV แฉธัญญทิพย์ไม่ซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจ สอดไส้ขายข้าวยี่ห้ออื่นแทนข้าวเอเอสทีวี ตรามือตบ อีกทั้งไม่ยอมจ่ายส่วนแบ่งรายได้และค่าคอลเซ็นเตอร์ที่ค้างอยู่ 1.7 ล้านบาท แจงไม่ต่อสัญญา ไม่ใช่ยกเลิกสัญญา

แจงสัญญาธุรกิจ

จากกรณีปัญหาที่บริษัทเอเอสทีวี โปรดักส์ จำกัด ไม่ต่อสัญญาในการผลิตและจำหน่ายข้าวเอเอสทีวี ตรามือ กับบริษัทธัญญทิพย์ อินเตอร์เทรด จำกัด และทางผู้บริหารของบริษัธัญญทิพย์ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังตัวแทนจำหน่ายว่าเหตุที่ไม่มีการต่อสัญญาเพราะเอเอสทีวีเรียกร้องค่าตอบแทนสูงเกินจริง ซึงได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชื่อเสียงของเอเอสทีวีเป็นอย่างมากนั้น 'นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล' CEO เครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวแบบหมดเปลือก

จิตตนาถ : สวัสดีครับ ผม..จิตตนาถ ลิ้มทองกุล CEO เครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ผมมีความไม่สบายใจที่ต้องขอชี้แจงให้พี่น้องที่รับชมเอเอสทีวีและพันธมิตรฯบางส่วนที่อยากสนับสนุนเอเอสทีวีได้ทราบปัญหาบางประการที่เกิดขึ้นจากโครงการขายสินค้าของเอเอสทีวี เนื่องจากล่าสุด บริษัท เอเอสทีวี โปรดักส์ จำกัด ได้หมดสัญญากับ บริษัท ธัญญทิพย์ อินเตอร์เทรด จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิต‘ข้าวเอเอสทีวี ตรามือ’ ให้กับเรา ซึ่งสร้างผลกระทบในวงกว้างพอสมควร แต่ในวันนี้เรื่องที่ผมไม่สบายใจคืออยากจะเรียนว่าเรื่องที่บริษัทธัญญทิพย์ อินเตอร์เทรด ไม่ยอมจ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ในงวดเดือน ต.ค และ พ.ย. ซึ่งยังอยู่ในระยะเวลาของการต่อสัญญา ให้กับทางเอเอสทีวี ด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งผมจะชี้แจงให้ฟังทีหลัง ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน จะขอเล่าให้ฟังทุกขั้นตอนแล้วกันครับเพื่อที่พ่อแม่พี่น้องจะได้เข้าใจทุกอย่างว่าเกิดอะไรขึ้น จะได้หมดข้อสงสัย

คงจำกันได้ใช่ไหมครับ ว่าแรกเริ่มตอนที่คุณสนธิ (สนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งเอเอสทีวี) ปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล ว่าเอเอสทีวีน่าจะมีสินค้าออกมาจำหน่ายเพื่อนำรายได้มาหล่อเลี้ยงเอเอสทีวีให้ยังสามารถออกอากาศต่อไปได้ ซึ่งข้าวก็น่าจะเป็นหนึ่งในสินค้าที่คุณสนธิมองว่าทุกครัวเรือนต้องกินต้องใช้ หลังจากที่พันธมิตรฯยุติการชุมนุมก็มีผู้ผลิตข้าวหลายรายเข้ามาแสดงความจำนงค์ว่าต้องการผลิตข้าวให้แก่เอเอสทีวี ซึ่งบริษัทธัญญทิพย์ก็เป็นบริษัทแรกๆที่เข้ามายื่นข้อเสนอให้กับเรา เราตกลงกันอย่างนี้ครับว่า เนื่องจากช่วงแรกเรายังไม่รู้ว่าเราจะขายได้มากน้อยเท่าไร จึงมีข้อตกลงกันว่า บริษัทธัญญทิพย์ได้ยื่นข้อเสนอให้เอเอสทีวีว่าจะขอทำข้าวถุงออกจำหน่าย โดยทางเราให้นำโลโก้เอเอสทีวีไปใช้ ภายใต้ยี่ห้อ 'เอเอสทีวี ตรามือ' โดยที่จำหน่ายผ่านคอลเซ็นเตอร์ และบริการส่งตรงถึงบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยในแต่ละเดือนบริษัทธัญญทิพย์จะให้ส่วนแบ่งแก่เอเอสทีวีเป็นเงินจำนวน 5 แสนบาท พร้อมทั้งจ่ายค่าคอลเซ็นเตอร์ให้ตามจำนวนคู่สายที่ใช้ในแต่ละเดือน ก็นับตามจำนวน call ไป เพิ่มหรือว่าลดก็แล้วแต่การคุยกันในแต่ละเดือนว่าคู่สายจำเป็นต้องใช้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งสัญญาดังกล่าวมีผลผูกพันเป็นระยะเวลา 6 เดือน (มี.ค-ส.ค.2552) เพื่อรอดูผลตอบรับจากตลาด หลังจากนั้นจึงพิจารณาปรับเปลี่ยนสัญญากันใหม่

หลัง 6 เดือนผ่านไปก็มีปัญหาแล้ว คือเราได้รับแจ้งจากผู้บริโภคว่าธัญญทิพย์นำข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ใส่รถกระบะไปเร่ขาย โดยที่ไม่ใช่การสั่งซื้อผ่านคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเรื่องนี้ถึงบริษัทธัญญทิพย์มีสิทธิที่จะขายข้าวจำนวนเท่าไรก็ได้และแบ่งรายได้ให้เอเอสทีวี fixed ที่ 5 แสนบาทต่อเดือน แต่โดยมารยาทก็ควรแจ้งให้ทางเอเอสทีวีทราบเพื่อที่เราได้ประเมินยอดขายได้ถูก เราก็ทำการตักเตือนไป ซึ่งทางบริษัทธัญญทิพย์ก็รับทราบตรงนี้

สำหรับวิธีการที่ทางธัญญทิพย์จะจัดส่งข้าวให้ตามครัวเรือนนั้น ลูกค้าเอเอสทีวีจะโทร.เข้า ASTV call centerเพื่อสั่งข้าว แล้ว ASTV call center จะยิงออเดอร์ไปที่สายส่งของบริษัทธัญญทิพย์ แล้วสายส่งของธัญญทิพย์ก็จะนำรถออกไปส่งข้าวตามครัวเรือนแล้วเก็บเงินสดมา ในขณะที่เอเยนต์ก็เช่นกัน เอเยนต์ก็ต้องสั่งข้าวในปริมาณมาก โดยโทร.สั่งข้าวไปที่ ASTV call center แล้ว ASTV call center ก็ยิงข้อมูลไปที่เซลของบริษัทธัญญทิพย์ จากนั้นเซลก็จะโทร.ไปคุยกับเอเยนต์เพื่อตกลงกัน ซึ่งทางเอเยนต์ก็จะต้องโอนเงินให้บริษัทธัญญทิพย์ก่อน สายส่งจึงจะนำข้าวไปส่งให้ ฉะนั้นบริษัทจะได้รับเงินทันทีที่มีการสั่งซื้อข้าว แล้วพอสิ้นเดือน คือเครดิต 30 วัน บริษัทธัญญทิพย์จึงจะให้เอเอสทีวี 5 แสนบาท เป็นค่าแบรนด์และค่าประชาสัมพันธ์ พร้อมทั้งจ่ายค่าคอลเซ็นเตอร์แก่เอเอสทีวี

พอครบสัญญา 6 เดือน (วันที่ 31 ส.ค.2552) ก็มีการทบทวนสัญญากันใหม่ ซึ่งเราก็มาดูว่ายอดขายที่ 6 เดือนมันอยู่ที่เท่าไร โดยเราก็เห็นการเติบโตว่าอยู่ที่ประมาณ 7-8 หมื่นถุงต่อเดือน ซึ่งยอดจำนวนเงินอยู่ที่ 14-15 ล้านบาทต่อเดือน เราก็เลยบอกว่าเพื่อความยุติธรรมเรามาตกลงข้อสัญญากันใหม่แล้วกัน โดยเสนอให้แบ่งรายได้เป็นเปอร์เซ็นจากยอดขาย แต่ทั้งนี้เมื่อสัญญาหมดใน 6 เดือนแรก เราก็ยื่นข้อเสนอกับธัญญทิพย์ไปว่าเราขอระยะเวลาในการเจรจาเงื่อนไขกับคุณ 3 เดือนนะ ซึ่งใน 3 เดือนนี้ตกลงกันได้ยังไงก็ว่ากันมา ก่อนที่จะต่อสัญญาใหม่กันอีก 6 เดือน

ก็ตกลงกันได้ว่าธัญญทิพย์จะแบ่งรายได้ในอัตรา 8% จากยอดเขายให้แก่เอเอสทีวี ยกเว้นข้าวหอมทิพย์ซึ่งคิดส่วนแบ่งในอัตราเพียง 6% จากยอดขาย พร้อมทั้งจ่ายค่าคอลเซ็นเตอร์ให้แก่เอเอสทีวี จำนวน 138,000 บาทต่อเดือน โดยมีระยะเวลาในการเจรจา 3 เดือน คือ ก.ย-พ.ย.2552 ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่มีการเจรจาก็ยังคงใช้สัญญาเดิมไปก่อน จากนั้นจึงจะทำสัญญางวดใหม่ในเดือน ธ.ค.2552 ซึ่งทางธัญญทิพย์ก็ทำหนังสือตอบกลับมาว่ายอมรับตามข้อตกลงส่วนแบ่งรายได้ 8% และค่าคอลเซ็นเตอร์ที่เอเอสทีวีเสนอไป ซึ่งอันนี้เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าตอนนี้มีจดหมายจากทางบริษัทธัญญทิพย์ได้พาดพิงถึงเอเอสทีวีส่งไปยังเอเยนต์ต่างๆ ว่าเราพยายามที่จะเรียกเก็บเปอร์เซ็นต์ในการขายข้าวอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ธัญญทิพย์ไม่ต่อสัญญา อันนี้ก็จะได้ยืนยันว่าทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องต้องกันพร้อมที่จะต่อสัญญากันบนเงื่อนไข 8%

แฉเล่ห์ธัญญทิพย์

ซึ่งในระหว่าง 3 เดือน คือ ก.ย.-พ.ย.ก็ได้เกิดเรื่องราวบางอย่างที่ทำให้เอเอสทีวีตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญากับทางธัญญทิพย์ คือช่วงนั้นบริษัทธัญญทิพย์ได้ผลิตข้าวยี่ห้ออื่นออกมาจำหน่าย ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดน่าจะใช้ชื่อว่าข้าวธัญญทิพย์ หรือข้าวหอมมาแล้วจ้า โดยมีการลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์และแผ่นป้ายโฆษณาต่างๆ ว่าถุงเดียวส่งถึงบ้านซึ่งเป็นคอนเซ็ปเดียวกับข้าวเอเอสทีวี ตรามือ เราไม่ได้ติดใจอะไร คุณก็มีสิทธิที่จะขายยี่ห้ออื่น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือว่าได้มีการร้องเรียนจากผู้บริโภคที่สั่งซื้อข้าวผ่านคอลเซ็นเตอร์ ว่าสายส่งที่ส่งข้าวเอเอสทีวี ตรามือ โดยบริษัทธัญญทิพย์ ได้นำข้าวยี่ห้ออื่นของธัญญทิพย์เองไปส่งให้แทน ไม่ใช่ข้าวเอเอสทีวี ตรามือ และไม่ได้มีแค่รายเดียว หลายรายร้องเรียนมา มีทั้งโทร.มาต่อว่า ส่งจดหมายมา อีเมลเข้ามา และมาต่อว่าถึงสถานีเอเอสทีวีเลยว่าเกิดอะไรขึ้น หลายคนบอกว่าเซลของบริษัทธัญญทิพย์ใสเสื้อเอเอสทีวีมาแต่ส่งข้าวยี่ห้ออื่นให้เขา คนก็ถามว่าสั่งข้าวเอเอสทีวีแล้วทำไมเอายี่ห้ออื่นมาส่ง บางทีเซลก็บอกว่าข้าวเอเอสทีวีหมด แล้วก็เอาเบอร์โทร.จากฐานข้อมูลลูกค้าของเราไปโทร.หาลูกค้า บอกว่ามีข้าวยี่ห้อใหม่ออกมา ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้บริโภคเป็นอย่างมาก และเราก็ถือว่าเรื่องนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์

ซึ่งเรามีหลักฐานชัด นอกจากหนังสือร้องเรียนแล้วก็มีจดหมายจากบริษัทธัญญทิพย์ ระบุว่า เรียนคุณจิตตนาถ ลิ้มทองกุล เนื่องจากพนักงานขนส่งสินค้ากระทำการโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยมีการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่ลูกค้าของเอเอสทีวี ซึ่งทั้งนี้ไม่ได้เป็นนโยบายของบริษัทธัญญทิพย์ อินเตอร์เทรด จำกัด แต่อย่างใด ทางบริษัทจึงได้มีการสอบสวนและลงโทษพนักงานคนนั้นๆแล้ว พร้อมทั้งกำชับพนักงานทุกคนให้ประพฤติตนอยู่ในกรอบโดยไม่ไห้มีผลกระทบต่อสินค้าของเอเอสทีวีโดยเด็ดขาด ทั้งนี้บริษัทได้ติดต่อกลับไปยังลูกค้าของเอเอสทีวีเพื่อขอโทษและชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจ ทางบริษัทธัญญทิพย์ อินเตอร์เทรด จึงขออภัยมา ณ ทีนี้ และขอยืนยันอีกครั้งว่าทางบริษัทไม่มีนโยบายที่จะทำให้มีผลกระทบใดๆเกิดขึ้นกับสินค้าของเอเอสทีวี

แต่ผมมีคำถามว่าลำพังพนักงานตัวเล็กๆจะกล้าทำอย่างนั้นหรือครับ แล้วพนักงานได้ฐานข้อมูลของลูกค้าเอเอสทีวีมาจากไหน และถูกค้าก็ยังร้องเรียนอยู่เรื่อยๆว่ามีการสับเปลี่ยนสินค้า มีการพยายามโทรศัพท์ไปแนะนำสินค้าตัวใหม่ อันนี้เป็นหลักฐานมัดอย่างชัดเจน และเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าทำไมเราถึงตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญากับบริษัทธัญญทิพย์ อินเตอร์เทรด เพราะความไม่ซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าผลประโยชน์ deal กันไม่ลงตัว เอเอสทีวีได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหานี้โดยละมุนละม่อมโดยการยื่นข้อเสนอไปยังบริษัทธัญญทิพย์ว่าเราต้องการให้บริษัทธัญญทิพย์เข้ามาร่วมโครงการกระจายสินค้าร่วมกับสินค้าอื่นๆที่เอเอสทีวีเป็นผู้กระจายให้เพื่อป้องกันปัญหาอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วและป้องกันข้อครหาต่างๆ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากผู้บริหารของบริษัทธัญญทิพย์ เราก็มองว่าปัญหานี้ไม่มีทางที่จะจบง่ายๆตราบใดที่ไม่มีการกระจายสินค้าร่วมกัน เราก็เลยตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับบริษัทธัญญทิพย์

เพราะฉะนั้นก่อนที่สัญญาจะหมดลงในเดือน พ.ย.2552 ทางเอเอสทีวีก็ได้ส่งจดหมายไปหาเอเยนต์ต่างๆเพื่อแจ้งให้ทราบว่าข้าวเอเอสทีวี ตรามือ จะหมดสัญญากับเอเอสทีวีในวันที่ 1 ธ.ค.2552 และเราจะมีข้าวยี่ห้ออื่น จากผู้ประกอบการข้าวที่เคยมาคุยกับเราพร้อมๆกับบริษัทธัญญทิพย์ออกมาแทน ซึ่งทางธัญญทิพย์เองก็ทำหนังสือไปถึงตำแทนจำหน่ายเช่นเดียวกัน โดยพาดพิงถึงเอเอสทีวี เขาระบุในหนังสือว่า..เรื่องการยกเลิกสัญญาการค้าข้าวเอเอสทีวี ตรามือ เรียนตัวแทนจำหน่ายข้าวเอเอสทีวีตรามือ ทางบริษัทขอขอบคุณตัวแทนจำหน่าย ขอเรียนให้ทราบว่าสัญญาในการใช้เครื่องหมายทางการค้าเอเอสทีวีระหว่างบริษัทธัญญทิพย์และเอเอสทีวีจะหมดลง ภายในวันที่ 25 พ.ย.2552 เป็นต้นไป บริษัทต้องการระบายสินค้าโดยจะพิ่มส่วนลดทางการค้าให้อีก 5 % รวมเป็น 15% และเปลี่ยนเบอร์คอลเซ็นเตอร์ใหม่ คือเป็นเบอร์ของบริษัทธัญญทิพย์ แต่สิ่งที่สร้างความสับสนให้แก่เอเยนต์ร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายก็คือว่าหนังสือที่เขาส่งไปนั้นเขาใช้โลโก้ของเอเอสทีวี ประกอบเป็นหัวหนังสือบนหัวจดหมาย ซึ่งโลโก้นี้เราไม่ได้ให้บริษัทธัญญทิพย์เอาไปใช้ในการทำจดหมาย เราให้ใช้พิมพ์บนถุงข้าวที่เอาไปจำหน่ายเท่านั้น แต่เขาเอาโลโก้ของเอเอสทีวีไปใช้โดยพละการ โดยไม่ไดรับอนุญาตจากเรา ก็สร้างความสับสนให้ผู้บริโภค เมื่อเราเห็นหนังสือฉบับนี้เราก็คิดว่าเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องชี้แจงให้ร้านค้าเอเยนต์ของเราทราบ เราจึงออกโฆษณาทางทีวีเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2552 ข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ของธัญญทิพย์ไม่ได้อยู่ในโครงการของเอเอสทีวีอีกต่อไป เงินรายได้ก็จะไม่เข้ามาช่วยเอเอสทีวี

ทั้งนี้ ได้เกิดความเดือดร้อนแก่เอเยนต์บางรายที่ทางบริษัทธัญญทิพย์ได้ออกจดหมายแจ้งไปว่าจะเพิ่มส่วนลดทางการค้าให้อีก 5% ทำให้ตัวแทนจำหน่ายสั่งข้าวเพิ่มเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเอเอสทีวีประกาศว่าไม่มีการต่อสัญญากับทางธัญญทิพย์ ตัวแทนจำหน่ายก็เจอปัญหาว่าไม่สามารถจะระบายข้าวออกไปได้ เพราะลูกค้าไม่ต้องการที่จะซื้อข้าวเอเอสทีวี ตรามือ อีกต่อไป ทั้งๆที่เราไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบตรงนี้เพราะเราได้เตือนเอเยนต์ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผมกลับต้องออกมาให้สัมภาษณ์ลงในเว็บไซต์ผู้จัดการ และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เมื่อปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา แจ้งให้ทราบว่าถ้าเป็นข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ลูกค้ายังสามารถซื้อได้เพราะถือว่ายังอยู่ในโครงการของเราและเป็นการสั่งข้าวก่อนวันที่ 1 ธ.ค. ยังมีผลผูกพันกับเอเอสทีวีอยู่ เอเอสทีวีก็พยายามช่วยคู่ค้าของเราเต็มที่ แต่ว่าบริษัทธัญญทิพย์กลับนิ่งเฉยในเรื่องนี้ ถือว่าตัวเองได้ระบายข้าวออกจากสต็อกของตัวเองแล้ว

วิชามาร ไม่ต่อสัญญาจึงโดนเบี้ยว

เราก็คิดว่าทุกอย่างน่าจะจบลงด้วยดีในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง ต่อมาทางการเงินของเอเอสทีวีก็ได้เรียกเก็บเงินกับทางธัญญทิพย์ในส่วนของเดือน ธ.ค.และ พ.ย.ที่บริษัทธัญญทิพย์จะต้องจ่ายให้แก่เอเอสทีวีเป็นค่าแบรนด์และค่าโฆษณาในการใช้โลโก้ของเรา เดือนละ 5 แสนบาท 2 เดือนก็เป็น 1 ล้านบาท และค่าคอลเซ็นเตอร์ของเดือน ก.ย. เดือน ต.ค. และเดือน พ.ย. เป็นเงินประมาณ 7 แสนบาท ปรากฎว่าได้รับการปฎิเสธจากทางธัญญทิพย์ โดยผู้ใหญ่ของบริษัทธัญญทิพย์ไม่พอใจในประเด็นที่ 1.เราออกโฆษณาว่าสัญญาข้าวตรามือหมดอายุวันที่ 1 ธ.ค.2552 โดยในโฆษณามีรูปกากบากอยู่บนถุงข้าว และระบุว่าหลังวันที่ 1 ธ.ค.ข้าวตรามือ ไม่ได้มีส่วนในการสนับสนุนเอเอสทีวีอีกต่อไป 2.การที่เอเอสทีวียกเลิกสัญา ทำให้ธัญญทิพย์ได้รับความเสียหายเรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานจัดส่ง และถุงข้าวที่ผลิตมาแล้วก็ยังเหลืออยู่ 3.เอเอสทีวียกเลิกสัญญาโดยที่บริษัทธัญญทิพย์ไม่มีโอกาสชี้แจง

ซึ่งผมขอฝากบอกไปยังผู้ใหญ่ของบริษัทธัญญทิพย์ว่าคุณมีสิทธิไม่พอใจได้ในการที่เราออกสปอตชี้แจงประชาชน แต่อย่างที่ผมเรียนไปแล้วว่ามันเป็นหน้าที่ของเราเพราะเราเป็นทีวีของประชาชน เป็นเครือข่ายของประชาชน สินค้าใดๆก็ตามที่หมดสัญญากับเรา เราก็มีหน้าที่ต้องชี้แจงให้ประชาชนรับทราบ เป็นเรื่องธรรมดาครับ เหมือนกับเซลหรือพนักงานขายโฆษณาของบริษัท ซึ่งถ้าออกไปจากบริษัทนั้นๆแล้ว ทางบริษัทก็ต้องลงประกาศแจ้ง เพื่อที่คู่ค้าจะได้ทราบว่าการดำเนินการของคนๆนี้ไม่ได้มีผลผูกพันกับบริษัทอีกต่อไปแล้ว ผมคิดว่านี่เป็นหน้าที่และเป็นเรื่องธรรมดาที่กติกาสากลเขาทำกัน แล้วจะไม่พอใจกันด้วยเรื่องอะไร 2.ที่บอกว่าบริษัทธัญญทิพย์ได้รับความเสียหายเกี่ยวกับพนักงานจัดส่ง ผมก็ไม่ทราบว่าบริษัทธัญญทิพย์ได้รับความเสียหายอย่างไรในเมื่อบริษัทธัญญทิพย์ขายข้าวให้เอเอสทีวีมา 9 เดือน พนักงานจัดส่งก็มีธุรกรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ซ้ำในช่วงที่มีปัญหากันบริษัทธัญญทิพย์ก็ยังออกสินค้ายี่ห้ออื่นมาขายใน network ตัวแอง และใช้พนักงานจัดส่งคนเดียวกับที่ส่งข้าวเอเอสทีวี และยังมีการส่งให้คู่ค้ารายอื่นที่ไม่ได้เป็นลูกค้าของเอเอสทีวีด้วย ซึ่งหลังจากหมดสัญญาธัญญทิพย์ก็ยังพยายามขายข้าวที่เป็นยี่ห้อของเขาให้แก่ลูกค้าของเอเอสทีวี ซึ่งทางเอเอสทีวีก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด นอกจากนั้นธัญญทิพย์ก็ขายสินค้าแบบส่งตรงถึงบ้านเหมือนกับตอนที่ deal กับเอเอสทีวี ซึ่งแปลว่าต้องใช้พนักงานจัดส่งอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นประเด็นเหล่านี้จึงเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น

หรือการที่เอเอสทีวีมีสายส่งขึ้นมา ก็ด้วยเงื่อนไขที่คู่ค้ารายอื่นไม่สามารถตกลงที่จะจัดส่งสินค้าร่วมกับธัญญทิพย์ได้ เอเอสทีวีก็มองเห็นว่าเราจำเป็นต้องบริหารเรื่องการจัดส่งเองและพร้อมที่จะให้บริษัทธัญญทิพย์เข้ามาช่วยเสริมในกรณีที่เราจัดส่งไม่ทัน ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกันไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถตกลงกับบริษัทธัญญทิพย์ได้ด้วยเหตุผลบางประการ อีกข้อหนึ่งที่บอกว่าเรายกเลิกสัญญาทันทีโดยที่ธัญญทิพย์ไม่มีโอกาสชี้แจง ก็ขอเรียนนะครับว่าทางเอเอสทีวีไม่ได้ยกเลิกสัญญากับบริษัทธัญญทิพย์ แต่สัญญาหมดอายุไปตั้งแต่ 6 เดือนแรกแล้ว และเราก็ต่อสัญญาชั่วคราวให้แก่คุณอีก 3 เดือน จนหมดสัญญาในวันที่ 30 พ.ย.2552 ซึ่งถือเป็นสิทธิของเราที่จะไม่ต่อสัญญา ฉะนั้นขอให้ชัดเจนในแต่ละประเด็นด้วย

ทีนี้ประเด็นที่ฝ่ายการเงินของเอเอสทีวีแจ้งมาว่า ทางธัญญทิพย์ได้คุยกับฝ่ายการเงินว่าค่าใช้จ่ายที่ค้างอยู่ก็ให้ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไป และให้ไปคุยกันในทางกฎหมาย เพื่อหวังให้ศาลไกล่เกลี่ย ซึ่งผมเองก็ยังไม่ทราบว่าจะมีมาตรการใดที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ แต่ผมมีตัวเลขบางอย่างจะให้ดู นี่คือรายงานการขายข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ของบริษัทธัญญทิพย์ ระหว่างเดือน ต.ค-พ.ย.2552 เดือน ต.ค.ขายข้าวทั้งหมด 47,542 ถุง จำนวนเงินที่คอลเซ็นเตอร์แจ้งมาว่าลูกค้าโทร.มาสั่งคือ 11,764,653บาท เดือน พ.ย. ยอดขายอยู่ที่ 57,680 ถุง เป็นเงิน 14, 561,355 บาท นี่คือตัวเลขที่เราได้จากคอลเซ็นเตอร์ แต่ตัวเลขที่ได้จากบริษัทธัญญทิพย์นั้น เดือน ต.ค.บริษัทธัญญทิพย์อ้างว่าขายข้าวได้เงินมาทั้งหมด 8,222,054 บาท ส่วนเดือน พ.ย.เขาให้ข้อมูลเรามาแค่วันที่ 1-13 พ.ย.เท่านั้น ไม่ถึงครึ่งเดือน ขายได้แล้ว 3,988,424 บาท

ซึ่งอย่างน้อยเงินขั้นต่ำที่บริษัทธัญญทิพย์ได้รับจากผู้บริโภคโดยตรงมาแล้วเป็นเงิน 10 กว่าล้านบาท เพราะเป็นระบบที่ลูกค้าจ่ายเป็นเงินสดทั้งหมด ไม่ได้ขายผ่านซัพพลายเออร์ แต่กลับปฎิเสธที่จะจ่ายเงินให้แก่เอเอสทีวีตามที่ตกลงกันเดือนละ 5 แสนบาท ทั้งๆที่เป็นเงินที่ได้รับจากศรัทธาของประชาชนที่ต้องการซื้อข้าวเอเอสทีวี ตรามือเพราะเขาต้องการที่จะช่วยเอเอสทีวี เขาหวังว่าเงินที่จ่ายไปให้กับข้าวเอเอสทีวี ตรามือ แต่ละก้อนนั้นจะมีส่วนแบ่งรายได้มาถึงเอเอสทีวี แต่ 2 เดือนที่ผ่านมา ธัญญทิพย์ทำแบบนี้ผมรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก และผมก็ต้องขอโทษพี่น้องประชาชนด้วย ซึ่งเราคิดว่าคงต้องจะหามาตรการที่จะดำเนินการกับบริษัทธัญญทิพย์ต่อไป ซึ่งในส่วนของพี่น้องประชาชนนั้นผมคิดว่าหลายๆคนก็คงมีมาตรการที่จะร้องเรียนในเรื่องนี้ได้ ซึ่งเรื่องนี้คงต้องคุยกับทางคุณสุวัตร อภัยภักดิ์ (ทนายพันธมิตรฯ และทนายประจำบริษัทเอเอสทีวี) อีกทีนะครับ นี่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ทนายชี้ ฉ้อโกงโทษจำคุก 5 ปี

ด้าน นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ ก็ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัญญาระหว่างเอเอสทีวีและบริษัทธัญญทิพย์

สุวัตร : สัญญาแรกที่ บริษัทไทยเดย์ ดอทคอม จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนของเอเอสทีวี ทำกับบริษัทธัญญทิพย์ อินเตอร์เทรด จำกัด ลงวันที่ 1 มี.ค.2552 สัญญานี้มีกำหนดเวลา 6 เดือน สิ้นสุดเมื่อ 31 ส.ค.2552 เมื่อครบกำหนดแล้วไม่มีการต่อสัญญา แต่มีการพูดคุยกันว่าจะต่อหรือไม่ต่อ ในที่สุดก็ต่อมาอีก 3 เดือน ซึ่งจะเห็นได้ว่ายอดรายรับในการจำหน่ายข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ของบริษัทธัญญทิพย์ในเดือน มี.ค. เท่ากับ 14 ล้านเศษ เดือน เม.ย.ขายได้ 13 ล้านเศษ เดือน พ.ค.ขายได้ 12 ล้านเศษ มิ.ย.ขายได้ 12 ล้านเศษ ก.ค.ขายได้ 13 ล้านเศษ เงินเหล่านี้ที่ประชาชนยอมซื้อข้าวซึ่งราคาก็ไม่ได้ถูกกว่าท้องตลาด ก็เพราะว่าต้องการอุดหนุนเอเอเอสทีวีให้อยู่ได้ นั่นคือวัตถุประสงค์หลักของผู้บริโภค และทางคุณจิตตนาถก็มีความจำเป็นต้องดูแลสินค้าทุกชนิดที่ใช้เครื่องหมายของเอเอสทีวี ดังนั้นสินค้าที่ขายในนามเอเอสทีวีก็ต้องมีการควบคุมคุณภาพอย่างดี วันใดถ้าเราตรวจพบว่าคุณภาพลดลงหรือมีการขายสินค้าอื่นแทน เช่นสั่งข้าวเอเอสทีวี แต่ส่งข้าวอย่างอื่นไปให้ ความหอมก็ไม่เหมือนกัน ตรงนี้ส่อให้เห็นถึงความไม่ซื่อสัตย์ การค้าขายด้วยกันคู่ค้าต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน

เอเอสทีวีทำการโฆษณาในสื่อต่างๆของเครือเอเอสทีวีผู้จัดการให้ และยอมให้ใช้โลโก้เอเอสทีวีเป็นตราสินค้า แต่ทางเอเอสทีวียอมรับส่วนแบ่งรายได้เพียง 5 แสนบาทต่อเดือน จากยอดการขาย 10 กว่าล้านต่อเดือน ซึ่งถือว่าน้อยมากในทางธุรกิจ แต่ประเด็นนี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก คุณจิตตนาถไม่ได้ติดใจตรงนี้เพราะถือว่าได้ตกลงไปแล้วก็เป็นไปตามที่ตกลง แต่เมื่อตกลงแล้วทางธัญญทิพย์กลับไม่ยอมชำระเงินอีก 2 เดือนสุดท้าย เดือนละ 5 แสนบาท อย่างนี้ตามกฎหมายถือว่าเป็นการผิดสัญญา เพราะผู้ขายได้รับเงินไปแล้วก่อนส่งมอบสินค้า เมื่อรับไปแล้วมีระยะเวลาต้องส่งให้ทางเอเอสทีวีภายใน 30 วัน และการที่ให้พนักงานใส่เสื้อเอเอสทีวีแต่ไปขายข้าวยี่ห้ออื่น จะเป็นข้าวหอมมาแล้วจ้า หรือข้าวอะไรก็ตาม ซึ่งคุณภาพไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกับเอเอสทีวี ดังนั้นการที่เอเอสทีวีใช้สิทธิไม่ต่อสัญญาในครั้งนี้จึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย คือไม่ได้บอกเลิกสัญญา แต่ไม่ต่อสัญญา ซึ่งที่ไม่ต่อนั้นไม่ได้เกิดจากความรักโลภโกรธหลง หรือมีอคติ แต่ไม่ต่อสัญญาเพราะธัญญทิพย์มีพฤติการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถไว้วางใจที่จะต่อสัญญาต่อไปได้

ถ้าหากบริษัทธัญญทิพย์ อินเตอร์เทรด ยังคงนำสินค้าที่มีตราเอเอสทีวีไปขายอยู่ ก็จะมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน เนื่องจากประชาชนซื้อสินค้าด้วยเจตนาที่ต้องการช่วยเหลือเอเอสทีวี ดังนั้นการที่ผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อมูลอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรแจ้ง โดยการหลอกลวงเพื่อให้ได้ไปเพื่อทรัพย์สินหรือผลประโยชน์แก่ผู้หลอกลวง ถือว่าผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง และการกระทำความผิดต่อคนจำนวนมากนี้มีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน มีอัตราโทษจำคุกถึง 5 ปี จึงอยากจะเตือนมาว่าการค้าขายด้วยกันต้องอยู่บนความซื่อสัตย์ อย่างไรก็ดีตอนนี้ทางเอเอสทีวีจะยังไม่มีการฟ้องร้องหรือดำเนินคดีใดๆกับทางบริษัทธัญญทิพย์ โดยจะรอดูท่าทีจากทางธัญญทิพย์ก่อน หากตกลงกันไม่ได้ก็จำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิตามกฎหมายต่อไปครับ

ผู้สื่อข่าว : กรณีที่บริษัทธัญญทิพย์ไม่จ่ายเงินให้ตามสัญญา ทางเอเอสทีวีจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

สุวัตร : โดยหลักเราก็ต้องฟ้อง แต่ผมไม่อยากฟ้อง เงินแค่ล้านกว่าบาท เราสู้แถลงความจริงให้ประชาชนรู้ ให้ภาคสังคมลงโทษจะดีกว่า แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็จำเป็นต้องฟ้อง ถ้าเขาเข้ามาเจรจาก็จบ หลักการก็คือการฟ้องร้องเราจะเลือกเป็นวิธีสุดท้ายเพราะเราไม่ใช่ทักษิณ (หัวเราะ)

จิตตนาถ : การทำธุรกิจต้องตรงไปตรงมาครับ เพราะว่าเงินที่ซื้อข้าวเนี่ยเป็นเงินของประชาชน

สุวัตร : คือเงินคุณก็เอาไปก่อนแล้ว ข้อมูลคุณก็ได้จากคอลเซ็นเตอร์ของเรา แล้วบัดนี้เนี่ยทำการติดต่อเองเพื่อจะขายสินค้าของตัวเอง และไปลดเปอร์เซ็นต์ให้ตัวแทนจำหน่าย ล่าสุดนี่ไปเสนอถึง 20% แล้วขายข้าวแถมถั่ว คืออาศัยจากข้อมูลที่ได้เคยทำการค้ากับเรา

จิตตนาถ : ตรงนั้นผมไม่ติดใจเท่าไร แต่ที่แถลงวันนี้เพราะอยากชี้แจงว่าหลังๆเนี่ยมีจดหมายจากบริษัทธัญญทิพย์พาดพิงถึงเอเอสทีวีว่าที่ไม่ต่อสัญญาเพราะไม่สามารถตกลงเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจกันได้ เอเอสทีวีต้องการเรียกร้องมากจนเกินไป แต่ทุกคนก็เห็นว่าจดหมายระหว่างทางเอเอสทีวีกับทางธัญญทิพย์นั้นตรงกันว่าเขาก็เห็นด้วยที่จะให้ส่วนแบ่ง 8% เพราะฉะนั้นประเด็นที่พยายามสร้างเรื่องขึ้นมาเนี่ยมันไม่ใช่ และผมก็จะแฉให้คนรู้ว่าทำไมเราไม่ต่อสัญญา ก็เป็นเพราะว่าเขาไม่ซื่อสัตย์ ลูกค้าสั่งข้าวเอเอสทีวี แต่ธัญญทิพย์กลับเอาข้าวยี่ห้ออื่นไปส่งและอ้างว่ามาจากที่เดียวกันบ้าง อะไรบ้าง เพื่อที่จะสร้างตลาดของตัวเอง เป็นการทำให้ผู้บริโภคสับสนและถือว่าเป็นการหลอกลวงผู้บริโภคด้วยซ้ำ ในฐานะที่เราเป็นเจ้าของ network ตรงนี้เราจำเป็นต้องชี้แจง ในเมื่อธัญญทิพย์ทำแบบนี้ แล้วก็ยังไม่พอยังไม่ยอมที่จะจ่ายเงินทั้งๆที่ตัวเองได้รับเงินไปก่อนแล้ว ซึ่งไม่ใช่จำนวนที่น้อยๆด้วย

สุวัตร : ก็อยากให้ชัดนะครับคุณจิตตนาถว่าข้าวของเอเอสทีวีตอนนี้มีกี่ยี่ห้อ ไม่เช่นนั้นข่าวที่ออกไปอาจไปกระทบต่อข้าวยี่ห้ออื่น

จิตตนาถ : คือตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค.2552 บริษัทเอเอสทีวีจะมีการนำข้าวตราเอเอสทีวี รอยัลเชฟ ทั้ง 4 ชนิด ออกจำหน่าย และในเดือน ม.ค.2553 จะนำข้าวตราเอเอสทีวี วิถีไทย 4 ชนิด ออกมาจำหน่ายแทนข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ที่หมดสัญญาไป

* * * * * * * *
 หนังสือตอบรับจากบริษัทธัญทิพย์ ซึ่งยินดีรับข้อเสนอจ่ายส่วนแบ่งรายได้ 8% จากยอดขายให้เอเอสทีวี
หนังสือซึ่งทางบริษัทธัญทิพย์เอาโลโก้ของเอเอสทีวีไปใช้เป็นหัวจดหมายโดยไม่ไม่ได้รับอนุญาต
หนังสือจากบริษัทธัญทิพย์ซึ่งชี้แจงกรณีที่สายส่งนำข้าวยี่ห้ออื่นของธัญทิพย์ไปส่งให้ลูกค้าแทนข้าวเอเอสทีวี ตรามือ
จดหมายร้องเรียนจากลูกค้าที่ซื้อข้าวเอเอสทีวี ตรามือ
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ โชว์เอกสารยอดขายข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ของบริษัทธัญทิพย์
กำลังโหลดความคิดเห็น