ซีอีโอ ASTV แฉ “ธัญทิพย์” ไม่ซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจ สอดไส้ขายข้าวยี่ห้ออื่นแทนข้าวเอเอสทีวี ตรามือตบ อีกทั้งไม่ยอมจ่ายส่วนแบ่งรายได้และค่าคอลเซ็นเตอร์ที่ค้างอยู่ 1.7 ล้านบาท แจงไม่ต่อสัญญา ไม่ใช่ยกเลิกสัญญา
แจงสัญญาธุรกิจ
เมื่อวานนี้ นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล CEO เครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ได้ชี้แจงถึงปัญหาที่บริษัท เอเอสทีวี โปรดักส์ จำกัด ไม่ต่อสัญญาในการผลิตและจำหน่ายข้าวเอเอสทีวี ตรามือ กับบริษัท ธัญทิพย์ อินเตอร์เทรด จำกัด ว่า ต้องขอชี้แจงให้พี่น้องที่เป็นแฟนเอเอสทีวี และพันธมิตรฯ บางส่วนที่อยากสนับสนุนเอเอสทีวีได้ทราบปัญหาบางประการที่เกิดขึ้นจากโครงการขายสินค้าของเอเอสทีวี เนื่องจากล่าสุด บริษัท เอเอสทีวี โปรดักส์ จำกัด ได้หมดสัญญากับ บริษัท ธัญญทิพย์ อินเตอร์เทรด จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิต‘ข้าวเอเอสทีวี ตรามือ’ ร่วมกับเอเอสทีวี แต่บริษัทธัญทิพย์กลับไม่ยอมจ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ในงวดเดือน ต.ค และ พ.ย. ซึ่งเป็นช่วงที่ยังอยู่ในสัญญา ให้กับทางเอเอสทีวี อีกทั้งยังแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จแก่ตัวแทนจำน่ายและลูกค้าที่เป็นผู้บริโภค ว่าเหตุที่บริษัทธัญทิพย์ไม่ต่อสัญญากับเอเอสทีวี เพราะทางเอเอสทีวีเรียกร้องผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
“ขออธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกขั้นตอนเพื่อให้ตัวแทนจำหน่ายและลูกค้าทุกท่านหมดข้อสงสัย คงจำกันได้ว่าแรกเริ่มที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งเอเอสทีวี ประกาศบนเวทีพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่าเอเอสทีวีน่าจะมีสินค้าออกมาจำหน่ายเพื่อนำรายได้มาหล่อเลี้ยงเอเอสทีวีให้ยังสามารถออกอากาศต่อไปได้ ซึ่งข้าวก็น่าจะเป็นหนึ่งในสินค้าที่คุณสนธิมองว่าทุกครัวเรือนต้องกินต้องใช้ หลังจากที่พันธมิตรฯ ยุติการชุมนุมก็มีผู้ประกอบการหลายรายเข้ามาแสดงความจำนงว่าต้องต้องการผลิตข้าวให้แก่เอเอสทีวี ซึ่ง บริษัท ธัญทิพย์ ก็เป็นบริษัทแรกๆ ที่เข้ามายื่นข้อเสนอกับเรา เนื่องจากช่วงแรกยังไม่รู้ว่าตลาดจะให้การตอบรับมากน้อยเพียงใด จึงมีข้อตกลงกันว่า บริษัท ธัญทิพย์จะผลิตข้าวถุง โดยทางเราให้นำโลโก้เอเอสทีวีไปใช้ ภายใต้ยี่ห้อ “เอเอสทีวี ตรามือ” และจำหน่ายผ่านคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งบริการส่งตรงถึงบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยบริษัทธัญทิพย์จะให้ส่วนแบ่งแก่เอเอสทีวี 5 แสนบาทต่อเดือน พร้อมทั้งจ่ายค่าคอลเซ็นเตอร์ให้ตามจำนวนคู่สายที่ใช้ในแต่ละเดือน ซึ่งสัญญาดังกล่าวมีผลผูกพันเป็นระยะเวลา 6 เดือน (มี.ค-ส.ค.2552) เพื่อดูผลตอบรับจากตลาด หลังจากนั้นจึงพิจารณาปรับเปลี่ยนสัญญากันใหม่
สำหรับวิธีการสั่งซื้อข้าวนั้น ลูกค้าหรือตัวแทนจำหน่ายจะโทร.ไปสั่งข้าวที่คอลเซ็นเตอร์ จากนั้นเอเอสทีวีก็จะส่งออเดอร์ไปที่บริษัท ธัญทิพย์ แล้วสายส่งของธัญทิพย์จะนำรถออกไปส่งข้าวตามครัวเรือนแล้วเก็บเงินสดมา ส่วนร้านค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายก็จะโอนเงินให้บริษัท ธัญทิพย์ก่อน สายส่งจึงนำข้าวไปส่งให้ พอสิ้นเดือนบริษัท ธัญทิพย์ จึงจะให้ส่วนแบ่งรายได้ 5 แสนบาท และค่าคอลเซ็นเตอร์แก่เอเอสทีวี และหลังจากหมดสัญญา 6 เดือน (วันที่ 31 ส.ค.2552) ก็มีการทบทวนสัญญากันใหม่ ซึ่งเราเห็นว่ายอดขายเติบโตดี คืออยู่ที่ 7-8 หมื่นถุงต่อเดือน คิดเป็นเงิน 14-15 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้น เพื่อความยุติธรรมเราจึงเสนอให้แบ่งรายได้เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย โดยให้ธัญทิพย์แบ่งรายได้ในอัตรา 8% จากยอดเขายให้เอเอสทีวี ยกเว้นข้าวหอมทิพย์ซึ่งคิดส่วนแบ่งในอัตราเพียง 6% จากยอดขาย พร้อมทั้งจ่ายค่าคอลเซ็นเตอร์ให้แก่เอเอสทีวี จำนวน 138,000 บาทต่อเดือน โดยมีระยะเวลาในการเจรจา 3 เดือน คือ ก.ย-พย.2552 ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่มีการเจรจาก็ยังคงใช้สัญญาเดิมไปก่อน จากนั้นจึงจะทำสัญญางวดใหม่ในเดือน ธ.ค.2552 ซึ่งทางธัญทิพย์ก็ทำหนังสือตอบกลับมาว่ายอมรับตามข้อตกลงส่วนแบ่งรายได้ 8% และค่าคอลเซ็นเตอร์ที่เอเอสทีวีเสนอไป แต่หลังจากที่เอเอสทีวีได้รับการร้องเรียนจากลูกค้าถึงความไม่ซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจของบริษัท ธัญทิพย์ เราจึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญา ทางธัญทิพย์กลับส่งจดหมายแจ้งไปยังตัวแทนว่าเหตุที่ไม่ต่อสัญญากับเอเอสทีวีเพราะเอเอสทีวีเรียกส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์ในการขายข้าวในอัตราที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งไม่ป็นความจริงแต่อย่างใด” จิตตนาถ กล่าว
แฉเล่ห์ธัญทิพย์
นายจิตตนาถยังได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่ทำให้เอเอสทีวีตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญากับบริษัท ธัญทิพย์ อินเตอร์เทรด จำกัด ว่า เนื่องจากพบว่าบริษัทธัญทิพย์ไม่มีความซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจในหลายๆเรื่องด้วยกัน เช่น ระหว่างที่มีการจำหน่ายข้าวเอเอสทีวี ตรามือนั้น ทางธัญทิพย์ได้ผลิตข้าวยี่ห้ออื่นออกมาจำหน่าย โดยมีการลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์และแผ่นป้ายโฆษณาต่างๆ ว่าถุงเดียวส่งถึงบ้านซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์เดียวกับข้าวเอเอสทีวี ตรามือ จากกรณีดังกล่าวเอเอสทีวีได้รับแจ้งจากลูกค้าที่สั่งซื้อข้าวผ่านคอลเซ็นเตอร์ว่าสายส่งที่ส่งข้าวเอเอสทีวี ตรามือ โดยบริษัท ธัญทิพย์ ได้นำข้าวยี่ห้ออื่นของธัญทิพย์เองไปส่งให้แทน และนำข้าวยี่ห้ออื่นมาแนะนำ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ลูกค้าเป็นอย่างมาก แต่เอเอสทีวีก็พยายามแก้ปัญหาอย่างละมุนละม่อมโดยขอให้ทางธัญทิพย์ใช้สายส่งเดียวกับที่ส่งสินค้าตัวอื่นๆซึ่งบริหารจัดการโดยเอเอสทีวี เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว แต่ก็ได้รับการปฎิเสธจากทางผู้บริหารของบริษัทธัญทิพย์
“ตั้งแต่ทำธุรกิจร่วมกันเราก็เห็นความไม่ซื่อสัตย์หลายๆอย่างของธัญทิพย์ ตั้งแต่ช่วง 6 เดือนแรกก็มีปัญหาแล้ว คือเราได้รับแจ้งจากผู้บริโภคว่าธัญทิพย์นำข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ใส่รถกระบะไปเร่ขาย ทั้งที่ข้อตกลงระบุว่าเป็นการขายผ่านคอลเซ็นเตอร์เท่านั้น แม้บริษัทธัญทิพย์มีสิทธิจะขายข้าวจำนวนเท่าไรก็ได้ และแบ่งให้รายได้ให้เอเอสที 5 แสนบาทต่อเดือนตามที่ตกลง แต่โดยมารยาทก็ควรแจ้งให้ทางเอเอสทีวีทราบ เพื่อที่เราจะได้ประเมินยอดขายได้ถูก เราก็ทำการตักเตือนไป จากนั้นระหว่างที่อยู่ในช่วงกำลังตกลงเรื่องการต่อสัญญาใหม่กันอยู่ ในราวเดือนพฤศจิกายนก็มีปัญหาอีก มีลูกค้าร้องเรียนเข้ามาเป็นจำนวนมาก มีทั้งโทร.มาต่อว่า ส่งจดหมายมา อีเมลเข้ามา และมาต่อว่าถึงสถานีเอเอสทีวีเลยว่า เขาสั่งข้าวเอเอสทีวี ทำไมเอาข้าวยี่ห้ออื่นไปส่งให้ ทั้งที่เซลที่ส่งข้าวก็ใส่เสื้อเอสทีวี บางทีเซลก็บอกว่าข้าวเอเอสทีวีหมดให้เอายี่ห้ออื่นไปแทน แล้วก็เอาเบอร์โทร.จากฐานข้อมูลลูกค้าของเรา ไปโทร.หาลูกค้าบอกว่ามีข้าวยี่ห้อใหม่ออกใหม่ ซึ่งทำให้ลูกค้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เมื่อเราสอบถามไป ทางบริษัท ธัญทิพย์ ก็มีหนังสือตอบกลับมาว่า เนื่องจากพนักงานส่งสินค้ากระทำการโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยมีการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่ลูกค้าของเอเอสทีวี ซึ่งทั้งนี้ไม่ได้เป็นนโยบายของบริษัทธัญทิพย์แต่อย่างใด ทางบริษัทจึงได้มีการสอบสวนและลงโทษพนักงานดังกล่าวแล้ว พร้อมทั้งกำชับพนักงานให้ประพฤติตนอยู่ในกรอบเพื่อไม่ไห้มีผลกระทบต่อสินค้าของเอเอสทีวีโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ บริษัทได้ติดต่อกลับไปยังลูกค้าของเอเอสทีวีเพื่อชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจ ทางบริษัท ธัญทิพย์ จึงขออภัยมา ณ ทีนี้ และขอยืนยันว่าบริษัทไม่มีนโยบายเช่นนั้น
แต่ผมมีคำถามว่าลำพังพนักงานตัวเล็กๆจะกล้าทำอย่างนั้นหรือครับ แล้วพนักงานได้ฐานข้อมูลของลูกค้าเอเอสทีวีมาจากไหน และถูกค้าก็ยังร้องเรียนอยู่เรื่อยๆว่ามีการสับเปลี่ยนสินค้า มีการโทร.ไปแนะนำสินค้าตัวใหม่ นอกจากนั้นหลังจากที่เราทำหนังสือแจ้งไปยังเอเยนต์ว่าจะไม่ต่อสัญญากับบริษัทธัญทิพย์ ทางธัญทิพย์ก็ทำหนังสือไปถึงตำแทนจำหน่ายว่าเนื่องจากสัญญาระหว่างธัญทิพย์กับเอเอสทีวีจะหมดลงทางบริษัทจึงต้องการระบายสินค้าโดยเพิ่มส่วนลดทางการค้าให้อีก 5% เป็น 15% และเปลี่ยนเบอร์คอลเซ็นเตอร์ใหม่ แต่หนังสือที่เขาส่งไปนั้นเขาใช้โลโก้ของเอเอสทีวี ประกอบเป็นหัวหนังสือ ทำให้ลูกค้าสับสนมาก ซึ่งเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้โลโก้นี้เป็นหัวหนังสือด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานชัดเจนถึงความไม่ซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจของธัญทิพย์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เราไม่ต่อสัญญา ไม่ใช่เพราะเอเอสทีวีเรียกร้องค่าตอบแทนสูงเกินจริงอย่างที่ธัญทิพย์กล่าวหา”
นอกจากนั้น การที่บริษัทธัญทิพย์แจ้งไปยังตัวแทนจำหน่ายว่าจะเพิ่มส่วนลดทางการค้าให้อีก 5% จากเดิมที่ได้ 10% รวมเป็น 15% ทำให้ตัวแทนจำหน่ายสั่งข้าวเพิ่มเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเอเอสทีวีประกาศว่าไม่มีการต่อสัญญากับทางธัญทิพย์ ตัวแทนจำหน่ายก็เจอปัญหาว่าลูกค้าเลิกซื้อข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ทำให้มีข้าวค้างสต๊อกเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางเอเอสทีวีต้องเข้าไปช่วยแก้ปัญหา โดยนายจิตตนาถ ผู้บริหารของเอเอสทีวี ต้องออกมาให้สัมภาษณ์และช่วยประชาสัมพันธ์ว่าหากเป็นข้าวที่ใช้แบรนด์เอเอสทีวี ตรามือตบ ลูกค้าก็ยังสามารถซื้อได้อยู่ ในขณะที่บริษัทธัญทิพย์ซึ่งเป็นตัวต้นเหตุกลับไม่ช่วยเหลืออะไรตัวแทนจำหน่ายเลย
วิชามาร ไม่ต่อสัญญาจึงโดนเบี้ยว
ทั้งนี้ นอกจากปัญหาในเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ของบริษัทธัญทิพย์ในการจำหน่ายและจัดส่งสินค้าแล้ว ทางธัญทิพย์ยังเล่นแง่ด้วยการไม่ยอมจ่ายส่วนแบ่งรายได้ในการจำหน่ายข้าวเอเอสทีวี ตรามือ และค่าคอลเซ็นเตอร์ รวม 1.7 ล้านบาท ให้แก่เอเอสทีวีตามสัญญา โดยธัญทิพย์ต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการขายข้าวในเดือน ต.ค.และ พ.ย. จำนวน 5 แสนบาทต่อเดือน รวมเป็นเงิน 1 ล้านบาท และค่าคอลเซ็นเตอร์ของเดือน ก.ย. เดือน ต.ค. และเดือน พ.ย. รวมจำนวน 7 แสนบาท
“หลังจากที่เราทวงถามไป ทางธัญทิพย์ก็ปฎิเสธที่จะจ่ายเงินที่ค้างอยู่ โดยผู้ใหญ่ของธัญทิพย์อ้างว่าเป็นเพราะ 1.ไม่พอใจที่เราออกโฆษณาว่าสัญญาในการผลิตและจำหน่ายข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ระหว่างเอเอสทีวีและธัญทิพย์ จะหมดลงในวันที่ 1 ธ.ค.2552 โดยในโฆษณามีรูปกากบากอยู่บนถุงข้าว และระบุว่าหลังวันที่ 1 ธ.ค.ข้าวตรามือ ไม่ได้มีส่วนในการสนับสนุนเอเอสทีวีอีกต่อไป 2.การที่เอเอสทีวียกเลิกสัญาทำให้ธัญทิพย์ได้รับความเสียหายเรื่องค่าใช้จ่ายด้านสายส่ง และถุงข้าวที่ผลิตมาแล้วก็ยังเหลืออยู่ 3.เอเอสทีวียกเลิกสัญญาโดยที่บริษัทธัญญทิพย์ไม่มีโอกาสชี้แจง ซึ่งผมขอฝากบอกไปยังผู้ใหญ่ของบริษัทธัญทิพย์ว่าคุณมีสิทธิไม่พอใจ แต่ถ้าสินค้าใดหมดสัญญากับเรา เราก็มีหน้าที่ต้องชี้ต้องชี้แจงให้ประชาชนรับทราบ ส่วนกรณีพนักงานจัดส่งนั้นผมก็ไม่ทราบว่าบริษัทธัญทิพย์ได้รับความเสียหายอย่างไรในเมื่อระหว่างที่มียังไม่หมดสัญญาธัญทิพย์ก็ออกสินค้าอื่นมาขายโดยใช้สายส่งคนเดียวกับที่ส่งข้าวเอเอสทีวี และส่งให้คู่ค้ารายอื่นที่ไม่ใด้เป็นลูกค้าของเอเอสทีวีด้วย นอกจากนั้น หลังจากหมดสัญญาธัญทิพย์ก็ยังขายสินค้าแบบส่งตรงถึงบ้านเหมือนกับตอนที่ deal กับเอเอสทีวี ประเด็นเหล่านี้จึงเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่มีข่าวว่าเอเอสทีวีบอกเลิกสัญญานั้น ขอชี้แจงว่าทางเอเอสทีวีไม่ได้บอกเลิกสัญญา แต่เราใช้สิทธิที่จะไม่ต่อสัญญา หลังจากสัญญาเดิมหมดอายุ เนื่องจากเราเห็นถึงความไม่ซื่อสัตย์และการหมกเม็ดสับเปลี่ยนสินค้าของธัญทิพย์
ทางธัญทิพย์แจ้งกับฝ่ายการเงินของเอเอสทีวีว่าค่าใช้จ่ายที่ค้างอยู่ก็ให้ต่างฝ่ายต่างเงียบไป และให้ไปคุยกันในแง่กฎหมาย เพื่อให้ศาลไกล่เกลี่ย ซึ่งผมมองว่าไม่ถูกต้องเพราะธัญทิพย์ไม่ได้มีขาดทุนจากการขายข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ถ้าดูจากรายงานการขายข้าวของบริษัทธัญทิพย์ในช่วงเดือน ต.ค-พ.ย.2552 จากที่คอลเซ็นเตอร์แจ้งมา จะพบว่าเดือน ต.ค.ขายข้าวได้ 47,542 ถุง เป็นเงิน 11,764,653 บาท เดือน พ.ย.ขายได้ 57,680 ถุง เป็นเงิน 14, 561,355 บาท แต่ทางบริษัทธัญทิพย์กลับแจ้งมาว่า เดือน ต.ค.ขายข้าวได้เงิน 8,222,054บาท ส่วนเดือน พ.ย.เขาให้ข้อมูลแค่ช่วงวันที่ 1-13 พ.ย.ว่าขายได้ 3,988,424 บาท ซึ่งจากระบบการขายที่วางไว้เนี่ยอย่างน้อยบริษัทธัญทิพย์ต้องได้เงินจากลูกค้ามาแล้ว 10 กว่าล้านบาท เพราะเป็นระบบที่ลูกค้าจ่ายเป็นเงินสดทั้งหมด ไม่ได้ขายผ่านซัปพลายเออร์ แต่เงินที่ต้องจ่ายให้แก่เอเอสทีวีตามสัญญารวมแล้วแค่ล้านกว่าบาท เขากลับไม่ยอมจ่าย ที่สำคัญเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่ได้มาจากศรัทธาของประชาชนที่ต้องการซื้อข้าวเพื่อช่วยเหลือเอเอสทีวี เขาซื้อเพราะคิดว่ารายได้ส่วนหนึ่งจะเข้าเอเอสทีวี แต่ธัญทิพย์ทำแบบนี้ผมรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก และคิดว่าคงต้องหามาตรการในการดำเนินการต่อไป” จิตตนาถชี้แจงถึงกรณีที่ธัญทิพย์ไม่จ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้เอเอสทีวี
ทนายชี้ ฉ้อโกงโทษจำคุก 5 ปี
ด้าน นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ อธิบายเพิ่มเติมว่า จะเห็นได้ว่ายอดรายรับในการจำหน่ายข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ของบริษัทธัญทิพย์นั้นได้เฉลี่ยเดือนละ 10 กว่าล้าน ซึ่งราคาข้าวที่ประชาชนซื้อนั้นก็ถือว่าไม่ได้ถูกกว่าท้องตลาด แต่เขายอมจ่ายเพราะต้องการช่วยเหลือเอเอสทีวี เอเอสทีวียอมให้ใช้โลโก้เอเอสทีวีบนตราสินค้า พร้อมทั้งลงโฆษณาในสื่อต่างๆของเครือเอเอสทีวีผู้จัดการให้ ไม่ว่าจะเป็น สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี หนังสือพิมพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เว็บไซต์ผู้จัดการ (WWW.manager.co.th) แต่ทางเอเอสทีวียอมรับส่วนแบ่งเพียง รายได้ 5 แสนบาทต่อเดือนจากยอดการขาย 10 กว่าล้านต่อเดือน ซึ่งถือว่าน้อยมากในทางธุรกิจ แต่ทางธัญทิพย์กลับไม่ยอมชำระเงินตามสัญญา ซึ่งในแง่ของข้อกฎหมายนั้นถือว่าผิดสัญญาเพราะตามสัญญาระบุว่าเมื่อธัญทิพย์ได้รับเงินจากการขายข้าวแล้วต้องส่งให้เอเอสทีวีภายใน 30 วัน นอกจากนั้นการที่ให้พนักงานใส่เสื้อเอเอสทีวีแต่ไปขายข้าวยี่ห้ออื่นก็ถือว่าไม่ถูกต้อง ดังนั้นการที่เอเอสทีวีไม่ต่อสัญญาก็ถือว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมเนื่องจากธัญทิพย์มีพฤติการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจที่จะทำธุรกิจร่วมกันต่อไปได้
“หากธัญทิพย์นำสินค้าที่มีตราเอเอสทีวีไปขายอยู่ก็จะมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน เนื่องจากประชาชนซื้อสินค้าด้วยเจตนาที่ต้องการช่วยเหลือเอเอสทีวี ดังนั้น การที่ผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อมูลอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรแจ้ง โดยการหลอกลวงเพื่อให้ได้ไปเพื่อทรัพย์สินหรือผลประโยชน์แก่ผู้หลอกลวง ถือว่าผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง และการกระทำความผิดต่อคนจำนวนมากนี้เป็นการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน มีอัตราโทษจำคุกถึง 5 ปี อย่างไรก็ดี ตอนนี้ทางเอเอสทีวีจะยังไม่มีการฟ้องร้องหรือดำเนินคดีใดๆกับทางบริษัทธัญทิพย์ โดยจะรอดูท่าทีจากทางธัญทิพย์ก่อน หากตกลงกันไม่ได้ก็จำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิตามกฎหมายต่อไป” นายสุวัตรกล่าว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค.2552 บริษัท เอเอสทีวี จะมีการนำข้าวตราเอเอสทีวี รอยัลเชฟ ทั้ง 4 ชนิด ออกจำหน่าย และในเดือน ม.ค.2553 จะนำข้าวตราเอเอสทีวี วิถีไทย 4 ชนิดออกมาจำหน่ายแทนข้าวเอเอสทีวี ตรามือ ที่หมดสัญญาไป
* * * * * * * *