xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 28 มิ.ย.-4 ก.ค.2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประธานศาลฎีกา นำผู้พิพากษาประจำสำนักงานศาลยุติธรรมเข้าเฝ้าฯ (30 มิ.ย.)
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ในหลวง” ทรงแนะผู้พิพากษาดำรงความยุติธรรม เพื่อบ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข!

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.(เวลา 17.30น.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา นำผู้พิพากษาประจำสำนักงานศาลยุติธรรมจำนวน 41 คน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ โอกาสนี้ ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ผู้พิพากษา โดยขอให้ทำตามที่ได้กล่าวคำปฏิญาณ เพื่อให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข “ขอให้ท่านสำนึกความสำคัญของคำปฏิญาณและพยายามทำตามที่ได้กล่าว ไม่เช่นนั้นคำกล่าวที่ได้พูดอะไรออกมาก็จะกลวงหมด ...ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ของความยุติธรรมของบ้านเมือง เพื่อให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข บ้านเมืองมีความสงบสุข และใครทำอะไรไม่ดีทั้งหลายต้องกล่าวถึง ท่านต้องพูดต้องยืนยันว่าเป็นหน้าที่ที่จะทำให้ยุติธรรม คนอื่นทำไม่ยุติธรรม ถ้าเขาไม่ได้ปฏิญาณก็คงไม่เป็นไร แต่ว่าทุกคนที่อยู่ในข่ายของความยุติธรรมก็ควรไตร่รู้ทั้งหมด จะเป็นผู้พิพากษาหรือไม่เป็นก็จะต้องปฏิบัติเพื่อความยุติธรรม ท่านรู้ว่าท่านต้องดูแลสอดส่องให้เห็นว่าความยุติธรรมมีอยู่ในบ้านเมือง...” จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำตุลาการศาลทหารสูงสุดจำนวน 12 คน ตุลาการศาลทหารกลางจำนวน 75 คน และตุลาการพระธรรมนูญศาลทหารชั้นต้นจำนวน 8 คน รวม 95 คน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ โอกาสนี้ ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทให้ตุลาการศาลทหารรักษาความยุติธรรมด้วยความกล้าหาญ “ถ้าเป็นทหารแล้ว จะต้องรักษาความยุติธรรมและต้องรักษาด้วยความกล้าหาญ ขอให้ได้ประพฤติสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับ และเมื่อมีความสำเร็จในหน้าที่ที่ได้รับได้ทำนั้น เชื่อว่าท่านจะมีความสุข ความภูมิใจอย่างมาก ถ้าไม่ทำก็จะมีความอับอายในใจที่เป็นทหารแล้วไม่ทำ ...ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่และก็เป็นสุดยอดของหน้าที่ขอให้ได้มีความสำเร็จในการงาน เป็นที่ชื่นชมของประชาชนทั่วไปว่ามีผู้รักษาผลประโยชน์ของประชาชนอย่างเคร่งครัด ความเคร่งครัดสามารถที่จะปฏิบัติไม่นึกถึงอันตรายที่จะมีมาและจะต้องนึกถึงความสงบสุขของประเทศชาติ...”

2. สังคมสวดยับ “เสื้อแดง”ล่าชื่อถวายฎีกา-กดดัน “สถาบัน”ให้อภัยโทษ “ทักษิณ”!
กลุ่มสยามสามัคคี นำโดย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีต หน.สำนักงานเลขาธิการ คมช.ออกแถลงการณ์ตำหนิการเตรียมเข้าชื่อถวายฎีกาของกลุ่มเสื้อแดง (1 ก.ค.)
หลังจากกลุ่มเสื้อแดงได้จัดชุมนุมที่ท้องสนามหลวงเมื่อเย็นวันที่ 27 มิ.ย.ถึงรุ่งเช้าวันที่ 28 มิ.ย. โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี ได้โฟนอินเข้ามายังเวทีคนเสื้อแดงด้วย ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่า จะเหมาะสมหรือไม่หากมีการถวายฎีกาเพื่อให้มีการพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อจะได้กลับมาแก้ปัญหาให้บ้านเมือง ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่า ต้องแล้วแต่พระมหากรุณาธิคุณ จากนั้นคนเสื้อแดงได้มีมติที่จะเข้าชื่อ 1 ล้านคนเพื่อถวายฎีกานั้น ปรากฏว่า หลายฝ่ายได้ออกมาตำหนิว่า การถวายฎีกาด้วยวิธีล่าชื่อดังกล่าว นอกจากจะขัดต่อหลักเกณฑ์การขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว ยังเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจและกดดันพระราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม บอกว่า ตามปกติการขอพระราชทานอภัยโทษ นักโทษจะต้องรับโทษอยู่ในประเทศ ไม่ใช่อยู่ต่างประเทศ และการเข้าชื่อเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษก็ไม่เคยมีอยู่ในระเบียบของกรมราชทัณฑ์ ด้านนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ก็ยืนยันว่า การขอพระราชทานอภัยโทษ คนที่ต้องโทษต้องดำเนินการเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นดำเนินการให้ และว่า การเข้าชื่อ 1 ล้านเพื่อขออภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการรบกวนเบื้องพระยุคลบาท เพราะนำสถาบันมายุ่งกับการเมือง ขณะที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ การเข้าชื่อ 1 ล้านเพื่อถวายฎีกาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นพฤติกรรมที่จาบจ้วง เพราะใช้มวลชนมากดดัน และว่า ถ้าคนที่ขอพระราชทานอภัยโทษเป็นนักการเมืองโกงกิน จนถูกจับได้และต้องเข้าคุก แต่มีมวลชนในมือ แล้วมาขออภัยโทษด้วยวิธีนี้ได้ คนที่อยู่ในคุกจำนวนมากก็จะลุกขึ้นมาเรียกร้องเช่นเดียวกัน ด้านคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ที่มี พล.อ.อ.ณพฤษภ์ มัณฑะจิตร ส.ว.สรรหา เป็นประธาน ได้เปิดแถลงตำหนิการเตรียมเข้าชื่อ 1 ล้านเพื่อถวายฎีกาให้ พ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นการมุ่งร้ายต่อสถาบัน และอาจก่อผลร้ายแรงระหว่างประชาชนแต่ละฝ่าย พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลแถลงให้ประชาชนทราบถึงข้อกฎหมายและประเพณีปฏิบัติในการขอพระราชทานอภัยโทษ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน จะได้ไม่หลงเป็นเหยื่อของการเข้าชื่อถวายฎีกาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียงกระแสสังคมจะตำหนิการเตรียมเข้าชื่อ 1 ล้านของกลุ่มเสื้อแดงเพื่อถวายฎีกาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แม้แต่แกนนำคนเสื้อแดงยังแตกคอกันเอง โดยนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน ไม่เห็นด้วยกับการล่าชื่อเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะจะถูกมองว่าเอารายชื่อมวลชนมาบีบบังคับ จะทำให้เสียหายกันอีก และว่า การขออภัยโทษเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณทำผิดจริง ซึ่งถ้าผิดทำไมจึงไม่รับโทษ อย่างไรก็ตาม ทางแกนนำคนเสื้อแดงไม่สนใจเสียงท้วงติงของนายสุรชัย โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ยืนยันจะเดินหน้าล่า 1 ล้านรายชื่อ และว่า หากนายสุรชัยไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องเข้าร่วม ด้านแกนนำพรรคเพื่อไทย แม้จะรีบออกตัวว่าไม่เกี่ยวข้องกับการล่าชื่อเพื่อถวายฎีกาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ก็ส่งสัญญาณให้ท้ายการกระทำดังกล่าว โดย พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาฯ และแกนนำพรรคเพื่อไทย ยืนยัน พรรคไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับดำเนินการของกลุ่มคนเสื้อแดง และมองว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้เป็นการกดดันสถาบันเบื้องสูง แต่เป็นการหาที่พึ่งในฐานะประชาชนทั่วไป ขณะที่กระแสสังคมยังตำหนิการล่าชื่อถวายฎีกาของกลุ่มเสื้อแดงอย่างต่อเนื่อง เช่น เครือข่ายสยามสามัคคี นำโดย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) และนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ได้ออกแถลงการณ์ว่า การล่าชื่อถวายฎีกาให้มีการพระราชทานอภัยโทษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการดึงสถาบันกษัตริย์ลงมาขัดแย้งทางการเมือง เป็นการใช้มวลชนไปกดดันพระองค์ท่าน ซึ่งอันตรายอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าผลสรุปจะออกมาแบบใด จะทำให้ประชาชนเกิดความสับสนในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะที่นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) และนายขวัญสรวง อติโพธิ อดีต ส.ว.กทม. แถลงเรียกร้องให้แกนนำกลุ่มเสื้อแดงหยุดรบกวนสถาบันพระมหากษัตริย์ และว่า การล่าชื่อ 1 ล้านเพื่อถวายฎีกาให้ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น เป็นวิธีทางการตลาดทางการเมืองที่ต้องการบีบสถาบันโดยใช้ความจงรักภักดีเป็นค่าใช้จ่าย ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า ทำอย่างไรก็ไม่เกิดผล เพราะเป็นการเรียกร้องที่ขัด รธน. “เรื่องนี้ไม่ใช่การเกลียดหรือชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นเรื่องของเสาหลักของแผ่นดิน ที่ไม่ควรจะดึงมาเล่นทางการตลาดแบบนี้ เหตุใดแกนนำกลุ่มเสื้อแดงจึงไม่ใช้วิธีล่ารายชื่อเพื่อเสนอกฎหมาย อาทิ พ.ร.บ.สมานฉันท์ ที่เป็นการดำเนินการภายใต้ รธน.ไม่ใช่มาใช้วิธีขัด รธน.เช่นนี้” ด้านแกนนำคนเสื้อแดง(นายวีระ มุสิกพงศ์-นายจตุพร พรหมพันธุ์-นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) เปิดแถลง(1 ก.ค.)เดินหน้าล่าชื่อให้ได้ 1 ล้านคนเพื่อถวายฎีกาให้มีการพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมประกาศ หากภายใน 1 เดือนยังได้ไม่ถึง 1 ล้านคน จะยุติการถวายฎีกา แต่ถ้าได้รายชื่อครบ 1 ล้าน ก็จะทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาไป และหลังถวายฎีกาก็จะไม่หยุดชุมนุม เพราะการถวายฎีกาและการชุมนุมเป็นคนละเรื่อง ทั้งนี้ แกนนำคนเสื้อแดง ได้จัดพิมพ์แบบฟอร์มแจกจ่ายให้เครือข่ายคนเสื้อแดงประชาชนทั่วไป และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เพื่อลงชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเป็นการขออภัยโทษในคดีที่ดินรัชดาฯ (ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา) ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่(ก.ม.ม.) จับพิรุธรายละเอียดในแบบฟอร์มลงชื่อเพื่อถวายฎีกาของแกนนำคนเสื้อแดงว่า นอกจากจะมีเนื้อหาที่หมิ่นศาลแล้ว ยังมีข้อความในลักษณะหลอกโจมตีสถาบัน และบีบบังคับให้ต้องพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย เช่น เนื้อหาข้อ 1. ที่ระบุว่า “ข้าพระพุทธเจ้ามีความทุกข์แสนสาหัสจากปัญหาเศรษฐกิจ อันมีปฐมเหตุจากการยึดอำนาจทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 เพราะนั่นเป็นการทำลายระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้กลายเป็นระบอบเผด็จการทหารที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ซึ่งถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพดึงฟ้าลงต่ำ และหลอกโจมตีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปในที เพราะถ้าจะโจมตีการรัฐประหารก็ต้องพุ่งเป้าไปที่ คมช. ขณะที่เนื้อหาในข้อ 4. ระบุว่า “...เวลานี้เหลือที่พึ่งสุดท้ายหนึ่งเดียวที่ข้าพระพุทธเจ้าจะพึ่งได้คือใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เพราะทรงบำเพ็ญกรณียกิจบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ทวยราษฎร์เสมอมา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม มีสายพระเนตรยาวไกล คงจะไม่ปล่อยปละละเลยพสกนิกรให้จมอยู่กับความระทมทุกข์เป็นเวลายาวนานเกินไป” ถือว่ามีเจตนาก้าวล่วง กดดันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสมือนบีบบังคับให้ต้องมีพระบรมราชวินิจฉัยอภัยโทษ เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากแกนนำเสื้อแดงจะล่าชื่อเพื่อถวายฎีกาให้มีการอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ทางแกนนำพรรคเพื่อไทยยังได้ยื่นเรื่องให้สหประชาชาติ(ยูเอ็น) ตรวจสอบการทำรัฐประหารในไทยเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกยึดอำนาจ ได้กลับเข้าดำรงตำแหน่งอีกครั้งหนึ่งด้วย

3. “ตร.ราชาเทวะ” ยัดข้อหา “ก่อการร้าย” ให้ “25 พันธมิตรฯ” ด้าน “กษิต”โดนด้วย!
กลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ผู้สื่อข่าวรายงานในวันนี้(4 ก.ค.) ว่า พนักงานสอบสวน สภ.ราชาเทวะ โดย พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ได้ออกหมายเรียกลงวันที่ 1 ก.ค.ให้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับพวก(ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) รวม 25 คน เข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนในข้อหา “ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญฯ มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ , เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมแล้วไม่เลิก, ก่อการร้าย, บุกรุก, ทำให้เสียทรัพย์ ฯลฯ” ทำให้การให้บริการของท่าอากาศยานหยุดชะงักลง รวมทั้งฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ระหว่างวันที่ 29 พ.ย.- 3 ธ.ค.2551 ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ สำหรับผู้ที่ถูกออกหมายเรียกฐานก่อการร้ายนี้มีจำนวน 25 คน ประกอบด้วย 1.พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 2.นายสนธิ ลิ้มทองกุล 3.นายสุริยะใส กตะศิลา 4.นายสำราญ รอดเพชร 5.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 6.นายอมร อมรรัตนานนท์ 7.นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ 8. นายศิริชัย ไม้งาม 9.นางมาลีรัตน์ แก้วก่า 10.นายเทิดภูมิ ใจดี 11.นายพิภพ ธงไชย 12.พล.อ.ปฐมพงษ์ เกสรศุกร์ 13.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก 14.นายพิชิต ไชยมงคล 15.นายประพันธ์ คูณมี 16.นายบรรจง นะแส 17.นายกษิต ภิรมย์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) 18.นายศรัณยู วงศ์กระจ่าง 19.นายวีระ สมความคิด 20.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 21.น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ 22.ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ 23.นายชนะ ผาสุกสกุล 24.พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ 25.นายสุรวิชช์ วีรวรรณ ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน สภ.ราชาเทวะ ให้ผู้ที่ถูกออกหมายเรียกทั้ง 25 คนเข้ารายงานตัวที่สโมสรตำรวจ ในวันที่ 16 ก.ค.นี้ เวลา 13.00น. เป็นที่น่าสังเกตว่า การตั้งข้อหาแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯ ว่าก่อการร้ายนั้น ถือว่ารุนแรงเกินจริง ซึ่งก่อนหน้านี้นักวิชาการทั้งด้านกฎหมายและด้านรัฐศาสตร์ต่างชี้ว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ ทั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง ไม่เข้าข่ายการก่อการร้าย เนื่องจากไม่ได้เข้ายึดหอบังคับควบคุมการบิน และไม่ได้ปิดกั้นการบิน แต่ผู้บริหารท่าอากาศยานเป็นผู้สั่งปิดสนามบินและสั่งหยุดบินด้วยตนเอง ด้านพนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง ได้ออกหมายเรียกแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯ จำนวน 27 คนให้เข้ารายงานตัวที่สโมสรตำรวจเช่นกันในวันที่ 16 ก.ค. เวลา 09.30น. ในข้อหาบุกรุกสนามบินดอนเมือง ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ฯลฯ แต่ไม่มีข้อหาก่อการร้ายดังเช่นที่พนักงานสอบสวน สภ.ราชาเทวะตั้งข้อหากรณีบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิ โดยผู้ที่ถูกออกหมายเรียกกรณีบุกรุกสนามบินดอนเมืองมีจำนวน 27 คน ประกอบด้วย 1.พล.ต. จำลอง ศรีเมือง 2.นายสนธิ ลิ้มทองกุล 3.นายพิภพ ธงไชย 4.นายสุริยะใส กตะศิลา 5.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 6.นางมาลีรัตน์ แก้วก่า 7.นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ 8.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 9.นายอมร อมรรัตนานนท์ 10.นายสำราญ รอดเพชร 11.นายศิริชัย ไม้งาม 12.นายเทิดภูมิ ใจดี 13.นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 14.นายสาวิทย์ แก้วหวาน 15.นายพิชิต ไชยมงคล 16.นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด 17.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก 18.นายประพันธ์ คูณมี 19.พล.อ.ปฐมพงษ์ เกสรศุกร์ 20.นางแจ่มศรี สุขโชติรัตน์ 21.นายสมบูรณ์ สุวรรณฝ่าย 22.น.ส.จินดารัตน์ เจริญชัย ชนะ 23.นายเติมศักดิ์ จารุปราณ 24.นายบัณฑิต ปิ่นมงคลกุล 25.น.ส.วรรษมน ช่างปรีชา 26.นายยุทธิยงค์ ลิ้มเลิศวาที 27.นายสุมิตร นวลมณี ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ บอกว่า แกนนำพันธมิตรฯ พร้อมแนวร่วมฯ ที่ถูกออกหมายเรียก จะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนที่สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดีรังสิต ในวันที่ 16 ก.ค.นี้ ตามหมายเรียก โดยเบื้องต้นจะให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา พร้อมยืนยัน การชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นไปตามกรอบที่ รธน.กำหนด ซึ่งประชาชนสามารถกระทำได้

4. “อภิสิทธิ์”ยัน ไม่ยกพื้นที่อีสานให้ “ภท.” พร้อมสวน “น้องชายเนวิน” ใครให้ทนอยู่กับ รบ.!
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
สถานการณ์การเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มเกิดการกระทบกระทั่งกันในพรรคร่วมรัฐบาล ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กับพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ของกลุ่มเพื่อนเนวิน โดยหลังจากพรรคเพื่อไทยคว้าชัยในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ที่ จ.สกลนคร และศรีสะเกษ ทางแกนนำพรรคเพื่อไทยก็เริ่มออกมาส่งสัญญาณว่า มีส.ส.ติดต่อขอกลับเข้าพรรคจำนวนมาก ส่งผลให้นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ถึงกับเครียดหนัก กลัว ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยจะย้ายกลับไปซบพรรคเพื่อไทย จึงได้ถามบรรดาแกนนำของพรรคภูมิใจไทย และได้คำตอบว่า จะอยู่กับพรรคต่อไป ทั้งนี้ แกนนำพรรคภูมิใจไทยพยายามปรับยุทธวิธีหาคะแนนนิยมให้พรรค โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีของพรรคแต่ละคนรับผิดชอบพื้นที่ต่างๆ ในภาคอีสาน พร้อมกันนี้ยังได้ระดมติดป้ายประชาสัมพันธ์นโยบายของพรรค เช่น โครงการถนนปลอดฝุ่น ,โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 ลานกีฬา ฯลฯ ซึ่งอยู่ในงบประมาณของโครงการไทยเข้มแข็ง(ซึ่งต้องใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้าน) โดยนายปัญญา ศรีปัญญา ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน บอกว่า เมื่อ พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี’53 และ พ.ร.ก.-พ.ร.บ.เงินกู้ฯ ผ่านสภา ก็จะปูพรมลงพื้นที่ภาคอีสาน จะช่วยให้ความนิยมของพรรคเพิ่มขึ้น นายปัญญา ยังส่งสัญญาณทำนองขู่พรรคประชาธิปัตย์ ด้วยว่า หากไม่คายงบลงพื้นที่ภาคอีสาน เตรียมกอดคอกันตายได้เลย “ปชป.รู้อยู่แล้วว่า ตัวเองไม่สามารถเข้าภาคอีสานได้ เมื่อเดินเข้ามา จะทำให้ชาวบ้านลำบากใจ จึงต้องมอบหมายให้พรรคภูมิใจไทย(ภท.) เป็นผู้ดำเนินการในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งได้คุยกันหมดแล้วตั้งแต่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล และในช่วงก่อนลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา ก็ได้คุยกันอีกว่า ถ้า ปชป.จะให้ ภท.เป็นคนทำ ก็ต้องสนับสนุนเงินงบประมาณต่างๆ ลงมาด้วย ซึ่ง ปชป.ต้องใจกว้าง ช่วยกันแบบทัพหน้าทัพหลัง ไม่ใช่ให้เราสู้อยู่คนเดียว ซึ่งถ้า(โครงการ)ไทยเข้มแข็ง ปชป.ยังไม่ให้เราอีก ก็เตรียมกอดคอกันตายได้” เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังแกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทยออกมาส่งสัญญาณดังกล่าว ปรากฏว่า ประธานวิปรัฐบาล นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ได้เรียกประชุมวิปรัฐบาลนัดพิเศษ(1 ก.ค.) ซึ่งที่ประชุมได้ออกยุทธศาสตร์ “รวมกันเราอยู่” เพื่อใช้ในการทำงานการเมืองร่วมกัน โดย 1 ในยุทธศาสตร์ดังกล่าวได้แก่ ให้นายกฯ และรัฐมนตรีลงพื้นที่ตามความจำเป็น โดยนายกฯ เตรียมลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ พื้นที่ของนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวินเป็นแห่งแรก ในวันที่ 11 ก.ค.นี้ ทั้งนี้ นายชินวรณ์ ยืนยันว่า การออกยุทธศาสตร์ “รวมกันเราอยู่”ไม่ใช่เพราะ ส.ส.พรรคภูมิใจไทยทวงงบประมาณจากรัฐบาล เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้จัดสรรงบให้กับทุกพรรคอย่างเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม การออกมาพูดของนายปัญญา ศรีปัญญา แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่แค่เรื่องทวงงบฯ เท่านั้นที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ลำบากใจ แต่ยังส่งสัญญาณว่าพรรคประชาธิปัตย์ตกลงให้พรรคภูมิใจไทยยึดครองพื้นที่ภาคอีสานด้วย ซึ่งส่งผลให้ ส.ส.ภาคอีสาน พรรคประชาธิปัตย์ น้อยใจ คือ นายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นแกนนำ ส.ส.ภาคอีสาน ได้ออกมาบอกว่า หากนายอภิสิทธิ์เปิดทางให้พรรคภูมิใจไทยยึดครองพื้นที่ภาคอีสาน โดยไม่ส่ง ส.ส.ของพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง ตนคงต้องขอลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ และเลิกเล่นการเมืองไปเลย แต่ยืนยัน จะไม่ขอเข้าร่วมพรรคเพื่อไทยอย่างเด็ดขาด แม้จะมีข่าวว่าตนไปกินข้าวกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณก็ตาม แต่ไม่มีนัยทางการเมือง เป็นคนรู้จักและเคยสนิทสนมมาก่อนเท่านั้น ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ยืนยัน จะไม่มีการให้พรรคอื่นดูแลพื้นที่ภาคอีสาน และว่า “นายสุทัศน์น่าจะรู้อยู่แล้วว่าผมมีจุดยืนอย่างไร โดยสมัยหนึ่งประชาธิปัตย์เคยถูกต่อต้านอย่างมากในภาคอีสาน แต่ผมเป็นคนที่ยืนยันด้วยการใส่เสื้อของพรรคไปหาเสียงในภาคอีสาน หรือครั้งหนึ่งก็เคยมีการเสนอให้พรรคมหาชนทำพื้นที่ภาคอีสานแทน แต่ตอนนั้นผมก็คัดค้าน” เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากนายอภิสิทธิ์ต้องทำความเข้าใจกับ ส.ส.ของพรรคแล้ว ยังต้องเคลียร์ใจกับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวินด้วย โดยทั้งสองได้รับประทานอาหารร่วมกันที่บ้านพิษณุโลกเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ซึ่งนายอภิสิทธิ์ได้เผยถึงสิ่งที่พูดคุยกันในเวลาต่อมาว่า “1-2 เดือนที่ผ่านมา ประชาชนมองว่ารัฐบาลขาดเอกภาพ และไม่มั่นใจในความโปร่งใสของหลายโครงการ จึงต้องหยุดสภาวะดังกล่าว” นายอภิสิทธิ์ ยังส่งสัญญาณด้วยว่า อาจมีการปรับ ครม.โดยเฉพาะในส่วนของพรรคภูมิใจไทย หากจำเป็น “ได้พูดไปว่า ในที่สุดเราต้องประเมินตัวเอง ถ้างานต่างๆ มันไม่สามารถตอบสนองได้ เราก็จำเป็นต้องปรับ” อย่างไรก็ตาม หลังเคลียร์ใจกับนายเนวินแล้ว ก็มีคำพูดของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชายนายเนวิน ซึ่งเป็นประธานคณะทำงานรัฐมนตรีมหาดไทย(นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล)ออกมาทำให้นายอภิสิทธิ์เกิดความไม่พอใจอีก เพราะนายศักดิ์สยามให้สัมภาษณ์สื่อทำนองว่าต้องทนทำงานกับรัฐบาล “ยังไงพรรคร่วมรัฐบาลต้องทนเป็นรัฐบาล ทนบริหารเงิน 8 แสนล้านบาท เพื่อรองบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ก็ต้องทนกันต่อไป” ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ได้ออกมาตอบโต้นายศักดิ์สยามด้วยท่าทีฉุนเฉียวว่า “ถ้าเขาทนไม่ได้ ไม่บังคับให้อยู่หรอกครับ ถ้าไม่อยากทนอยู่ ก็ไม่ต้องอยู่ ผมทำงานอย่างเดียว ถ้าใครไม่สมัครใจ ผมก็ไม่บังคับ ไม่มีปัญหาเลยครับ คนเราไม่ควรจะทนทำงาน แต่ควรทำงานด้วยความสมัครใจ และอยู่กันด้วยเหตุผล ผมไม่บังคับให้ใครมาอยู่กับผม ถ้าไม่เดินตามแนวทางที่เป็นแนวซึ่งถูกต้อง ผมก็ไม่บังคับให้มาอยู่หรอกครับ” ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องคุยกับนายเนวินให้รู้เรื่องอีกครั้งหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ บอกว่า “ไม่ เพราะหากเป็นเรื่องของที่ปรึกษาหรือคณะทำงานของรัฐมนตรีคนไหน ผมอาจจะขอไปคุยกับรัฐมนตรีคนนั้นโดยตรงว่า ใครที่ไม่สมัครใจมาทำงาน ก็ไม่ต้องมา” ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายเนวินซึ่งอยู่ระหว่างพักผ่อนที่ฮ่องกง ได้โทรศัพท์ต่อว่านายศักดิ์สยามที่ให้สัมภาษณ์จนสร้างความไม่พอใจให้นายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายศักดิ์สยามอ้างกับนายเนวินว่า แค่พูดกับผู้สื่อข่าวเล่นๆ ขำๆ เท่านั้น ซึ่งนายเนวินได้โทรศัพท์ขอโทษนายอภิสิทธิ์ พร้อมทั้งโทร.ทำความเข้าใจกับนายสุเทพแล้ว

5. “ครม.”ไม่กล้าเคาะรถเมล์ 4 พันคัน-ยื้อเวลาอีก 30 วัน ด้าน “โสภณ”โวย ถ้าครั้งหน้าไม่จบ ล้มโครงการไปเลย!
โสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีคมนาคม
ความคืบหน้ากรณีที่ประชุม ครม.ให้บอร์ดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์ ไปศึกษาเกี่ยวกับโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน มูลค่า 6.4 หมื่นล้าน ระยะเวลาเช่า 10 ปี ของ ขสมก.(ที่ผลักดันโครงการโดยนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีคมนาคมจากพรรคภูมิใจไทย กลุ่มเพื่อนเนวิน) เพื่อดูว่าควรซื้อหรือเช่าจึงจะคุ้มค่ากว่ากัน โดยให้เวลาศึกษา 1 เดือน แล้วเสนอเข้า ครม.อีกครั้งนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. บอร์ด สศช.ได้ประชุมพิจารณาข้อมูลโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน ที่กระทรวงคมนาคมได้ส่งให้ สศช.ตามที่ขอ รวมทั้งข้อมูลที่ได้จากการประชุมเสวนาที่เปิดให้ผู้เกี่ยวข้องได้แสดงความเห็น ทั้งนี้ นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ สศช.เผยว่า บอร์ด สศช.มีมติให้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานทั้งหมดต่อที่ประชุม ครม.วันที่ 30 มิ.ย. พร้อมนำเสนอประเด็นเพิ่มเติมอีก 4 ประเด็น เพื่อให้ ครม.ใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจว่า จะเลือกแนวทางใด ด้านที่ประชุม ครม.วันที่ 30 มิ.ย.หลังจากพิจารณาข้อมูลและข้อเสนอของบอร์ด สศช.แล้ว ได้มีมติให้กระทรวงคมนาคมไปปรับปรุงข้อมูลให้สมบูรณ์ ก่อนส่งให้ สศช.พิจารณา แล้วนำเสนอ ครม.อีกครั้งภายใน 30 วัน โดยข้อเสนอที่ สศช.ให้กระทรวงคมนาคมไปปรับปรุงแผนบริหารจัดการ ขสมก. มี 4 ข้อ ประกอบด้วย 1.ความเหมาะสมของเส้นทางเดินรถ 145 เส้นทาง ทั้งเรื่องการทับซ้อนของเส้นทางระหว่าง ขสมก.กับรถร่วมบริการ และการเชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าฯ ในปัจจุบันและอนาคต 2.ความเหมาะสมของประมาณการปริมาณผู้โดยสาร ความเป็นไปได้ของการเพิ่มจำนวนผู้โดยสารในอนาคต และสภาพการแข่งขัน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่ปริมาณผู้โดยสารของ ขสมก.จะไม่เป็นไปตามเป้า 3.ผลกระทบด้านภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการที่มีรายได้น้อย 4.ความเหมาะสมของประมาณการรายได้และต้นทุนของโครงการ นอกจากนี้ บอร์ด สศช.ยังเห็นว่า กระทรวงคมนาคมควรทบทวนบทบาทของ ขสมก.ว่า ควรเป็นหน่วยงานกำกับดูแล หรือหน่วยงานให้บริการ พร้อมทั้งจัดทำแผนการปรับบทบาทของ ขสมก.ที่ชัดเจน พร้อมพิจารณาทางเลือกโครงการจัดหารถเมล์เอ็นจีวีให้สอดคล้องกับบทบาทของ ขสมก. เช่น การให้เอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการ หรือพิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งบริษัทเพื่อจัดหารถโดยสารและซ่อมบำรุง โดย ขสมก.หรือกระทรวงการคลังอาจร่วมลงทุนกับภาคเอกชน เป็นต้น เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังที่ประชุม ครม.มีมติให้ยืดเวลาพิจารณาโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคันออกไปอีก 30 วัน ปรากฏว่า นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีคมนาคม ออกอาการไม่พอใจ ถึงกับประกาศว่า หากครั้งหน้ายังยื้ออีก จะเสนอให้ล้มโครงการทันที “สำหรับผมแล้ว แม้ยืดเวลาไปอีก 30 วัน เพื่อหาคำตอบว่าจะเอาอย่างไรก็พอรับได้ แต่หากครบ 30 วันแล้ว เมื่อมีการพิจารณาใน ครม.และรัฐบาลยังไม่ตัดสินชี้ขาด และมีแนวโน้มจะซื้อเวลาออกไปอีก ก็จะเสนอให้ล้มโครงการทันที” ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เผยว่า สศช.บอกว่า เมื่อได้ข้อมูลจากกระทรวงคมนาคมจะพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน โดย สศช.ยืนยันว่า 30 วันนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย จะไม่มีการขยายเวลาอีก

6. ผู้ป่วยหวัดใหญ่ 2009 ในไทย พุ่งไม่หยุด ล่าสุด ตายแล้ว 7 !
จนท.ทหารประจำ จ.สตูล ขณะปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน ต้องใส่หน้ากากป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 เช่นกัน
ความคืบหน้าการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในไทย ยอดผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นทุกวัน ขณะที่ผู้เสียชีวิตก็เพิ่มจาก 2 ราย เป็น 7 รายแล้ว โดยเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. กระทรวงสาธารณสุข พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 80 ราย รวมเป็น 1,289 ราย วันต่อมา(29 มิ.ย.) พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 41 ราย รวมเป็น 1,330 ราย ขณะเดียวกันก็มีผู้ป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ 2009 เสียชีวิตเป็นรายที่ 3 เป็นชาย อายุ 21 ปี เป็นนักเรียนจากโรงเรียนชุมพลทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งเริ่มป่วยตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. วันต่อมา(30 มิ.ย.) พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 84 ราย รวมเป็น 1,414 ราย ด้านนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีสาธารณสุข ยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ประมาทและไม่เคยประเมินโรคนี้ต่ำ โดยมีการแจ้งเตือนเป็นระยะๆ พร้อมย้ำ ขณะนี้ถือว่ากระทรวงฯ ยังมีบทบาทในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ไม่ได้ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ขณะที่หลายประเทศปล่อย ไม่ตรวจหาผู้ป่วยแล้ว และองค์การอนามัยโลก(WHO) ก็ชี้นำว่า ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องมาตรวจว่าเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือไม่ นายวิทยา บอกด้วยว่า ขณะนี้มีคำยืนยันจากต่างประเทศว่า ประมาณเดือน ต.ค.นี้ สามารถผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้ ตนจึงสั่งการให้องค์การเภสัชกรรมสั่งจองวัคซีนดังกล่าวไว้ 2 ล้านโดส โดยคาดว่าจะส่งมอบได้ประมาณเดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้ วันต่อมา(1 ก.ค.) พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เพิ่มอีก 59 ราย รวมเป็น 1,473 ราย ขณะเดียวกันก็มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย รวมเป็น 5 รายแล้ว โดยผู้เสียชีวิตรายที่ 4 เป็นหญิง อายุ 15 ปี ที่ จ.ชลบุรี ส่วนผู้เสียชีวิตรายที่ 5 เป็นชาย อายุ 45 ปี รักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถี ด้าน นพ.ปราชญ์ บุญยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า ผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ 2009 รายที่ 4 ที่เป็นหญิง อายุ 15 ปีนั้น มีโรคประจำตัวหลายโรค เคยผ่านการผ่าตัดเนื้องอกในสมอง เป็นโรคเบาหวาน เบาจืด ร่างกายไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดได้ พิการ และนอนโรงพยาบาลมาหลายวันแล้ว นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ที่ประจำอยู่กระทรวงสาธารณสุข ก็ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 เช่นกัน นับเป็นผู้ป่วยรายแรกที่กล้าเผยตัว คือ นางนพขวัญ นาคนวล อายุ 40 ปี ซึ่งนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีสาธารณสุข ได้เดินทางไปเยี่ยมนางนพขวัญ พร้อมกับบอกว่า หากผู้ป่วยหายเป็นปกติเมื่อไหร่ จะเชิญให้เป็นพรีเซ็นเตอร์รณรงค์ป้องกันโรคดังกล่าว ซึ่งเจ้าตัวก็ยินดี วันต่อมา(2 ก.ค.) พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เพิ่มอีก 83 ราย รวมเป็น1,556 ราย ต่อมาวันที่ 3 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 154 ราย รวมเป็น 1,710 ราย ขณะเดียวกันก็พบผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นรายที่ 6 เป็นชาย อายุ 30 ปี เป็นชาว กทม. ด้าน นพ.ภาสกร อัครเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า ผู้เสียชีวิตรายที่ 6 นี้ มีอาชีพรับจ้าง อยู่ในภาวะอ้วนมาก สูง 165 ซม. หนัก 123 กก. ป่วยตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย. โดยเริ่มมีอาการเจ็บคอ ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนย่านชานเมืองในวันที่ 28 มิ.ย. แพทย์พบว่าทอนซิลอักเสบ และให้ผู้ป่วยพักอยู่บ้าน แต่ผู้ป่วยไปทำงานตามปกติ และกลับมาพบแพทย์อีกครั้งเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ด้วยอาการไข้สูง หอบเหนื่อย เอ๊กซเรย์พบว่า ปอดบวมทั้ง 2 ข้าง แพทย์จึงนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน กระทั่งอาการทรุดลงและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 ก.ค. และล่าสุด วันนี้(4 ก.ค.) พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เพิ่มอีก 134 ราย รวมเป็น 1,845 ราย ขณะเดียวกันก็พบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย เป็นรายที่ 7 เป็นหญิง วัย 30 กว่า ที่ จ.ราชบุรี.
กำลังโหลดความคิดเห็น