xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 22-27 มิ.ย.2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญสดุดีพระเกียรติคุณ ข้าวทองคำ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(24 มิ.ย.)
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. กระทรวงวิทย์ฯ ทูลเกล้าฯ เหรียญ “ข้าวทองคำ”- “ในหลวง”ทรงขอบใจ จดสิทธิบัตรข้าวไทยสำเร็จ!

เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.(เวลา 17.40น.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญสดุดีพระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงอุทิศพระวรกายในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาพันธุ์ข้าวและการผลิตข้าวไทย โอกาสนี้ ผู้บริหารกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้กราบทูลรายงานเกี่ยวกับเรื่องสิทธิบัตรยีนที่ควบคุมความหอมในข้าว ที่ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ค้นพบยีนที่ควบคุมความหอมในข้าว ซึ่งสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกสิทธิบัตรให้เมื่อวันที่ 15 ม.ค.2551 และขณะนี้กำลังดำเนินการยื่นขอจดสิทธิบัตรของยีนที่ควบคุมความหอมในข้าว ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ทั้งทวีปยุโรปและออสเตรเลียต่อไป โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำรัสเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยทรงขอบใจทุกคนที่ทำให้ไทยได้สิทธิบัตรนี้ ซึ่งนอกจากเป็นเครื่องประกันว่าข้าวเป็นของไทยแล้ว ยังทำให้คนไทยภูมิใจที่ได้กินข้าวไทยด้วย “ขอขอบใจทุกท่านที่นำสิทธิบัตรนี้ ซึ่งถือเป็นการประกันว่า ข้าวไทยเป็นของไทยแท้ เพราะแต่ก่อนก็หนักใจว่า เรากินข้าวไทยนานแล้ว จะต้องกลายเป็นข้าวของฝรั่ง เพราะว่าสิทธิบัตรนี้เป็นของฝรั่ง แต่ว่าสิทธิบัตรที่ได้นี้จะเป็นหลักประกันว่า เรากินข้าวไทยและจะได้กินข้าวไทยต่อไป ฉะนั้นการที่มีสิทธิบัตรถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ และหวังว่าทุกคนจะรักษาความเป็นไทยด้วยการกินข้าวไทย ไม่ได้กินข้าวของฝรั่ง ...ขอขอบใจทุกคนที่ทำงานเพื่อการนี้ ...ถือว่าการที่ได้กินข้าวไทยนี้จะทำให้คนไทยมีความภูมิใจในความเป็นคนไทยได้ และได้เป็นคนไทยต่อไป” สำหรับเหรียญสดุดีพระเกียรติคุณ ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเหรียญที่จัดทำด้วยทองคำ น้ำหนัก 29 บาท ด้านหน้ามีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมข้อความ “80 พรรษา” เบื้องบนข้อความมีตราอุณาโลม เบื้องล่างมีรวงข้าวและข้อความว่า “ข้าวทองคำ”

2. “เพื่อไทย”หน้าบาน ชนะเลือกตั้งซ่อมสกลนคร ด้าน “ทักษิณ”อ้อนคนเสื้อแดงอุ้มกลับประเทศ!
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี
กระแสการเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายฝ่ายจับตาไปที่การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สกลนคร เขต 3 เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ซึ่งเป็นการชิงชัยระหว่างผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย โดยมีการมองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการวัดบารมีระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งผลปรากฏว่า นางอนุรักษ์ บุญศล ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ชนะนายพิทักษ์ จันทศรี ผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย ไปแบบขาดลอย ด้วยคะแนน 83,348 ต่อ 47,235 คะแนน เป็นที่น่าสังเกตว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้โทรศัพท์ข้ามประเทศมาแสดงความยินดีกับผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ทั้งที่การนับคะแนนยังไม่ได้เริ่มขึ้น โดยนางอนุรักษ์ บุญศล ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย เผยว่า “ก่อนหน้าที่จะเริ่มนับคะแนน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โทรศัพท์มาหา และบอกว่าดีใจด้วย เตรียมตัวเข้าสภาได้เลย” ด้านแกนนำพรรคเพื่อไทย นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะประธานภาคอีสาน ชี้ การที่ผู้สมัครของพรรคคว้าชัยในการเลือกตั้งครั้งนี้ ถือว่าชาวสกลนครเป็นตัวอย่างให้กับคนภาคอีสานที่ยังมีความมั่นใจต่อ พ.ต.ท.ทักษิณและนโยบายต่างๆ ที่ได้ทำไว้ให้กับคนอีสาน ทั้งนี้ การชนะเลือกตั้งซ่อมที่สกลนคร ทำให้แกนนำพรรคเพื่อไทยมั่นใจว่า ผู้สมัครของพรรคจะชนะเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 1 ในวันที่ 28 มิ.ย.เช่นกัน ด้านนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ รัฐมนตรีช่วยคมนาคม ในฐานะเหรัญญิกพรรคภูมิใจไทย ชี้เหตุที่พรรคแพ้เลือกตั้งซ่อมที่สกลนครว่า เพราะพรรคเพื่อไทยปรับยุทธศาสตร์การหาเสียงช่วงโค้งสุดท้าย โดยรณรงค์ว่า ถ้าเลือกผู้สมัครพรรคเพื่อไทย คือเลือก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ถ้าเลือกผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย คือเลือกนายเนวิน ชิดชอบ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงกลายเป็นเรื่องของคน 2 คนแข่งขันกัน ไม่ใช่เรื่องพรรคการเมืองแข่งขันกัน ขณะที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ และสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ก็พูดถึงผลเลือกตั้งซ่อมที่สกลนครว่า ไม่ถือว่าพรรคภูมิใจไทยพ่ายแพ้ เพราะพรรคเหมือนนักมวยใหม่ที่เป็นเด็กเพิ่งขึ้นเวที จะไปสู้นักมวยเก่าที่ซ้อมมาเป็นอย่างดีคงไม่ได้ เมื่อขึ้นไปก็ถูกน็อคเป็นธรรมดา แม้จะมีพี่เลี้ยงดีแต่ก็ไม่ขึ้นชกเอง เพราะพี่เลี้ยงไม่มีสิทธิ นายชัย ยังชี้ด้วยว่า ผลเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ที่สกลนคร ไม่น่าจะเกี่ยวกับกระแสความนิยมในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศเพื่อมาแก้ปัญหาของตัวเอง ด้านคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยังไม่ประกาศรับรองผลเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สกลนคร เขต 3 โดยนายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ชี้แจง(26 มิ.ย.)ว่า เป็นเพราะยังมีเรื่องสอบสวนอยู่ หลังจากทั้ง 2 ฝ่ายต่างร้องเรียนกันไปมา เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สกลนคร พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โทรศัพท์คุยกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยยืนยันว่า ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยชนะแน่ “ตนได้โทร.หากำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่ จ.สกลนคร หมดแล้ว เขาก็ดีใจ และบอกว่า ยังอยู่กับเรา แล้วจะช่วยเราเต็มที่ ไม่ต้องกลัว” ทั้งนี้ ไม่เพียง พ.ต.ท.ทักษิณจะช่วยหาเสียงให้พรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งซ่อมที่สกลนคร แต่เขายังได้โฟนอินไปยังเวทีปราศรัยของคนเสื้อแดงซึ่งจัดขึ้นที่ จ.ศรีสะเกษเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ด้วย โดยอ้อนชาวศรีสะเกษให้เลือกผู้สมัครพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 1 “ขณะนี้อยู่ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อากาศร้อนมาก ...ทำให้ผมอยากกลับประเทศ ขอให้ประชาชนชาวศรีสะเกษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 1 อุ้มผมกลับเข้ามาประเทศไทยด้วย ซึ่งขณะนี้ชาวสกลนคร เขต 3 ได้นำตัวเข้ามาอยู่ที่เขตชายแดนรอยต่อของประเทศแล้ว ขอให้ประชาชนชาวศรีสะเกษ เขต 1 เป็นผู้อุ้มผมเข้ามาในประเทศ โดยขอให้สนับสนุนลงคะแนนเลือกนายสุรชาติ ชาญประดิษฐ์ เป็น ส.ส.ศรีสะเกษด้วย” นอกจากความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ทางด้านแกนนำ นปช.(นายวีระ มุสิกพงศ์-นายจตุพร พรหมพันธุ์-นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ก็ได้นัดชุมนุมคนเสื้อแดงที่สนามหลวงในวันที่ 27 มิ.ย.ตั้งแต่ 4 โมงเย็นไปจนถึง 6 โมงเช้าวันที่ 28 มิ.ย. โดยประกาศจุดยืนการชุมนุมครั้งนี้ว่า “สืบเจตนาคณะราษฎร์ โค่นรัฐบาลอำมาตยาธิปไตย ทวงคืนประชาธิปไตย ยุบสภา” พร้อมยืนยัน ประท้วงแบบสงบสันติ ไม่เคลื่อนขบวนไปที่ใด อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า หน่วยข่าวกรองได้รายงานให้ฝ่ายความมั่นคงของรัฐทราบว่า กลุ่มเสื้อแดงมีแผนยกระดับการต่อสู้ให้เข้มข้นและรุนแรงขึ้น ภายใต้แผน “ตากสิน 2” ทุบหม้อข้าว-ตีเมืองจันท์ โดยมีเป้าหมายล้ม รธน.2550 พร้อมผลักดันให้มีการใช้ร่าง รธน.ฉบับ นพ.เหวง โตจิราการ 1 ในแกนนำ นปช. และแก้ไขกฎหมายทุกฉบับที่เป็นอุปสรรคต่อการกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้กลับเข้าสู่เวทีการเมืองอีกครั้ง นอกจากนี้ยังจะเปิด 7 แนวรบเพื่อล้มรัฐบาล หรือทำให้รัฐบาลต้องเผชิญกับศึกทุกด้านจนอยู่ในสภาพบริหารได้แต่ปกครองไม่ได้ ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ บอกว่า ได้เห็นแผนตากสิน 2 แล้ว โดยได้รับข้อมูลจากสื่อและฝ่ายอื่นๆ แต่หน่วยข่าวยังไม่ได้รายงานเรื่องนี้ให้รับทราบ ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. รีบออกมาปฏิเสธว่าไม่มีแผนตากสิน ไม่ว่าจะตากสิน 1 หรือ 2 พร้อมชี้ แผนดังกล่าวเป็นเรื่องของคนจิตทรามกุข่าวขึ้นมา ด้านนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ออกมาปฏิเสธเรื่องแผนตากสิน 2 เช่นกัน โดยบอกว่า ข่าวดังกล่าว เป็นความพยายามจะโยงว่าเป็นการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณหรือบุคคลใกล้ชิด ซึ่งเป็นการสร้างข่าวเท็จ โดยใช้กระบวนการทางการเมือง และว่า ขณะนี้ทีมกฎหมายได้หารือกันแล้วว่า หากมีการพาดพิง พ.ต.ท.ทักษิณในเรื่องนี้อีก จะฟ้องทั้งทางแพ่งและอาญาให้ถึงที่สุด

3. “กกต.”ส่อยื้อเวลาฟัน ส.ส. ถือหุ้นขัด รธน. ด้าน “40 ส.ว.” เล็งร้องศาล ปค.ขอความเป็นธรรมให้ 16 ส.ว.
เสนาะ เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว และหัวหน้าพรรคประชาราช บอก ถ้าตนถือหุ้นขัด รธน. กกต.ก็ต้องผิดด้วยที่ประกาศรับรองตนตั้งแต่แรก
หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)มีมติ 3 ต่อ 1 เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ให้สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) 16 คน สิ้นสุดสมาชิกภาพ เนื่องจากถือหุ้นสัมปทานรัฐ อันเป็นการขัด รธน.มาตรา 48 ประกอบมาตรา 265(2) และ (4) โดย กกต.จะส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภา เพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดอีกครั้ง พร้อมกันนี้ กกต.ยังเตรียมพิจารณาคุณสมบัติของ ส.ส.อีก 89 คนว่าถือหุ้นขัด รธน.หรือไม่ด้วย ซึ่งมีทั้ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ประชุม กกต.ได้มีมติให้ยุติการสอบสวนอดีต ส.ส.17 คนที่ถูกร้องให้ตรวจสอบเรื่องถือหุ้น เนื่องจากอดีต ส.ส.ทั้ง 17 คนดังกล่าว ได้พ้นจากการเป็น ส.ส.จากกรณีถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีในคดียุบพรรคแล้ว เช่น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ,นายบรรหาร ศิลปอาชา ,นางอุไรวรรณ เทียนทอง ฯลฯ ส่วน ส.ส.ที่เหลืออีก 72 คนที่ถูกร้องให้ตรวจสอบเรื่องถือหุ้นนั้น แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 44 คน แบ่งเป็น ส.ส.38 คน และรัฐมนตรี 6 คน ทั้งนี้ ในบรรดา ส.ส.44 คนดังกล่าว เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทยมากสุด 23 คน เช่น นายสุนัย จุลพงศธร ,พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ,น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ฯลฯ ส่วนรัฐมนตรี 6 คน ประกอบด้วย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ส.ส.พิจิตร พรรคชาติไทยพัฒนา และรองนายกฯ , นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคชาติไทยพัฒนา และรัฐมนตรีช่วยคมนาคม , นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย และรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย , นายมานิต นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี พรรคภูมิใจไทย และรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข , นายไพฑูรย์ แก้วทอง ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน นอกจากนี้ยังมีนายชัย ชิดชอบ ส.ส.สัดส่วน พรรคภูมิใจไทย และประธานรัฐสภารวมอยู่ด้วย โดย กกต.ได้มีมติ(23 มิ.ย.)ขยายเวลาให้อนุกรรมการไต่สวนไปตรวจสอบการถือหุ้นของ ส.ส.ทั้ง 44 คนอีก 15 วัน ส่วน ส.ส.อีกกลุ่มที่ถูกตรวจสอบเรื่องถือหุ้นเช่นกันจำนวน 28 คน เป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ทั้งหมด ซึ่งอนุกรรมการไต่สวนอยู่ระหว่างสอบเพิ่มเติม คาดว่าจะเสนอผลสรุปให้ที่ประชุม กกต.ได้ในเร็วๆ นี้ ด้านนายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว และหัวหน้าพรรคประชาราช ไม่พอใจที่ตนถูกตรวจสอบเรื่องถือหุ้นด้วย จึงออกมาโจมตี กกต.ว่า กกต.ตีความตามตัวอักษรเท่านั้น ไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นหลัก และว่า “ถ้าผมผิด กกต.ก็ต้องผิดกันหมด เพราะ กกต.รับรองให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ ทำไม กกต.ไม่ทักท้วงคุณสมบัติของ ส.ส.และ ส.ว.ตั้งแต่แรก กกต.รับรองคุณสมบัติของสมาชิกทุกคนเกิน 1 ปีแล้ว ก็ถือว่าจบกัน จะมาเอาเรื่องอะไรกันอีก” ขณะที่กลุ่ม 40 ส.ว.นำโดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา เผยว่า สัปดาห์หน้า ทางกลุ่มจะยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอความเป็นธรรมให้ 16 ส.ว.ที่ถูก กกต.วินิจฉัยให้พ้นสมาชิกภาพ กรณีถือหุ้นในบริษัทที่เป็นคู่สัญญาหรือรับสัมปทานจากรัฐ เนื่องจากผลสอบของอนุกรรมการไต่สวนของ กกต.มีมติ 3 : 2 ว่า การถือหุ้นของ 16 ส.ว.ไม่ขัด รธน. แต่ กกต.กลับมีมติสวนทางกับอนุกรรมการไต่สวน และพิจารณาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้หาข้อมูลเพิ่มเติม อาจเป็นการรวบรัด ขาดความรอบคอบ ซึ่งเรื่องการถือหุ้น กกต.ควรพิจารณาเป็นรายๆ ไป แต่กลับพิจารณา 36 รายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และไม่ให้โอกาสผู้ที่เข้าข่ายชี้แจงเพิ่มเติม ด้าน กกต.ยืนยัน ได้พิจารณาการถือหุ้นของ 16 ส.ว.อย่างรอบคอบแล้ว ขณะที่นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) บอกว่า ในฐานะที่เป็นนักกฎหมาย คิดว่า รธน.ห้ามนักการเมืองถือสัมปทานรัฐ แต่ไม่ได้ห้ามถือหุ้นที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ และต้องดูว่าการถือหุ้นขนาดไหนถึงจะมีส่วนได้เสียสำคัญ โดยไม่ใช่แค่ถือหุ้นเดียวก็พ้นสภาพ ...ผมถือว่าคนที่ถือหุ้นเกินร้อยละ 5 จึงจะขัด รธน.เพราะมีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญในบริษัทนั้นๆ และถ้าบริษัทถือสัมปทานรัฐด้วย ส.ส.และ ส.ว.ก็ต้องพ้นสมาชิกภาพ

4. รบ.ไทย เสียงอ่อยใส่ “ฮุน เซน” บอก ปัญหาพระวิหารแค่ฝันร้าย!
สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ บอกนายกฯ กัมพูชาว่า ปัญหาพระวิหาร ให้ถือว่าเป็นแค่ฝันร้าย
ความคืบหน้ากรณีรัฐบาลไทยมีมติยื่นเรื่องคัดค้านต่อคณะกรรมการมรดกโลกและองค์การยูเนสโกที่ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เนื่องจากการประกาศดังกล่าวน่าจะขัดระเบียบและกฎเกณฑ์การขึ้นทะเบียนมรดกโลกและขัดต่อวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งองค์กร ที่มุ่งเสริมสร้างสันติภาพ แต่การประกาศให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ได้เพิ่มความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาให้มากขึ้น ขณะที่ผู้นำกัมพูชา ไม่พอใจท่าทีของรัฐบาลไทย จึงออกมาตอบโต้ และพร้อมจะสู้รบกับไทย ร้อนถึงรัฐบาลต้องมอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เดินทางไปทำความเข้าใจกับสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ หวังว่า การหารือระหว่างนายสุเทพกับนายกฯ กัมพูชาน่าจะเข้าใจกันด้วยดี ด้านนายฮอ นัม ฮง รองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ยังคงโจมตีนายกฯ ของไทยเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. “ไม่เข้าใจว่าการที่ผู้นำระดับสูงของไทยอ้างว่า การขึ้นทะเบียนมรดกโลกก่อให้เกิดปัญหาในความพยายามที่จะแก้ปัญหาชายแดนระหว่างกันนั้น เป็นการพูดเพราะไร้การศึกษา โง่เขลาเบาปัญญา หรือต้องการจุดประเด็นปัญหากันแน่ เพราะการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปัญหา 2 ประเทศเลย มันเป็นเรื่องวัฒนธรรมเพื่อมนุษยชาติจริงๆ” ขณะที่นายซก อาน รองนายกฯ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กัมพูชา ก็ออกมาดิสเครดิตรัฐบาลไทย โดยบอกว่า “ไม่เชื่อว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะเชื่อคำร้องของไทย หรือเห็นชอบกับการกระทำของไทยที่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และยังเป็นเพียงการนำข้อกล่าวอ้างเดิมที่เคยนำมาใช้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทางยูเนสโกก็ไม่ได้ให้ความสนใจ” ด้านสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา ได้ออกมาพูดดักคอนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ของไทย ก่อนที่จะเดินทางไปกัมพูชาเพื่อทำความเข้าใจเรื่องคัดค้านปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยยืนยันว่า ไม่มีแผนที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกกับนายสุเทพในวันที่ 27 มิ.ย.แต่อย่างใด และว่า “ผมจะไม่ฟังรัฐบาลไทยอธิบายเรื่องการพัฒนาและการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารร่วมกัน แต่หากพูดเกี่ยวกับเรื่องการถอนทหารออกจากดินแดนของเรา เราสามารถคุยกันได้ด้วยความยินดี” เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากผู้นำกัมพูชาจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจรัฐบาลไทยที่ยื่นคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว ฝ่ายกัมพูชายังได้เสริมกำลังทหารและอาวุธหนัก ทั้งปืนใหญ่และเครื่องยิงระเบิดอาร์พีจี เข้าตรึงกำลังบริเวณเขาพระวิหาร และตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาด้าน จ.ศรีสะเกษ โดยมีรายงานว่า ทหารที่ฝ่ายกัมพูชาส่งเข้าไปเสริมในพื้นที่นั้น เป็นอดีตทหารเขมรแดงที่มีความเชี่ยวชาญการรบ ขณะที่ฝ่ายไทยก็เตรียมกำลังไว้พร้อม และยืนยัน จะไม่รุกรานหรือใช้กำลังก่อน โดย พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 เผยว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ไปตรวจเยี่ยมกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.ศรีสะเกษเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. พร้อมแสดงความเป็นห่วงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาส่งกำลังทหารเข้ามาเสริมในพื้นที่จำนวนมาก พล.อ.อนุพงษ์จึงกำชับให้ทหารไทยระมัดระวัง และเตรียมกำลังให้พร้อมที่สุด หากมีความจำเป็นต้องใช้อาวุธ แต่ยืนยัน ทหารไทยจะไม่ใช้กำลังก่อนและไม่รุกรานใครก่อน ส่วนความคืบหน้าล่าสุดกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เดินทางไปพบและหารือกับสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา ในวันนี้(27 มิ.ย.) ปรากฏว่า หลังเดินทางกลับถึงไทย นายสุเทพ เปิดแถลงข่าวยืนยันว่า การเดินทางไปครั้งนี้ประสบผลสำเร็จด้วยดี โดยนอกจากหารือเรื่องการสร้างเขื่อนในกัมพูชา ,การพัฒนาแหล่งก๊าซในอ่าวไทยในพื้นที่ทับซ้อน และการแลกเปลี่ยนนักโทษระหว่างกันแล้ว ยังได้หารือเรื่องปราสาทพระวิหาร และกำลังทหารบริเวณชายแดนที่ค่อนข้างตึงเครียด โดยนายสุเทพ เผยว่า ได้บอกกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ว่า “อะไรที่เป็นปัญหาในอดีต ถือว่าให้เป็นฝันร้าย” และว่า ทั้ง 2 ประเทศเห็นพ้องกันว่า จะพยายามลดความตึงเครียดทั้งเรื่องปราสาทพระวิหารและเรื่องกำลังทหารที่เผชิญหน้ากันอยู่ เพื่อให้ทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้น

5. ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 ชาวไทย ตายแล้ว 2 ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อ พุ่งกว่า 1,200 รายแล้ว!
วิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข นำคณะเข้าให้ความรู้การป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 แก่ผู้ต้องขังในเรือนจำ จ.นนทบุรี(24 มิ.ย.)
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในประเทศไทย ยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 705 คน ปรากฏว่า วันต่อมา 22 มิ.ย. ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 69 คน รวมเป็น 774 คน ต่อมาวันที่ 23 มิ.ย. พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เพิ่มขึ้นอีก 125 คน รวมเป็น 899 คน หลังจากนั้นวันที่ 24 มิ.ย. พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก 86 คน รวมเป็น 985 คน นอกจากนี้วันเดียวกัน ยังพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ด้วย โดยจากการสุ่มตรวจพลทหาร 10 นาย พบว่ามีผู้ติดเชื้อดังกล่าว 7 นาย ส่วนพลทหารอีก 190 นายที่มีอาการไอ จาม มีไข้ อยู่ระหว่างส่งตรวจว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือไม่ วันต่อมา 25 มิ.ย.พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก 69 คน รวมเป็น 1,054 คน ต่อมาวันที่ 26 มิ.ย. นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีสาธารณสุข เผยว่า พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 เพิ่มอีก 78 คน รวมเป็น 1,132 คน โดยเป็นผู้ป่วยจาก 34 จังหวัด ในจำนวนนี้ หายเป็นปกติแล้ว 1,040 คน นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแค่ 22 คน มีผู้ป่วยที่อยู่ในข่ายเฝ้าระวังและรอผลยืนยันจากห้องปฏิบัติการอีก 1,472 คน ด้าน นพ.เรวัติ วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ในบรรดาผู้ป่วยที่นอนรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 22 คนนั้น มีผู้ที่อาการรุนแรง 2 คน โดยรักษาอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนทั้งหมด คนหนึ่งเป็นหญิง อายุ 57 ปี โดยมีอาการปอดอักเสบและหลอดลมฉีกขาด รักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนย่านธนบุรี ส่วนผู้ป่วยอีกคนเป็นชาย อายุ 42 ปี อาชีพวิศวกร รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ล่าสุดวันนี้(27 มิ.ย.) นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้บริหารของกระทรวงฯ เปิดแถลงว่า ตั้งแต่เดือน เม.ย.จนถึงปัจจุบัน พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 จำนวน 1,209 คน โดยในจำนวนนี้หายเป็นปกติแล้ว 1,190 คน ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 16 คน และว่า ขณะนี้ได้รับรายงานว่ามีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 เสียชีวิตแล้ว 2 ราย รายแรกเป็นหญิง อายุ 40 ปี เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ต่อมาวันที่ 13 มิ.ย.ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อย และมีไข้ จากการตรวจรักษา พบว่าผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 และมีอาการแทรกซ้อน โดยเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ทางโรงพยาบาลจึงแจ้งให้กระทรวงสาธารณสุขทราบ ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตรายที่ 2 เป็นชาย อายุ 42 ปี โดยผู้ป่วยรายนี้เพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. หลังจากมีอาการป่วยได้มาพบแพทย์ในวันที่ 19 มิ.ย. จากนั้นกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านระหว่างวันที่ 20-22 มิ.ย. และกลับมาพบแพทย์อีกครั้งในวันที่ 23 มิ.ย. ด้วยอาการเหนื่อยง่าย และไอเป็นเลือด ซึ่งจากการเอกซเรย์พบว่าปอดบวม แพทย์จึงรับตัวไว้รักษา ต่อมาวันที่ 24 มิ.ย. ผู้ป่วยอาการแย่ลง แพทย์ได้ใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่ผู้ป่วยก็ทรุดลงเรื่อยๆ กระทั่งเมื่อวานนี้(26 มิ.ย.) กรมการแพทย์ได้ทราบว่าผู้ป่วยมีอาการหนักมากขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินหายใจเข้าไปช่วยเหลือ แต่ผู้ป่วยอาการหนักมาก และพบว่าหัวใจหยุดเต้น แพทย์จึงพยายามช่วยเหลือ จนหัวใจกลับมาเต้นอีกครั้ง แต่เช้าวันนี้(27 มิ.ย.) ผู้ป่วยก็อาการทรุดลงอีก และเสียชีวิตลงในที่สุด ทำให้ขณะนี้มีผู้ป่วยคนไทยเสียชีวิตด้วยไข้หวัดใหญ่ 2009 แล้วจำนวน 2 ราย ส่วนหญิงวัย 57 ปี ที่ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลย่านธนบุรีนั้น ขณะนี้มีอาการดีขึ้น.
กำลังโหลดความคิดเห็น