วงเสวนา “รัฐบาลล่มแน่ ถ้าไม่แก้วิกฤติ” ถล่มยับรถเมล์เอ็นจีวี “สมบัติ” เชื่อรัฐบาลยังอยู่ได้ เหตุฝ่ายค้านอ่อนแอ แนะเร่งลงพื้นที่พบประชาชน อย่ากลัวแม้เจอตีนตบก็ตาม พร้อมเร่งกระตุ้นการลงทุนจากภาคธุรกิจจะอยู่ได้นาน ขณะที่ “สมชาย” ระบุรถเมล์ต้องรื้อใหม่ทั้งระบบ เผย รัฐบาลส่งเลขาฯ คุณหญิงกัลยา เข้ารับฟัง ยันพร้อมนำข้อเสนอแนะรายงานนายกฯทันที
วันนี้ (15 มิ.ย.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่ห้องจี๊ด เศรษฐบุตร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการเสวนาเรื่อง “รัฐบาลล่มแน่ ถ้าไม่แก้วิกฤติ” โดยมีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ นายปราโมทย์ นาครทรรพ พล.ต.อ.วศิษฐ์ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา นายไพศาล พืชมงคล ซึ่งจัดโดยสหเครือข่ายประชาชนเพื่อชาติ ทั้งนี้ การเสวนาครั้งนี้มีเลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ารับฟัง พร้อมกับเขียนโน้ตสั้นๆ มา ว่า จะนำประเด็นในที่เสวนาเข้าไปนำเรียนข้อเสนอแนะต่างๆ ต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ให้รับทราบในวันที่ 16 มิ.ย.นี้แน่นอน
นายปราโมทย์ กล่าวว่า ตนมาวันนี้ไม่ได้มีความมุ่งร้ายอยากเห็นรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่งโดยเร็วแม้แต่น้อย สิ่งที่ตนต้องการ คือ ไม่อยากเห็นการกลับมาของรัฐบาล ซึ่งมีโครงสร้างองค์ประกอบด้วยตัวบุคคล และสถาบันที่เป็นที่รองรับตัวบุคคล และระบบพฤติกรรมที่ตนคิดว่าเป็นกรอบความคิดที่เก่า ที่พัฒนามาจากกรอบความคิดเก่าของการเมืองไทย ที่สืบทอดมา เป็นเรื่องเศร้าที่คนรุ่นหลังเลวลงเรื่อยๆ สมัยก่อนไม่มีการกล่าว หาผู้นำว่าคดโกง มีเพียงการกล่าวหาผู้นำร่ำรวยกว่าราษฎรคันละหมื่นกว่าบาท จนเป็นสาเหตุให้มีการปฏิวัติ
นายปราโมทย์ กล่าวอีกว่า คนไทยเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับ 2 อย่าง คือ หากไม่เป็นวงจรอุบาทว์ คือ เกิดปฏิวัติรัฐประหาร ก็เจอกับวงจรน้ำเน่ากับ ส.ส.ในสภา คนชั่วลงตามสิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องเผชิญอยู่ มีบทความที่คลาสสิกมาก คือ คำประกาศยุบสภาของนักเลือกตั้งท่านหนึ่ง คือ ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช กับนักลากตั้ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ถ้าใครอ่านแล้ว ไม่หลงผิด และเสื่อมศรัทธาในระบอบรัฐสภานั้นไม่ใช่คนธรรมดา ลูกศิษย์ของตนที่หนีเข้าป่าไปนั้น มีความเชื่อว่า ระบอบรัฐสภาใช้ไม่ได้ เพราะหลงเชื่อ ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ กับ พล.อ.เปรม แท้จริงถ้าเราต้องการเป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย เราต้องอาศัยความคิดจากหลายคน เพื่อให้มีประชาธิปไตย ซึ่งไม่ได้หมายถึงรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงความรอบรู้และความกล้าหาญของคนในสังคมด้วย
ด้าน นายสมบัติ กล่าวว่า วันนี้ประชาชนกำลังเดือดร้อน วิกฤตการเมืองกระทบการลงทุน ถ้าไม่มีความสงบทางการเมืองก็ไม่มีทางพัฒนาเศรษฐกิจได้ ที่สำคัญ ขณะนี้ประเทศไหนที่พึ่งการส่งออก โดนกระทบกระเทือนเศรษฐกิจหมด วิกฤตเศรษฐกิจซ้ำเติม ทั่วโลก ทั้งนี้ รัฐบาลเรามีปัญหาทางการเมือง ตนเคยแนะนำให้ทำงานให้หนัก วันธรรมดาพบปะภาคส่วนต่างๆ สอบถามปัญหา วันหยุดออกต่างจังหวัด รับฟังปัญหาเกษตรกร ถ้าให้รัฐมนตรีรับผิดชอบคนละ 2 จังหวัด มี 36 คน สัปดาห์หนึ่งจะไปได้ 70 จังหวัด ทำอย่างนี้ทุกอาทิตย์ ก็ได้ยินว่า นายกฯ จะลงพื้นที่ แต่พอจะออกต่างจังหวัดก็เจอตีนตบ ไปไหนไม่ได้ แล้วประเทศนี้จะเดินไปอย่างไร วันนี้ไม่มีสมองเหลือคิดแก้ปัญหาให้ประชาชน เพราะการที่รัฐบาลเอาตัวรอดเป็นรัฐบาลต่อได้ก็หนักหนาสาหัส
นายสมบัติ กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของการพัฒนาทุกประเทศ คือ คุณภาพประชากร รัฐบาลพูดถึงแต่ระบบการศึกษาเรียนฟรี 15 ปี แต่ไม่เคยพูดเรื่องคุณภาพการศึกษาจะทำอย่างไร การเรียนฟรีมันเป็นทางอ้อม เรื่องใหญ่คือ คุณภาพคนสอน และระบบการเรียนการสอน ที่จะให้เด็กรู้จักคิด วิเคราะห์อย่างนี้ยังไม่เห็นชัด นอกจากนี้ ปัญหาที่สำคัญคือปัญหาเกษตรกร ที่มี 39 เปอร์เซ็นต์ ในอนาคตคนจะออกจากภาคเกษตรมาก เพราะถ้าประเทศไหนมีคนอยู่ในภาคเกษตรมาก นั่นคือ ประเทศล้มเหลวเรื่องการศึกษา
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยบอกห้าปีแก้ปัญหาความยากได้จน เขากล้าหาญมากที่ประกาศอย่างนั้น แม้แต่อำเภออาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ที่ลงไปทำโมเดลแก้จนก็ยังจนเหมือนเดิม วันนี้รัฐจะเอาที่ดินกรมธนารักษ์ให้เช่าไร่ละ 10 บาท ถามว่ามีที่ดินแล้วเลิกจนหรือไม่ ก็ยังจนเหมือนเดิม มีสินเชื่ออย่าง ธ.ก.ส.มาสิบกว่าปีก็ยังจนอยู่ วิธีแก้จนมีอยู่ 2 อย่าง คือ ทำให้เกษตรกรมีอาชีพมั่นคง ไม่มีหนี้ ก็เลิกจน แต่จะทำอย่างไร เรื่องการเกษตรพูดง่ายรัฐบาลชอบพูดเรื่องทำชลประทาน เพื่อให้มีน้ำ แต่ขณะนี้ใช้ชลประทานระบบเดิมก็มีข้าวประมาณ 10 ล้านตัน แต่ข้าวยังราคาถูก ก็ไม่ได้กำไร แม้จะมีผลผลิตมากขึ้นหากไม่มีการจัดการเกษตรกรก็ยังจนเหมือนเดิม
นายสมบัติ กล่าวว่า การแก้ไข คือ ที่ดิน ราคาผลผลิต เราไม่มีอะไรเป็นวาระแห่งชาติระยะ เช่น การผลิตพลังงานทดแทน เพื่อลดการสั่งเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ จึงจะแก้ปัญหาได้ หากรัฐยังไม่เข้าแก้ปัญหาเชิงรุก รัฐบาลโฆษณาบอกหากผ่านเงินกู้คนจะไม่ตกงาน แต่ไม่บอกอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ รัฐบาลต้องไปดูเรื่องการส่งออกแต่ละเซกเตอร์ แต่ต้องใส่ใจ ทำงานให้หนัก
“รัฐบาลอภิสิทธิ์ มีศักยภาพทางการเมือง รับมือได้ แต่ทางเศรษฐกิจจะต้องทำให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นผลกระทบทางการเมืองได้ รัฐบาลมีโอกาสแก้ไขปัญหา แต่ต้องเข้าใจปัญหา โดยเฉพาะปัญหาความยากจน รัฐต้องให้ความสนใจ 6เดือนรัฐยังไม่หยิบการแก้ปัญหายากจนชัดเจน ประชาชนยังเดียวดาย ผมเชื่อว่า รัฐบาลไม่ล้มภายในเร็วๆ นี้ และปีนี้คงไม่เห็นการเปลี่ยนรัฐบาล เพราะฝ่ายค้านยังอ่อนแอ หัวหน้าฝ่ายค้านตัวจริงยังอยู่ต่างประเทศ ทำให้รัฐบาลมีโอกาส แต่ต้องแก้ปัญหาให้เป็นรูปธรรมชัดเจน” นายสมบัติ กล่าว
นายสมบัติ กล่าวว่า รัฐบาลต้องรู้จักคิดโครงการที่ทำให้เอกชนเข้ามาทำเงินสมทบให้มาก เช่น การสร้างโรงพยาบาลทั่วประเทศในวงเงินแสนล้านบาท ทำงบผูกพันสิบปี ให้เอกชนมาลงทุนแทนรัฐผ่อนส่งปีละหมื่นล้าน แต่รัฐไม่ทำโครงการลักษณะอย่างนี้ จะทำให้เกิดการสร้างงาน หรือการกระตุ้นให้ซื้อบ้าน ให้เอกชนลงทุนร้อยเปอร์เซ็นต์ วิธีคิดคือรัฐใส่เงินลงน้อย ให้เอกชนลงทุนมาก ถึงจะเห็นผล
ด้าน นายสมชาย กล่าวว่า หัวข้อเสวนาวันนี้ดี แต่ไม่เข้าใจว่าต้องห่วงรัฐบาลทำไม และตนเชื่อว่ารัฐบาลไม่ล่ม พรรคร่วมยังไม่แข็งแรงพอที่จะให้ออกไป ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ ต้องกล้าหาญ การกรณีรถเมล์ที่ส่งให้สภาพัฒน์ พิจารณาต่อ ตนเชื่อว่า เป็นการซื้อเวลา แต่พรรคร่วมไม่ออกแน่ เกาะไว้ก่อนรัฐบาลไม่ล่มแน่ เพราะเสบียงยังไม่ได้
นายสมชาย กล่าวว่า คอยดูโครงการถนนปลอดฝุ่น ส่วนใหญ่มักเอาไปทำกับหัวคะแนนกับ ส.ส.ที่มีข่าวลือว่าบวก 40 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ยังมีการขุดลอกคูคลอง ซึ่งไม่สามารถพิสูจน์หรือตรวจสอบได้ หากินกันง่าย รัฐบาลอยู่ได้ตราบใดที่รัฐยังไม่ผ่านงบ รอสักพักก่อนค่อยมาคิดว่ารัฐบาลจะล่ม
นายสมชาย กล่าวว่า ข้อบัญญัติ 9 ข้อที่นายกฯให้ไว้ ที่ไม่ยอมรับการทุจริต พรรคร่วมก็ต้องยอมรับกติกานี้ ตนขอยืนยันว่ารถเอ็นจีวีไม่ได้เป็นเงื่อนไขยื่นหมูยื่นแมวกับ พ.ร.ก.4 แสนล้าน หากเราสงสัยต้องรอดู ยอมรับเราต้องจำเป็นต้องมีเม็ดเงินก้อนใหญ่ ต้องเข้าใจว่าถ้าใส่เข้าไปแปดแสนล้าน แต่ไม่ตรวจสอบ เงินก็หายหมด ดังนั้น รัฐล่มแน่ถ้าไม่แก้ทุจริต
“เรื่องรถเมล์เอ็นจีวียังมีความจริงที่พูดไม่หมด ตามที่ตัวเลขสะท้อนออกมา นอกจากนี้ ยังมีหลายเรื่องตามไม่ทัน เรื่องมัน รถไฟฟ้า รถไฟกำลังจะมาอีก หลายสิ่ง ส.ว.ทำหน้าที่เท่าที่ทำได้อย่างเต็มที่ ผมเรียนว่า นอกเหนือจากการไม่ทุจริตแล้ว ถึงเวลาที่การเมืองต้องเปลี่ยน ไม่ได้บอกให้สนับสนุนพรรคการเมืองใหม่ ของ พธม.เพราะในระบอบสภาผู้แทนฯ เห็น ส.ส.ฝ่ายค้านไม่ใช้ที่ประชุมสภาเป็นที่ตั้ง ถึงเวลาก็วอล์กเอาต์ ไม่ใช้ข้อมูลจัดการรัฐบาลเต็มที่” นายสมชาย กล่าว
ชี้ ส.ว.2 ระบบยังเป็นปัญหา ถามควรมีวุฒิฯหรือไม่
นายสมชาย กล่าวว่า ส.ว.ทั้งสองแบบยังเป็นปัญหา เพราะ ส.ว.เลือกตั้งยังแอบอิงฐานคะแนนท้องถิ่น มีกฎหมายบางตัวเกี่ยวพันกับ อบต. เทศบาล ที่จะปลดล็อก ปรากฏว่า ทั้ง 2 สภา ก็เห็นด้วย เพราะต้องอาศัยฐานเสียง มีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส.ว.ลากตั้ง ก็ไม่ใช่ว่าดี ตนไม่แน่ใจว่าใครเป็นอย่างไร แต่เราทำงานเรารู้ส่วนหนึ่งทำงาน ในอนาคตถ้ามีสองสภาต่อไป ต้องมีวุฒิสภาหรือไม่ นี่เป็นคำถาม ถ้ามีจะเลือกตั้งแบบเดิมหรือไม่ เพราะกรรมการสมานฉันท์ ต้องการให้กลับไปเลือกตั้ง 200 คนเหมือนเดิม การเมืองต้องแก้ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.แก้รัฐธรรมนูญ 265 266 เพื่อให้ ส.ส.เป็นเลขาธิการรัฐมนตรี การแก้ทั้งหลายไม่เชื่อว่าประชาชนจะยอม กรรมการสมานฉันท์นำตัวเองเข้าไปสู่ความขัดแย้ง เพราะไปแก้ไขผลประโยชน์ของคนที่เป็นนักการเมือง แม้รัฐบาลจะเอาตัวรอดได้ แต่ก็ยังเป็นอยู่อย่างนี้ต่อไป น่าสงสารประเทศไทย
เผยผิดหวังรับบาลหน้าหล่อ กลายเป็น “เทพผสมพันธุ์อสูร”
ด้าน นายไพศาล กล่าวว่า คนทั้งหลายคาดหวังกับรัฐบาลหน้าหล่อ แต่อยู่ๆ รู้สึกทะแม่งๆ หัวข้อเสวนาเหมือนกำลังบอกอะไรอยู่ หรือส่งสัญญาณอะไร หรือบ้านเมืองเรามีราหูอมจันทร์อยู่ ไม่ทำให้พระจันทร์ส่องแสงจ้าได้ รัฐบาลในวันเข้ารับตำแหน่งได้ใจประชาชนอย่างมาก ตนจับคำกล่าวจากประธานองคมนตรี ที่พูดกับนายกฯ ถึงโจทย์ที่รับพระราชดำรัสมานั้น สั้นแต่ยาก ซึ่งนายกฯสามารถทำได้ หากเอาประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่วันนี้เริ่มลังเลใจ เพราะได้รับเสียงตัดพ้อ หลังจากที่เชื่อมั่นมาตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง จึงตั้งฉายาว่า รัฐบาลเทพผสมพันธุ์อสูร ชักจะละม้ายรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และแย่กว่าเก่า เพราะไทยรักไทยคิดถึงสายตานานาชาติ แต่วันนี้กลายเป็นโกงกลางแดด ไม่สนสายตาใคร ที่ผ่านมา รัฐบาลแต่ละยุคหลุดจากอำนาจก็ล้วนแต่โกงทั้งนั้น
นายไพศาล กล่าวว่า เราหวังให้รัฐบาลอยู่ครบเทอม น้อมรับกระแสราชดำรัส แต่เรื่องรถเมล์ 4พันคันนี้ ตนติดตามสถานการณ์มาห้าปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2547 เศรษฐกิจกำลังบูม รถเมล์ไม่เพียงพอ จากเดิมสองพันคัน ปตท.จะบริจาค แต่ ขสมก.ต้องซื้อแก๊สให้ราคาตลาดเป็นเวลาสิบสองปี แต่ก็มีการถ่วงรั้งเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติ มาถึงรัฐบาลสุรยุทธ์ มีเค้าไม่ดีก็ระงับ พอมาพรรคพลังประชาชนได้ขับเคลื่อนโครงการนี้เต็มอัตราศึก ปรับจากสองพันคัน เป็นหกพัน ไม่ซื้อแต่เช่า และตกมาถึงรัฐบาลนี้โดยเงื่อนไขอย่างนี้ พี่น้องประชาชนยังรู้ว่าโกงแน่ๆ
“การจะเช่ารถเมล์นั้นควรยกเลิกตั้งแต่วันที่ ครม.พิจารณาแล้ว แต่ทำไมโยนให้สภาพัฒน์ ไปพิจารณาต่อ ปัญหาไม่อยู่ที่เช่าหรือซื้อ แต่อยู่ที่โกงหรือไม่โกง การที่โยนให้สภาพัฒน์ไปพิจารณาว่าจะเช่าหรือซื้อนั้นไม่ใช่ประเด็น วันนี้ภาพลักษณ์รัฐบาลรูปหล่อเสียหายแล้ว” นายไพศาล กล่าว
เตือนไทยใกล้เสียดินแดนด้ามขวาน เสนอ “มาร์ค” นั่งหัวโต๊ะแก้ปัญหาด่วน
นายไพศาล กล่าวว่า บ้านเมืองเราไม่ได้มีวิกฤตเท่านี้ แต่ยังมีปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้ารัฐบาลแก้ไม่ได้ก็ล่มแน่เช่นกัน นับแต่ปล้นปืนที่เจาะไอร้อง พี่น้องทั้งประเทศได้รับคำบอกกล่าวเสมอว่าปัญหามาถูกทางแล้ว แต่ปัญหาก็ยังเหมือนเหมือนเดิมและบานปลาย ปัญหาวันนี้มันบานปลาย เพราะวันไม่รู้สู้กับใคร ไม่รู้จะแก้อย่างไร เมื่อใดก็ตามถ้าโอไอซีลงมติว่ารัฐไทยไม่สามารถดูแลชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนใน 3 จังหวัดได้อาจจะเสนอเรื่องถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ดังนั้น การเสียดินแดนอยู่ไม่ไกล เหมือนที่เคยเกิดในอินโดนีเซียแยกตัวกลายเป็นติมอร์ตะวันออก เราไม่ต้องการให้สูญเสีย แต่ไม่อยากเห็นการกระทำเหมือนที่ผ่านมา คือการหลอก ลวงว่ามาถูกทางแล้ว เป็นวิกฤตที่ใกล้เข้ามาแล้ว ตนเสนอให้นายกฯถือเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ เสนอให้นายกฯเป็นประธานคณะทำงาน 3 ขบวน 1.หยุดเหตุร้าย นำความสงบให้ได้ ต้องเอาคนมีสติปัญหาเข้าไปแก้ปัญหา อย่าใช้นโยบายเหมือนสหรัฐ ถ้ารัฐไทยไม่สามารถคุ้มครองชีวิตทรัพย์สินประชาชนได้ จะอยู่ไปทำไม 2.ต้องมีคณะทำงานระดับชาติประสานงานกับจุฬาราชมนตรี 3.มีคณะ ทำงานในทางสากล มีคณะทำงานที่ทรงปัญญา มีความรู้ทางศาสนาอิสลาม ประสานงานกับโอไอซี
ห่วง “แม้ว” กล่าวจาบจ้วงสถาบัน กล่าวหารู้เห็นเหตุปฏิวัติ
ขณะที่ พล.ต.อ.วศิษฐ์ กล่าวว่า ได้เป็นห่วงเรื่องการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับไฟแนนเชี่ยลไทม์ ที่ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รู้เห็นกับการรัฐประหาร เหมือนปรักปรำพระองค์ ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างมาโดยตลอดว่าตัวเองจงรักภักดี โดยตนได้เคยเขียนบทความลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชน
ชื่อ “เมื่อมันกำลังเผาเมืองไทย คนไทยต้องช่วยกันดับไฟ” บทความเขียนเนื่องจากมีเหตุที่คิดว่ากำลังเป็นอันตรายกับบ้านเมือง ซึ่งเขียนขึ้นก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับไฟแนนเชี่ยลไทม์
พล.ต.อ.วิศิษฐ์ กล่าวว่า เรากำลังถูกรุกด้วยสงครามเทคโนโลยี หลังจากที่เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ในลักษณะนี้ ตนได้รับจดหมายมาด่าตนสองฉบับ ด้วยลายมือยุ่งเหยิง แต่ก็มีคนแสดงความเห็นด้วยกับตนจำนวนมากกว่า ขอฝากท่านที่อยากเห็นเมืองไทยอยู่ ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุขขอให้ต่อสู้ ถ้าเรามั่นใจในพระเจ้าอยู่หัว สิ่งที่เราควรทำที่สุดคือบอกลูกหลานญาติมิตร ให้รู้และกระจายพระบารมีให้รับรู้ มีคนปรารภว่าเด็กๆสมัยนี้ห่างเหินพระมหากษัตริย์นั่นเป็นเพราะผู้ใหญ่หรือไม่ ดังนั้นวันนี้เราต้องช่วยกัน
พล.ต.อ.วิศิษฐ์ กล่าวว่า มีคนจำนวนมากคิดว่าแยกศาสนาออกจากกการเมืองการปกครอง เป็นการเข้าใจผิด การเมืองสกปรกขณะนี้เพราะนักการเมืองไม่มีศีล เรื่องคอรัปชั่นถือศีลจะไม่มีคนโกง อยากให้ประชาธิปไตยเต็มที่ต้องเอาศาสนาพุทธเป็นหลักอย่าหวังเอาพรรคการเมืองเป็นสรณะ ภาคประชาชนต้องแข็งแรง
เตือนนายกฯ เร่งสถาปนาประชาธิปไตย ภายใต้กษัตริย์เป็นประมุข
นายปราโมทย์ กล่าวเสริมว่า อยากจะย้ำให้นายกฯรับฟังและรีบทำนั้นคือช่วยสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข คือ การเข้าเฝ้าเป็นประจำ น้อมรับกระแสพระราชดำรัส นอกจากนี้ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ทำตัวเป็นพรรคการเมืองกึ่งการเลือก ดังนั้นต้องรีบทำตัวเป็นสถาบัน สร้างยุทธวิธี อย่ามัวคำนวณเสียงมากน้อย อย่าคิดว่าประเทศจะไม่มีสงครามการเมือง อย่าคิดว่าเขาทำลายสถาบันกษัตริย์ไม่สำเร็จ เพราะมีอวิชชา ไปทั่วโลก มีนักวิชาการทั้งในประเทศและแตกต่างประเทศ เขียนบทความโจมตีสถาบันอยู่จริง