xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 30 มี.ค.-5 เม.ย.2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ทักษิณ” ปลุกเสื้อแดงชุมนุมใหญ่ 8 เม.ย. ด้าน “องคมนตรี”เชื่อ ใครคิดไม่ดีต่อสถาบัน จะมีอันเป็นไป!
เครือข่ายองค์กรรักแผ่นดิน 4 ภาค รวมตัวที่หน้ารัฐสภา เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการให้นักโทษชายทักษิณหยุดใส่ร้าย พล.อ.เปรม(1 เม.ย.)
หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีซื้อที่รัชดาฯ ที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 2 ปี ได้ปลุกระดมคนเสื้อแดงผ่านวิดีโอลิงก์ให้ออกมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย พร้อมใส่ร้าย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ และอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ปรากฏว่า แม้ พล.อ.เปรมจะไม่ได้ออกมาตอบโต้หรือชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ พล.อ.เปรมก็ได้เล่าให้นักเรียนและศิษย์เก่ามหาวชิราวุธ จ.สงขลา ที่เข้าให้กำลังใจเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ทราบ โดยบอกว่า เคยถาม พ.ต.ท.ทักษิณว่า ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดถึงนั้นหมายถึงใคร หมายถึงตนใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่แล้วหมายถึงใคร แต่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ตอบ พล.อ.เปรมยังปฏิเสธกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวหาว่าตนอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติและหาว่าตนนำคณะปฏิวัติเข้าเฝ้าฯ โดยบอกว่า คืนที่มีการปฏิวัติ ตนได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่เข้าเฝ้าฯ ก่อนที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ,พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ ,พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาหารทหารเรือ จะมาเข้าเฝ้าฯ และไม่ทราบมาก่อนว่า พล.อ.สนธิและคณะจะมาเข้าเฝ้าฯ “เรามิได้เกี่ยวข้อง เขาก็ปฏิวัติกันไป ก็คิดดูกันเอาก็แล้วกันว่า ถ้าเรามีอิทธิพลพอที่จะไปบอกคุณสนธิว่า “คุณไปปฏิวัติ คุณสนธิ”ก็แย่ เพราะคุณสนธิต้องคิดเองว่า ทำไมจึงต้องปฏิวัติ มีเหตุใดที่ปล่อยให้รัฐบาลคุณทักษิณอยู่ต่อไปไม่ได้ ไม่ใช่มาเชื่อเรา ฉะนั้นเราไม่ได้อยู่เบื้องหลังเบื้องหน้า” พล.อ.เปรม ยังยืนยันด้วยว่า ตนไม่ได้เป็นศัตรูหรืออยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ พ.ต.ท.ทักษิณ “เราถือว่าเราไม่มีศัตรู ไม่มีฝ่ายตรงข้ามกับเรา เพราะเราถือว่าเราจะทำหน้าที่ของเราเพื่อคนไทยทุกคน แต่บางส่วนเขาเห็นว่าเราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเขา เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคุณทักษิณ ความจริงเราไม่ได้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคุณทักษิณหรอก...” เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง พล.อ.เปรมถูก พ.ต.ท.ทักษิณโจมตีใส่ร้าย ได้มีหลายภาคส่วนในสังคมออกมาปกป้องและให้กำลังใจ พล.อ.เปรม ขณะเดียวกันก็ประณามการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มเสื้อแดงที่ปราศรัยโจมตี พล.อ.เปรม เช่น ชมรม “คนรักป๋าเปรม” จ.สงขลา ได้ออกแถลงการณ์ 4 ข้อ(30 มี.ค.) เรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการทางกฎหมายหยุดยั้งการใส่ร้ายป้ายสี พล.อ.เปรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ,ขอให้ตัดสัญญาณการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งจับ พ.ต.ท.ทักษิณมาลงโทษ และดำเนินคดีกับแกนนำกลุ่มเสื้อแดง , สมาคมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านภาคอีสาน ออกแถลงการณ์(3 เม.ย.)ย้ำจุดยืนสมาชิกกว่า 2.9 แสนคนว่า ต้องการให้คนเสื้อแดงหยุดจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ และรีบคืนความมั่นคงทางการเมือง เพื่อนำคนในชาติฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจในขณะนี้ , คณาจารย์คณะแพทยศาสตร์ ,คณะเภสัชศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในนามเครือข่ายนักวิชาการเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดขอนแก่น ออกแถลงการณ์(1 เม.ย.)กระตุ้นต่อมสำนึกให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ รวมทั้งทหารและตำรวจให้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ พร้อมยุติการวิดีโอลิงก์ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ก้าวล่วงสถาบัน ขณะที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ได้ออกแถลงการณ์(30 มี.ค.)ประณามการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณเช่นกัน โดยชี้ว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณปลุกระดมใส่ร้ายประธานองคมนตรี รวมทั้งใส่ความประธานศาลปกครองสูงสุด ,ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ นั้น เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม และเป็นการหาเหตุในการต่อรองเพื่อฟอกความผิดและนิรโทษกรรมให้ตนเองและพวก ตลอดจนเพื่อให้ได้ทรัพย์สินของตนที่ถูกอายัดไป กลับคืนเท่านั้น มิใช่การต่อสู้เพื่อประชาชนหรือเพื่อประชาธิปไตยตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด แกนนำพันธมิตรฯ ยังระบุด้วยว่า การปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มเสื้อแดงที่ใส่ความและปลุกระดม มิได้จำกัดเฉพาะตัวบุคคลเท่านั้น แต่ยังพาดพิงโครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันองคมนตรีด้วย ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมก่อนหน้านี้ที่มีความพยายามเสนอร่างแก้ไข รธน.ให้มีการยุบเลิกสถาบันองคมนตรี เพื่อลดพระราชอำนาจ ทั้งยังมีการเคลื่อนไหวให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ควบคู่ไปกับการปราศรัยจงใจดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง “พฤติการณ์ของนักโทษชาย ทักษิณและพวก ดำรงความมุ่งหมายเพื่อกำจัดและทำลายตัวบุคคลและสถาบันภายใต้พระราชอำนาจเสียก่อน เพื่อหวังที่จะกัดกร่อนสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สุด” แกนนำพันธมิตรฯ จึงขอประณามการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณและพวก และขอเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดยั้งการถ่ายทอดภาพและเสียงของนักโทษชายทักษิณ รวมทั้งยกเลิกหนังสือเดินทางและนำตัวนักโทษชายทักษิณกลับมาดำเนินคดี และขอเรียกร้องให้รัฐบาลและทหารปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ความมั่นคงของรัฐ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และว่า การวางเฉยต่อการจ้องทำลายสถาบันองคมนตรีและสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือว่าขัดต่อหน้าที่ มโนธรรมสำนึก และรัฐธรรมนูญ ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ยังวิดีโอลิงก์โจมตี พล.อ.เปรมไม่เลิก โดยหลังจากมีข่าว พล.อ.เปรมปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังไม่ยอมลดราวาศอก โดยออกมาโต้ พล.อ.เปรม(31 มี.ค.)อีกว่า “วันนี้ปรากฏว่าออกมาปฏิเสธกันลิ้นไก่สั้นกันเป็นแถว ท่านเปรมก็บอกว่าไม่มีอะไรกับผม ผมว่าท่านคงพูดผิด คือผมไม่มีอะไรกับท่านแน่นอน แต่ท่านมีอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ท่านมีอายุมากแล้ว อุตส่าห์แต่งเครื่องแบบเดินไปตามโรงเรียนเหล่าต่างๆ เพื่อด่าผมระหว่างผมเป็นนายกฯ แล้วท่านสุรยุทธ์จะเกี่ยวข้องหรือไม่...” พ.ต.ท.ทักษิณ ยังปลุกระดม(3 เม.ย.)ให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุมใหญ่กับกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 8 เม.ย.นี้ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง และเพื่อแสดงให้เห็นพลังที่มากกว่าวันที่ 14 ต.ค.2516 และ 17 พ.ค.2535 “วันที่ 8 เม.ย.เราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง เราขอรัฐธรรมนูญปี 2540 ...เราต้องการให้ยุบสภา ...เราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อนำอนาคตที่ดีมาสู่บ้านเมือง” ส่วนกรณีที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ ออกมาพูดทำนองว่า หลังสงกรานต์อาจมีคนมีบุญบารมีที่ทุกฝ่ายให้ความเคารพเข้ามาไกล่เกลี่ยปัญหานั้น พ.ต.ท.ทักษิณ รีบปิดประตูการเจรจาทันที “ผมไม่เจรจา เพราะวันนี้เป็นเรื่องของชาติ ไม่ใช่เรื่องของผม ...ข้อเท็จจริงคือผมกำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง และเพื่อแก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ให้เกิดปัญหาอีก ...ขอเชิญชวนทุกคนให้ออกมาเต็มลานพระบรมรูปทรงม้าและถนนราชดำเนิน เพื่อต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง” ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ลั่น วันที่ 8 เม.ย. นปช.จะเผด็จศึกเช็คบิลรัฐบาล พร้อมคาด จะมีกลุ่มเสื้อแดงกว่า 3 แสนคนมาชุมนุมในกรุงเทพฯ เพื่อกดดัน พล.อ.เปรม ,พล.อ.สุรยุทธ์ และนายอภิสิทธิ์ให้ลาออก ซึ่งจะยาวตั้งแต่เชิงสะพานชมัยมรุเชษฐไปจนถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งจะให้สงครามครั้งนี้จบก่อนช่วงสงกรานต์ แต่หากยังไม่ชนะก็จะชุมนุมต่อไปจนกว่าจะชนะ ทั้งนี้ นอกจากแกนนำ นปช.จะเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์แล้ว ทางอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีจากกรณียุบพรรคเกือบ 40 คน นำโดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้ออกมาร่วมเคลื่อนไหวด้วยการขึ้นเวทีกลุ่มเสื้อแดงตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกมาเชิญชวนก่อนหน้านี้ด้วย โดยนายสมชาย ประกาศบนเวที(3 เม.ย.)ว่า สมาชิกบ้านเลขที่ 111(อดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทย 111 คนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี) และ 37(อดีต กก.บห.พรรคพลังประชาชนที่ถูกตัดสิทธิฯ)จะร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนเสื้อแดงในการเรียกร้องประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ และทวงคืนความยุติธรรมในบ้านเมือง โดยหลังจากนี้จะผลัดกันมาปราศรัยต่อประชาชน เป็นที่น่าสังเกตว่า การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่หน้าทำเนียบฯ นอกจากจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลแพ่งที่ให้เปิดทางเพื่อให้ข้าราชการและประชาชนสามารถเข้าไปในทำเนียบฯ แล้ว ม็อบเสื้อแดงยังมีการรุมทำร้ายประชาชนที่ใส่เสื้อเหลืองที่เดินทางผ่านบริเวณทำเนียบฯ ด้วย(เช่น ทำร้าย น.ส.เบญจวรรณ บุตรวงศ์ ที่ใส่เสื้อเหลืองเดินไปทางทำเนียบฯ เมื่อวันที่ 30 มี.ค.) ไม่เท่านั้น พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ อดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทย และนายประแสง มงคลศิริ อดีต ส.ส.อุทัยธานี พรรคไทยรักไทย ยังได้นำม็อบเสื้อแดงออกจากที่ชุมนุมไปคุกคามกดดันไม่ให้บริษัทเอกชนสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยของกลุ่มเพื่อนเนวินด้วย เช่น เคลื่อนพลไปปิดทางเข้าโรงแรมพูลแมน คิง พาวเวอร์ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ทั้งนี้ ไม่เพียงหลายภาคส่วนในสังคมจะไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง แม้แต่ภาคธุรกิจเอกชนก็รับไม่ได้เช่นกัน โดยหอการค้าไทย ได้ออกแถลงการณ์แสดงความไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวที่ใช้คำพูดรุนแรงและยุยงให้เกิดความแตกแยกเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศให้เลวร้ายลงกว่าเดิม เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียงกระแสสังคมจะไม่พอใจ พ.ต.ท.ทักษิณที่วิดีโอลิงก์ใส่ร้ายประธานองคมนตรี แม้แต่องคมนตรีที่ไม่ได้ถูก พ.ต.ท.ทักษิณพาดพิง ก็ยังทนพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เช่นกัน โดย พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 3 เม.ย. โดยแสดงความข้องใจว่า ทำไมไม่มีใครดำเนินการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่บุคคลนี้มีพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาอย่างต่อเนื่อง “สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณล่วงล้ำพระราชอำนาจอย่างไร การทำบุญในวัดพระแก้วทำได้หรือไม่ เมื่อพ้นตำแหน่งนายกฯ ไปแล้ว โทรศัพท์มาพูดออกผ่านทีวี ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโทรศัพท์มากระซิบข้างหูก็จะกลับมา ท่านเป็นเพื่อนเล่นของเขาหรือ สิ่งนี้ทำไมไม่มีใครเอาเรื่อง ถือเป็นการกระทำที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว เราต้องจี้ให้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบพิจารณาว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่” พล.อ.พิจิตร ยังแนะให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินที่อาจผิดกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เกาะเคย์แมนด้วย “นายราล์ฟ บอยซ์ จูเนียร์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย มาพบตน ประโยคแรกที่ถามคือ นายกฯ ของไทย(พ.ต.ท.ทักษิณ) ไปยุ่งอะไรกับเกาะเคย์แมน ซึ่งเป็นเกาะฟอกเงินไม่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้น สื่อต้องไปตรวจสอบดูว่าเกาะเคย์แมนเป็นอย่างไร เอาเงินฝากไปไว้ทำไม ลองคิดดูทำงานมาแค่ 5-6 ปี มีเงินฝากถึง 1 แสนล้านได้อย่างไร เรื่องนี้จะต้องนำมาแฉให้ประชาชนรับรู้ให้ได้” ด้านนายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ได้กล่าวระหว่างปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อชาติและประชาชน” เนื่องในวันข้าราชการพลเรือนประจำปี 2552 เมื่อวันที่ 2 เม.ย. โดยนอกจากจะแสดงความเป็นห่วงที่สถาบันถูกล่วงละเมิดแล้ว ยังเชื่อว่า ใครก็ตามที่คิดไม่ดีต่อสถาบัน จะมีอันเป็นไปในที่สุด “ผมเคารพในหลวง ท่านเหมือนพ่อหลวง เหมือนเจ้าหลวง เหมือนเทพเจ้าองค์หนึ่ง ผมเคยเห็นตัวอย่าง ใจผมคิดว่า ถ้าใครทำอะไรไม่ดีเกี่ยวกับสถาบัน มักจะมีอันเป็นไป เช่น เหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน” ด้านนายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ขึ้นเวทีปราศรัยในงานวันเกิดนายชัย ชิดชอบ บิดา ท่ามกลางประชาชนที่มาร่วมงานประมาณ 2 หมื่นคน(จัดงาน 4 เม.ย.วันเกิด 2 เม.ย.) โดยนอกจากจะแสดงจุดยืนปกป้องสถาบันแล้ว ยังตำหนิการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงด้วย “การต่อสู้ของกลุ่มเสื้อแดงขณะนี้สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นมาก เพราะไม่ใช่เรื่องที่ประชาชนเดือดร้อนแล้วออกมาเรียกร้อง แต่เป็นการเรียกร้องเพราะความเดือดร้อนของคนคนเดียวก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ออกมาประกาศว่าตนเองกำลังลำบาก แต่แท้จริงแล้วกลับใช้ชีวิตอย่างสุขสบายบนเครื่องบินส่วนตัว โดยเสียค่าเครื่องบินนับพันล้านบาท...นี่หรือคือความลำบาก ...ผมเองถูกกล่าวหาว่าทรยศ ผมขอบอกว่าผมพร้อมที่จะทรยศเพราะผมทำเพื่อประชาชน หากการทรยศหมายถึงการหักหลัง ต่อให้ต้องหักหลังอีก 10 ครั้ง ผมก็จะทำ ใครหน้าไหนที่คิดจะล้มล้างสถาบัน ต้องข้ามศพเนวินไปก่อน” ส่วนท่าที่ของพันธมิตรฯ ต่อการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงนั้น นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวในวันนี้(5 เม.ย.)ว่า หากกลุ่ม นปช.สร้างสถานการณ์ยั่วยุให้เกิดความรุนแรงในวันที่ 8 เม.ย.นี้ ทางพันธมิตรฯ จะออกมาเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ทันที เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเงื่อนไขใหญ่ นอกเหนือจากเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณและ นปช.ประกาศให้นำ รธน.ปี 2540 และการนิรโทษกรรมกลับมา

2. ชายแดน ระอุ “เขมร”เปิดฉากยิงใส่ไทยหลายระลอก ส่งผลทหารไทยตาย 2 เจ็บนับสิบ สะพัด “ทักษิณ”บงการ!
ทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะกับทหารกัมพูชา
เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ได้เกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวนบริเวณห้วยตาเลีย ทางทิศตะวันออกของภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ห่างจากปราสาทพระวิหารไปทางทิศตะวันตกประมาณ 3 กม. แรงระเบิดทำให้ จ.ส.อ.สุวัฒน์ ชนะบูรณ์ ผู้บังคับหมู่ปืนกล หมวดปืนเล็กที่ 2 พัน ร.162 ร้อย ร.1632 ค่ายบดินทร์เดชา จ.ยโสธร ขาข้างซ้ายขาด และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิ์ประสงค์ จ.อุบลราชธานี ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทหารกัมพูชาได้ยิงปืน ค.มาตกที่ฐานปฏิบัติการเก่าของ ตชด.จำนวน 1 ลูก โดยอยู่ห่างจากปราสาทพระวิหารทางทิศตะวันตกประมาณ 1 กม. แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ กระทั่งเช้าวันต่อมา(3 เม.ย.) ทหารกัมพูชาได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงใส่ทหารไทยชุดลาดตระเวนอีกประมาณ 10 นัด ทหารไทยจึงยิงโต้ตอบ และปะทะกันประมาณ 5 นาที เบื้องต้นไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ พล.ต.ธวัชชัย สมุทรสาคร รองแม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมคณะ ต้องเดินทางขึ้นไปที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ด้านทิศตะวันตกของปราสาทพระวิหารในช่วงสายวันเดียวกัน เพื่อเจรจากับ พล.ต.ซรัย ดึ๊ก รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชา โดยฝ่ายกัมพูชายืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทหารไทยยิงทหารกัมพูชาก่อน ขณะที่ฝ่ายไทยก็ยืนยันว่า ทหารกัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว ทั้ง 2 ฝ่ายขอให้ยุติกันไป และให้ต่างฝ่ายต่างไปควบคุมทหารในบังคับบัญชาไม่ให้เกิดเหตุปะทะกันอีก แม้ผลการเจรจาจะเหมือนจบลงด้วยดี แต่ปรากฏว่า ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ทหารไทยและทหารกัมพูชาที่ตรึงกำลังบริเวณที่เกิดเหตุก็เกิดปะทะกันขึ้นอีก โดยมีรายงานว่า ทหารกัมพูชายิงอาร์พีจี 12 ลูกใส่ทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณภูมะเขือ และทหารพรานหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ใกล้ปราสาทพระวิหาร ห่างจากตลาดประมาณ 2 กม. ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิต 2 นาย และบาดเจ็บ 10 นาย ทั้งนี้ การปะทะกันรอบสอง ส่งผลให้ พล.ต.ธวัชชัย พร้อมคณะ ต้องเดินทางขึ้นไปที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เพื่อเจรจากับ พล.ต.ซรัย ดึ๊ก อีกครั้ง จากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายได้สั่งหยุดยิงอย่างสิ้นเชิงในช่วงเย็นวันเดียวกัน ด้านสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายเขียว กันหะริด โฆษกรัฐบาลกัมพูชา แถลงว่า เหตุการณ์ปะทะกันของทหารทั้ง 2 ฝ่าย ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 2 นาย พร้อมอ้างว่า ทหารไทยเสียชีวิต 4 นาย และถูกกัมพูชาควบคุมตัวไว้ได้ 10 นาย อย่างไรก็ตาม นายธฤต จรุงวัฒน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยยืนยันว่า ไม่มีทหารไทยถูกกัมพูชาควบคุมตัว แต่มีรายงานว่า ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บประมาณ 6-7 นาย พร้อมเผยเหตุที่เกิดการปะทะกันครั้งนี้ว่า หลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ฝ่ายไทยจึงได้เข้าไปตรวจสอบร่องรอยและพบทหารกัมพูชาประมาณ 20 นายรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทย และหลังจากทั้ง 2 ฝ่ายพูดคุยกันโดยไม่ได้ข้อยุติ ปรากฏว่าฝ่ายกัมพูชาได้เดินกลับและหันมาเปิดฉากยิงใส่ทหารไทย ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง วันต่อมา(4 เม.ย.) สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา ได้ออกมาอ้างว่า เหตุปะทะกันดังกล่าวเกิดจากทหารไทยเข้ามาในดินแดนที่กัมพูชาอ้างสิทธิ และไม่สนใจคำเตือนที่ให้ถอยกลับไป สมเด็จฯ ฮุน เซน ยังยืนยันด้วยว่า การปะทะกันครั้งนี้ไม่มีทหารกัมพูชาได้รับบาดเจ็บหรือล้มตาย ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ขณะที่สถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ได้ส่งเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังสื่อมวลชนและกระทรวงการต่างประเทศของไทย โดยยืนยันคำเดิมว่า พื้นที่ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิด รวมทั้งจุดที่เกิดเหตุปะทะกัน ล้วนแล้วแต่อยู่ในดินแดนของกัมพูชา และว่า เหตุการณ์ปะทะเกิดจากทหารไทยติดอาวุธรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของกัมพูชา และยิงใส่ทหารกัมพูชาก่อน ด้านนายธฤต จรุงวัฒน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้ออกมายืนยันอีกครั้งว่า ทหารไทยไม่ได้เป็นฝ่ายยิงก่อน พร้อมย้ำ พื้นที่ที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ของไทย เมื่อฝ่ายกัมพูชาเข้ามา ก็มีการพูดคุยเพื่อให้ออกไปจากพื้นที่ แต่กัมพูชากลับตอบโต้ด้วยกำลัง นายธฤต ยังเรียกร้องให้กัมพูชายุติการใช้อาวุธใดใด และหันหน้ามาสู่โต๊ะเจรจาซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยยึดถือ โดยการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี ครั้งที่ 5 จะมีขึ้นที่กัมพูชาในวันที่ 6-7 เม.ย.นี้ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ชายไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ ยังไม่สงบ โดยช่วงสายวันที่ 4 เม.ย. ทหารกัมพูชายังคงยิงอาร์พีจีข้ามาตกฝั่งไทย 3 ลูก ฝ่ายไทยจึงใช้ปืนเล็กยาวยิงตอบโต้กลับไปหลายสิบนัด ขณะที่ช่วงเย็นวันเดียวกัน ทหารกัมพูชาได้นำรถถังมาจอดบริเวณเขาพระวิหารจำนวน 6 คัน พร้อมใช้รถยีเอ็มซีบรรทุกทหารมาเสริมรอบเขาพระวิหารประมาณ 200 นาย เพื่อเตรียมพร้อมเต็มที่หากมีการปะทะกันเกิดขึ้นอีก ด้าน พล.ต.กนก เนตระคเวสนะ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ได้นำคณะเดินทางขึ้นไปยังวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระแล้วในวันนี้(5 เม.ย.) เพื่อหารือกับฝ่ายกัมพูชาแก้ปัญหาการปะทะกันของทหารทั้ง 2 ฝ่าย โดยหลังประชุม พล.ต.กนก แถลงว่า บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี มีการตกลงว่า ให้ผู้บังคับหน่วยทหารทั้ง 2 ฝ่ายควบคุมดูแลทหารในสังกัดของตัวเองให้ดี ไม่ให้กระทำการใดใดที่เป็นการก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในเขตพื้นที่ที่มีการตรึงกำลังทหารรอบเขาพระวิหารชายแดนไทย-กัมพูชา นอกจากนี้ยังห้ามทหารทั้ง 2 ฝ่ายนำเครื่องดื่มของมึนเมาเข้าไปดื่มในพื้นที่ที่มีการตรึงกำลังอยู่อย่างเด็ดขาด และหากมีปัญหาใดใดเกิดขึ้น ให้ผู้บังคับหน่วยทหารทั้ง 2 ฝ่ายเข้าไปเจรจาเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกันทันที เพื่อให้เรื่องยุติโดยเร็ว ส่วนเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นนั้น พล.ต.กนก บอกว่า เป็นอุบัติเหตุ ซึ่งทหารไทยและทหารกัมพูชาได้มีการทำความเข้าใจกันเป็นอย่างดีแล้ว และตกลงกันว่าจะไม่ให้เกิดการปะทะกันด้วยกำลังอาวุธอีกอย่างเด็ดขาด ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งร่วมกับคณะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง เดินทางไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บและร่วมงานศพทหารที่เสียชีวิต(4 เม.ย.)กล่าวถึงการปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชาว่า ได้รับรายงานว่า ทหารเสียชีวิต 2 นาย และบาดเจ็บ 9 นาย ส่วนสาเหตุที่มีการปะทะเกิดจากการลาดตระเวนมาเจอกัน จึงเกิดการเข้าใจผิดกันขึ้น ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางเข้าไปยังกัมพูชา และอาจอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ปะทะครั้งนี้นั้น พล.อ.อนุพงษ์ บอกว่า “ขณะนี้กำลังตรวจสอบอยู่ จะอยู่ประเทศใดนั้นกำลังตรวจสอบ”

3. ศาลแพ่ง สั่งยึดทรัพย์ “กำนันเป๊าะ”11 ล้าน คดีทุจริตเขาไม้แก้ว!
นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุกคดีทุจริตเขาไม้แก้ว และคดีจ้างวานฆ่ากำนันยูร
เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ศาลแพ่ง ได้นัดสั่งคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของนายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุข อ.เมืองชลบุรี กับครอบครัวรวม 29 รายการ มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน หลังศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์และศาลจังหวัดชลบุรี ลงโทษจำคุกนายสมชายเป็นเวลา 5 ปี 4 เดือน ในความผิดฐานทุจริตซื้อที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ทรัพย์สินเป็นสมุดบัญชีของนายสมชาย 1 บัญชี จำนวน 3 แสนบาทเศษ และของนางยุพิน คุณปลื้ม ภรรยา 9 บัญชี จำนวน 10 ล้านบาทเศษ และของนายวิทยา คุณปลื้ม บุตรชาย 11 บัญชี รวมประมาณ 11 ล้านบาท ได้มาจากการกระทำความผิด จึงมีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ส่วนทรัพย์สินที่เป็นสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของ น.ส.จิราภรณ์ คุณปลื้ม บุตรสาว 18 บัญชี ประมาณ 20 ล้านบาทเศษนั้น ศาลเห็นว่า เป็นบัญชีเงินฝากเพื่อรับดอกเบี้ยธนาคารตามปกติ ไม่มีหลักฐานว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการทำความผิด จึงมีคำสั่งคืนให้ น.ส.จิราภรณ์ ด้านนายชำนาญ ชาดิษฐ์ ทนายความนายสมชาย บอกว่า จะคัดคำพิพากษาไปรายงานให้นางยุพิน และ น.ส.จิราภรณ์ทราบ และนำไปศึกษาเพื่อยื่นอุทธรณ์ในส่วนของทรัพย์ 11 รายการ มูลค่า 11 ล้านบาทเศษที่ถูกยึดต่อไป อนึ่ง คดีทุจริตซื้อที่ดินเขาไม้แก้ว อัยการจังหวัดชลบุรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชายกับพวกรวม 5 คน ฐานร่วมกันทุจริตซื้อที่ดินทิ้งขยะจำนวน 140 ไร่ มูลค่ากว่า 93 ล้านบาทเศษ โดยซื้อที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติในราคาไร่ละ 5 หมื่นบาท แต่นำไปขายให้กับเทศบาลเมืองพัทยาสูงถึงไร่ละ 668,000 บาท ซึ่งศาลชั้นต้นได้สั่งจำคุกนายสมชาย จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 5 ปี 4 เ ดือน ขณะที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน นอกจากนี้ยังมีคดีที่นายสมชายร่วมกับนายภาสกร หอมหวน หรือ ส.ท.เหี่ยว จ้างวานฆ่านายประยูร สิทธิโชค หรือกำนันยูร อดีตกำนัน ต.เสม็ด อ.เมืองชลบุรี โดยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกนายสมชาย เป็นเวลา 25 ปี และศาลให้รวมโทษกับคดีทุจริตเขาไม้แก้ว ดังนั้นนายสมชายจะต้องถูกลงโทษจำคุกทั้งสิ้น 30 ปี 4 เดือน แต่นายสมชายได้หลบหนีก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาให้จำคุก

4. มาตรการ “ห้ามขายเหล้าสงกรานต์”แท้ง - อ้าง กระทบท่องเที่ยว ด้าน “นักรณรงค์”ชี้ คกก.ฯ อำมหิต ไม่ช่วยชีวิตคน!

เยาวชนหนุนห้ามขายเหล้าช่วงสงกรานต์
เมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ที่มี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ เป็นประธาน ได้พิจารณาข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขที่ให้มีการออกประกาศสำนักนายกฯ เรื่อง มาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อลดจำนวนการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนช่วงสงกรานต์ ทั้งนี้ หลังประชุม พล.ต.สนั่น แถลงว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ออกร่างประกาศสำนักนายกฯ เรื่อง กำหนดวันเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2552 โดยห้ามผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาตามที่ ครม.ประกาศกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ส่วนเหตุผลที่ที่ประชุมไม่ได้มีมติให้ออกประกาศสำนักนายกฯ เรื่องห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงเทศกาลสงกรานต์ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอนั้น พล.ต.สนั่น บอกว่า ที่ประชุมเห็นว่า หากห้ามจำหน่ายสุราช่วงสงกรานต์ จะกระทบกับการท่องเที่ยว เพราะวันสงกรานต์จะมีต่างชาติเข้ามาเที่ยวกว่า 8 หมื่นคน ซึ่งกระทรวงท่องเที่ยวฯ ก็ได้ไปโรดโชว์ยังต่างประเทศแล้วกว่า 100 ล้านบาท ดังนั้น หากห้ามจำหน่ายสุราช่วงสงกรานต์ จะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่เข้ามา และหากมีการห้าม จะยิ่งทำให้สุราเถื่อนเพิ่มขึ้นเต็มบ้านเต็มเมืองด้วย ขณะที่นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข เผยว่า ที่ประชุมมีมติ 8 ต่อ 2 ไม่เห็นด้วยกับมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงสงกรานต์ มีเพียงผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงยุติธรรม 2 คนเท่านั้นที่เห็นด้วย ส่วนอีก 8 เสียงจากคณะกรรมการ 6 กระทรวง 2 หน่วยงาน ไม่เห็นด้วยแม้จะให้ห้ามจำหน่ายสุราเพียง 1 วัน คือ 13 เม.ย.ก็ตาม เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติให้ออกมาตรการรองรับ โดยให้นายกฯ ใช้อำนาจในฐานะคณะกรรมการนโยบายฯ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกประกาศสำนักนายกฯ เรื่อง ควบคุมสถานที่ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มเติม เช่น ห้ามดื่มสุราบนท้ายรถกระบะ เป็นต้น ด้านนายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ บอกว่า ไม่เหนือความคาดหมายที่ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติออกมาแบบนี้ และจะไม่มีการเคลื่อนไหวเพื่อกดดันอะไรอีก เพราะทำไปก็ไม่เป็นผล อย่างไรก็ตาม นายคำรณ บอกว่า “ขอตราหน้าว่า คณะกรรมการนโยบายฯ ชุดนี้ เป็นคณะกรรมการอำมหิต เพราะมาตรการห้ามขายสุรา เบียร์ในช่วงสงกรานต์ ถือเป็นมาตรการช่วยเหลือชีวิตคน แต่กลับไม่มีการห้ามขาย เปรียบเหมือนคนกำลังจะจมน้ำตาย และรัฐบาลมีเสื้อชูชีพ แต่กลับไม่ช่วยเหลือ ดังนั้นช่วงสงกรานต์นี้ เครือข่ายฯ จะติดตามตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุว่ามีมากน้อยแค่ไหน จะเอามาตบหน้าคณะกรรมการนโยบายฯ และจะประจานว่ารัฐบาลไม่ช่วยเหลือคน” เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายฯ ที่มี พล.ต.สนั่นเป็นประธานเมื่อวันที่ 30 มี.ค.จะมีมติให้ออกร่างประกาศสำนักนายกฯ เรื่อง กำหนดวันเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยห้ามขายในวันสำคัญทางศาสนา 4 วัน แต่ปรากฏว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายฯ เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ยังไม่มีมติเห็นชอบร่างประกาศดังกล่าว รวมทั้งร่างประกาศห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในยานพาหนะบนท้องถนนจำนวน 7 วันตลอดช่วงสงกรานต์ โดยนายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข เผยเหตุที่คณะกรรมการนโยบายฯ ยังไม่มีมติเห็นชอบร่างประกาศทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวว่า เพราะทีมงานเลขานุการรองนายกฯ (พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์) ท้วงติงว่า การห้ามดื่มในยานพาหนะ อาจเข้าข่ายลิดรอนสิทธิประชาชน และใช้อำนาจเกิน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 จึงให้กระทรวงฯ ทบทวน และแก้ไขถ้อยคำ ส่วนประกาศห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนานั้น คณะกรรมการนโยบายฯ มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการ 1 ชุดพิจารณาในรายละเอียด นายมานิต ยืนยันด้วยว่า ตนได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว แต่เมื่อมีข้อท้วงติงเรื่องร่างประกาศดังกล่าว กระทรวงก็ต้องนำไปหารือทีมกฎหมายอีกครั้ง เพื่อให้การออกมาตรการไม่มีข้อโต้แย้ง ก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายฯ อีกครั้ง ซึ่งยังไม่กำหนดว่าจะประชุมเมื่อใด แต่เชื่อว่าไม่น่าจะทันเทศกาลสงกรานต์นี้ ด้านนายสงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ไม่พอใจมติของคณะกรรมการนโยบายฯ ที่มี พล.ต.สนั่นเป็นประธาน จึงได้เรียกร้องให้ พล.ต.สนั่น รับผิดชอบ หากตัวเลขอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ปีนี้ไม่ลดลง และว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ก็ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะถือว่าไม่เห็นความสำคัญของชีวิตคน นายสงกรานต์ ยังชี้ด้วยว่า กฎหมายทุกฉบับล้วนแต่ลิดรอนสิทธิส่วนบุคคลทั้งนั้น แต่เป็นการออกกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ไปละเมิดสิทธิส่วนรวม หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ด้าน นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เผยว่า ได้ร่วมกับสมาคมภัตตาคารไทยขอความร่วมมือผู้ประกอบการร้านอาหาร สถานบันเทิง และสถานที่ท่องเที่ยว งดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันที่ 13 เม.ย. เพื่อไถ่ชีวิตคนไทย และว่า ผู้ที่เดินทางในช่วง 7 วันอันตราย(10-16 เม.ย.) หากพบเห็นผู้ขับขี่ดื่มสุราหรือมีอาการคล้ายคนเมา ให้แจ้งศูนย์ปลอดภัยคมนาคม สายด่วน 1584 โดยผู้แจ้งจะได้รับค่าตอบแทนครั้งละ 500 บาท ส่วนตำรวจที่ตรวจจับจะได้รางวัล 500 บาทเช่นกัน.
กำลังโหลดความคิดเห็น