1. “แม้ว”มั่นใจ จะกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง ลั่น ไม่ยอมตายอยู่ ตปท.แน่ ขณะที่ “เพื่อไทย”เตรียมทำ “สงคราม 9 ทัพ”ล้ม รบ.!
เมื่อวันที่ 2 ก.พ. พรรคเพื่อไทยได้จัดสัมมนา ส.ส.พรรคที่โรงแรมกรีนเนอร์รี่ รีสอร์ท อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยมีบุคคลในตระกูล “ชินวัตร”เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย เช่น นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมาพร้อมนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สามี และ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ บุตรสาว นอกจากนี้ยังมีนายพายัพ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องชายและน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งนางเยาวเรศ ชินวัตร ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชูปถัมภ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนี้ ระหว่างการสัมมนา พ.ต.ท.ทักษิณได้โฟนอินเข้ามาพูดกับ ส.ส.ผ่านโทรศัพท์ น.ส.ชินณิชา โดยขอบคุณ ส.ส.ทุกคนที่ยังรักตนและยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ยังประกาศด้วยว่า จะไม่วางมือทางการเมือง แต่จะต่อสู้ทางการเมืองต่อไป เพราะมีความพยายามกลั่นแกล้งตนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยบอกว่า “จากที่ผมเคยประกาศว่าจะวางมือทางการเมือง แต่การกลั่นแกล้งทางการเมืองกลับเข้มข้นขึ้น ก็ขอบอกใหม่ว่า ผมพร้อมที่จะกลับไปสู้ทางการเมืองต่อไป เพราะถ้าผมยอมแพ้ เท่ากับว่าประชาชนทั้งประเทศที่เคยได้รับอานิสงส์จากการทุ่มเททำงานของผมกับเพื่อนๆ ทั้งหลาย ต้องได้รับผลกระทบไปด้วย เราจึงไม่ยอมให้ประชาชนพ่ายแพ้...” พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอ้างด้วยว่า บุคคลที่กลั่นแกล้งตนและกลุ่มเสื้อแดงที่สนับสนุนตนคือ คนที่อายุมากแล้ว “วันนี้การดำเนินการสองมาตรฐาน การกลั่นแกล้งพวกเราสีแดงผิดหมด สักวันมันระเบิดขึ้นมาแล้ว มันจะไม่คุ้มเลยสำหรับประเทศไทย สำหรับคนที่ทำ อาจอายุมากแล้ว แต่กำลังทิ้งบาปไว้ให้กับสังคมไทยวันนี้ ผมอาจจะเจ็บปวดที่สุด แต่ก็เป็นคนเดียว ครอบครัวเดียว แต่ความเจ็บปวดมันกำลังตอกลิ่มลงไปในใจคนจำนวนมากหลายล้านคนในประเทศไทย หากเขาคิดเป็นและฉลาดพอ จะรู้ว่าเขากำลังสั่งสมความไม่ดีในหัวใจคน จนเสื่อมความศรัทธา...” พ.ต.ท.ทักษิณ ยังดิสเครดิตรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ด้วยว่า เป็นรัฐบาลเสือหิว โดยรวบรวมเสือหิว เสือหาย เสือโหยอยู่ด้วยกัน พร้อมย้ำว่า ตนจะกลับมาเป็นนายกฯ ให้คนไทยอีกครั้ง จะไม่ยอมตายในต่างประเทศแน่นอน “ถ้าประชาชนพร้อม ผมพร้อมจะกลับไปเป็นนายกฯ ให้ประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ถ้าประชาชนพร้อมเมื่อไร ผมก็พร้อมเมื่อนั้น ถ้าประชาชนยอมแพ้ ก็ถือว่าผมหมดหน้าที่ ถึงแม้ผมจะต้องอยู่ต่างประเทศอีกนาน แต่ผมจะไม่ยอมตายในต่างประเทศแน่นอน อย่างมากที่สุด ผมสู้ไม่ได้ ผมก็จะแอบลักลอบเข้าไปตายในอีสาน ถ้าสักวันหนึ่งพี่น้องประชาชนบอกว่าบ้านเมืองต้องการผม ผมก็จะกลับไปทำหน้าที่ให้” ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาจี้ให้ กกต.ตรวจสอบการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ประกาศสนับสนุนทุนต่อสู้ทางการเมืองแก่พรรคเพื่อไทยนั้น ถือเป็นความผิดหรือไม่ พร้อมตอบโต้ พ.ต.ท.ทักษิณที่กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นรัฐบาลเสือหิวและเสือโหยว่า “อยากให้กลับไปดูคนพูดว่าเป็นเสือเผ่นหรือเสืออะไร คนของพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาโกงกิน ตรงกันข้ามกับคนที่เป็นเสือเผ่นยังมีคดีความอยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองอีกหลายคดี เพราะฉะนั้นคนที่เป็นเสือหิวน่าจะเป็นรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งถูกขับไล่ให้เป็นเสือเผ่นในปัจจุบัน” ขณะที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ส่งสัญญาณว่า คงยากที่จะเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณฐานโฟนอินปลุกระดมในที่ประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทย โดยบอกว่า “เรื่องนี้ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใด โดยเฉพาะ พ.ร.บ.พรรคการเมืองที่ระบุว่า ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะพูดอะไรไม่ได้ กฎหมายห้ามผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไว้เพียงแค่ห้ามตั้งพรรคใหม่และห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น ไม่ได้ระบุว่าโฟนอินเป็นความผิดตามกฎหมาย...” เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียง พ.ต.ท.ทักษิณจะโฟนอินปลุก ส.ส.พรรคเพื่อไทย แต่เขายังร่วมกำหนดนโยบายให้พรรคด้วย โดยนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงปิดการสัมมนา ส.ส.พรรค(3 ก.พ.)ว่า พรรคได้ออกแถลงการณ์เขาใหญ่ ที่ถือเป็นการแสดงจุดยืนของพรรค โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้ตรวจสอบเนื้อหาและแก้ไขให้ในส่วนของนโยบายที่เกี่ยวกับประชาชนในต่างจังหวัดด้วย ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงถึงนโยบายของพรรคที่จะชูในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า หากพรรคได้เป็นรัฐบาล จะให้มีการอภัยโทษคดีอาญาที่เกิดหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 แก่ทุกฝ่าย ส่วนคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาก็จะได้รับการนิรโทษกรรมเช่นกัน เพื่อแก้ปัญหาเสื้อเหลือง-เสื้อแดงต่อต้านรัฐบาล ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ กล่าวถึงนโยบายนิรโทษกรรมของพรรคเพื่อไทยว่า เป็นธรรมดาของคนที่อยู่ในคุกก็อยากขอลดโทษ เช่นเดียวกับคนที่โดนโทษทางกฎหมาย ก็อยากพ้นโทษ แต่ต้องดูว่าสิ่งที่ทำ สร้างความเสียหายให้กับประเทศมากน้อยเพียงใด ขณะที่นายทิวา เงินยวง ส.ส.กทม.และคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ มองว่าเหตุที่พรรคเพื่อไทยชูนโยบายนิรโทษกรรมออกมา เพราะคิดว่าจะมีการยุบสภาในเร็วๆ นี้ จึงหวังตีกินว่าถ้าเลือกตั้งใหม่ ก็จะชูการล้างโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และว่า ส่วนตัวแล้วไม่เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยจะนิรโทษกรรมให้กับคดีความของพันธมิตรฯ ด้วย น่าจะเป็นเพียงการแก้เกี้ยวว่าจะทำเพื่อทุกคนมากกว่า สำหรับความเคลื่อนไหวของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย หลังได้ฟังการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ต่างรู้สึกฮึกเหิมและมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง โดยนายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ถึงกับลุกขึ้นมาประกาศว่า ส.ส.ของพรรคจะทำทุกวิถีทางเพื่อกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง และจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยภายใน 1-2 ปีนี้ และว่า “ต่อไปพวกเราจะทำสงคราม 9 ทัพ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณมอบหมายให้เลือดแท้ตระกูลชินวัตรเข้ามาดูแลพรรค เช่น นายพายัพ (ชินวัตร) และว่า ขณะนี้ ส.ส.ภาคอีสานกว่า 30 คน เตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อพูดคุยและวิเคราะห์ถึงสถานการณ์บ้านเมือง โดยต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางมาประเทศใกล้ๆ อาจจะเป็นประเทศลาวหรือแถวเกาะกง ประเทศกัมพูชา ภายใน 1-2 สัปดาห์...” ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาโต้กรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า ประเทศจีนและญี่ปุ่นได้ขึ้นบัญชีดำห้าม พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศ โดยนอกจากนายสุรพงษ์จะเรียกร้องให้สถานทูตของทั้ง 2 ประเทศประจำประเทศไทย ออกมายืนยันข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวแล้ว ยังเผยด้วยว่า ตนพร้อมด้วยนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ และ ส.ส.อีกคนในกลุ่ม จะเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ฮ่องกงในวันที่ 7-8 ก.พ.นี้ นายสุรพงษ์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ถ้าประเทศจีนไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศจริง แล้วทำไม พ.ต.ท.ทักษิณถึงเดินทางเข้าฮ่องกง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจีนได้
2. “วิฑูรย์”แสดงสปิริต-ไขก๊อก เพื่อปกป้อง “ปชป.” ด้าน “อภิสิทธิ์”ยัน ไม่ปรับ “บุญจง”!
ความคืบหน้ากรณีฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทยยื่นถอดถอนนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ส.ส.พรรคภูมิใจไทย กลุ่มเพื่อนเนวิน กรณีใช้งบกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แจกเงินสงเคราะห์แก่ผู้ยากไร้ พร้อมแจกนามบัตรให้ชาวบ้านด้วย และกรณีนายวิฑูรย์ นามบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ที่ถุงยังชีพของกระทรวงฯ ซึ่งแจกให้ผู้ประสบภัยที่ จ.พัทลุง พบปลากระป๋องเน่าบรรจุอยู่ด้วย โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ขอเวลา 3 วันหลังเดินทางกลับจากสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 1 ก.พ.ว่าจะตัดสินใจอย่างไรกับกรณีที่เกิดขึ้นนั้น ปรากฏว่า นอกจากนายอภิสิทธิ์จะให้โอกาสนายวิฑูรย์ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ยังได้เรียกนายวิฑูรย์เข้าพบเมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ทำเนียบรัฐบาล จากนั้นในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายวิฑูรย์ได้แถลงข่าวลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี โดยยืนยันว่า ได้ตัดสินใจลาออกด้วยตนเอง เพื่อประโยชน์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่รักและเทิดทูน และเพื่อประโยชน์ของนายกฯ จะได้เดินหน้าบริหารบ้านเมืองต่อ พร้อมยืนยันอีกครั้งว่า การแจกถุงยังชีพที่ จ.พัทลุง ตนไม่ได้ทุจริตหรือโกง ยอมรับว่าเจ็บปวด เพราะการดำเนินการต่างๆ นั้น ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และว่า ตนไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง มีมาตรฐานทางจริยธรรมทางการเมือง ซึ่งจะต้องอยู่เหนือกฎหมาย ด้านนายอภิสิทธิ์ แถลงเช่นกันว่า การตัดสินใจครั้งนี้ของนายวิฑูรย์เป็นไปเพื่อให้การทำงานของรัฐบาลมีความราบรื่น และว่า เบื้องต้นจะปรับ ครม.แค่คนเดียว ส่วนกรณีที่ไม่ปรับนายบุญจงนั้น นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า เพราะมีความแตกต่างกัน โดยกรณีของนายวิฑูรย์แม้จะยังไม่มีการใช้เงินของรัฐบาล แต่บังเอิญว่าความเสียหายไปตกอยู่กับประชาชน แต่กรณีของนายบุญจงไม่มีความเสียหายกับประชาชน เพียงแต่มีคนทักท้วงเรื่องความไม่เหมาะสมเท่านั้น ทั้งนี้ ที่ประชุม ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีมติวันเดียวกัน(3 ก.พ.)เสนอชื่อ นายอิสระ สมชัย ส.ส.อุบลราชธานี ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมฯ แทนนายวิฑูรย์ โดยเป็นไปตามการเสนอของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ซึ่งไม่มีผู้ใดคัดค้าน อย่างไรก็ตามได้เกิดเสียงคัดค้านจากองค์กรสตรี โดยนายจะเด็จ เชาน์วิไล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง ให้เหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับการให้นายอิสระ สมชัย เป็นรัฐมนตรีแทนนายวิฑูรย์ว่า เพราะปัญหาปลากระป๋องยังไม่จบ ต้องมีการตรวจสอบต่อ หากนำ ส.ส.กลุ่มเดียวกับนายวิฑูรย์มาเป็นรัฐมนตรี จะยิ่งซ้ำรอย ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข นายจะเด็จ ยังจี้ให้นายวิฑูรย์ออกมาเผยด้วยว่า มีข้าราชการระดับสูงคนใดเกี่ยวข้องกับเรื่องปลากระป๋องบ้าง พร้อมชี้ว่า นายวัลลภ พลอยทับทิม ปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ก็ควรแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาปลากระป๋องด้วย ขณะที่ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้นำทีมยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง(4 ก.พ.)ว่า รัฐมนตรีและปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมฯ รวมทั้งบริษัท ทองกิ่งแก้ว ฟู้ดส์ ผู้ผลิตปลากระป๋อง “ชาวดอย”ที่ก่อปัญหา และบริษัท ไทย เอ ดี ฟู้ดส์ ผู้จำหน่ายปลากระป๋องดังกล่าว มีความผิดตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ฐานละเมิดจัดหาสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่มีความปลอดภัย พร้อมเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งหมดให้แก่ผู้บริโภคจำนวน 1 ล้านบาท ส่วนกรณีนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ที่ถูกพรรคเพื่อไทยและนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.และ กกต.ตรวจสอบกรณีแจกเงินสงเคราะห์ของกระทรวงพัฒนาสังคมฯ และนามบัตรแก่ชาวบ้านที่ จ.นครราชสีมาว่าเข้าข่ายขัด รธน.มาตรา 266 หรือไม่นั้น ปรากฏว่า กกต.ได้มีมติ(3 ก.พ.)ให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยเรื่องคัดค้านและปัญหาหรือข้อโต้แย้งคณะที่ 14 ที่มี พล.อ.ยอดชาย เทพยสุวรรณ เป็นประธานสอบเรื่องนี้แล้ว โดยให้สอบให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ขณะที่ ป.ป.ช.ก็มีมติ(5 ก.พ.)รับพิจารณาคำร้องของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่กล่าวหานายบุญจงเรื่องแจกเงินสงเคราะห์และนามบัตรว่าเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่แล้ว หลังเห็นว่าเรื่องนี้มีมูล โดยคาดว่าจะตั้งอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนกรณีดังกล่าวในวันที่ 10 ก.พ. ด้านนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย ยืนยัน พรรคจะไม่มีการปรับนายบุญจงออกจากตำแหน่ง และไม่ต้องคุยกับนายกฯ เพราะถือว่าเป็นการประกาศเจตนารมณ์ผ่านสื่อแล้ว และคงไม่ใช่เรื่องที่นายกฯ เกรงใจกลุ่มเพื่อนเนวิน เพราะการบริหารประเทศต้องว่าไปตามกฎหมาย หากกฎหมายเห็นว่าผิดก็ต้องว่ากันไป นายชวรัตน์ ยังบอกด้วยว่า นายบุญจงได้จัดทำคำชี้แจงกรณีแจกเงินและนามบัตรเป็นสมุดปกขาวไว้เตรียมชี้แจงต่อ ป.ป.ช.และ กกต.แล้ว ทั้งนี้ ไม่เพียงพรรคเพื่อไทยได้ยื่นให้ ป.ป.ช.สอบกรณีนายบุญจง แต่ยังยื่นให้ ป.ป.ช.สอบ กกต.ด้วย(5 ก.พ.) โดยกล่าวหาว่า กกต.ทั้ง 5 คนมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีไม่ดำเนินคดีอาญานายบุญจง ที่ กกต.เคยมีมติให้ดำเนินคดีอาญาข้อหาใส่ร้ายป้ายสีผู้สมัครอื่น(พรรคเพื่อแผ่นดิน)ให้ได้รับความเสียหายและแจกวีซีดี พ.ต.ท.ทักษิณปราศรัยหาเสียงแก่ประชาชนช่วงก่อนเลือกตั้ง 23 ธ.ค.2550 ด้านนายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม ยืนยันว่า กกต.ไม่ได้ดองคดีนายบุญจง แต่เหตุที่ดำเนินคดีอาญานายบุญจงล่าช้า เพราะ กกต.มีเรื่องร้องเรียนค้างอยู่ประมาณ 900 เรื่อง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคำร้องก็ไม่เพียงพอ ขณะที่การร่างคำวินิจฉัยและการลงนามคำวินิจฉัยของ กกต.ก็ต้องใช้เวลา ยอมรับว่าการทำงานของ กกต.มีความล่าช้า และพร้อมให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ ทั้งนี้ ล่าสุด กกต.ได้มีหนังสือสั่งการไปยัง กกต.ประจำจังหวัดนครราชสีมา ให้แจ้งความดำเนินคดีอาญานายบุญจงแล้ว ด้าน กกต.นครราชสีมา หลังจากได้รับหนังสือจาก กกต.ในวันที่ 6 ก.พ.แล้ว ก็รีบเข้าแจ้งความต่อ สภ.จักราชในคืนวันเดียวกัน โดยระบุว่า การกระทำของนายบุญจงเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 มาตรา 53(1) และ (5) มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงและ นปช.นั้น หลังจากเคลื่อนขบวนไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลเมื่อคืนวันที่ 31 ม.ค.เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทำตามข้อเรียกร้อง 4 ข้อ คือ ดำเนินคดีกลุ่มพันธมิตรฯ ฐานปิดสนามบิน ,ปลดนายกษิต ภิรมย์ พ้นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ,นำ รธน.ปี 2540 มาใช้แทน รธน.ปี 2550 และประกาศยุบสภา โดยให้เวลา 15 วันนั้น ล่าสุด นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.เผยว่า ได้เตรียมจัดงาน “วันแห่งความรักประชาธิปไตย”ที่วัดเวฬุวนาราม ในวันที่ 14 ก.พ.นี้ นอกจากเพื่อเป็นการสังสรรค์ก่อนออกรบแล้ว ยังเป็นการระดมทุนเพื่อสะสมเสบียงกรังก่อนออกศึกที่อาจจะยาวนานอีกด้วย
3. โยกนายพลสีกากี-เด้ง “สุชาติ”พ้น ผบช.น.ตามคาด ด้าน “ผู้การเชียงใหม่”โดนด้วย เซ่นพิษเสื้อแดง!
เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง เป็นประธาน ได้พิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ โดยมี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) รวมทั้งรอง ผบ.ตร.และ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ทั้งนี้ มีรายงานว่า บรรยากาศการประชุมค่อนข้างเครียด เมื่อมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ที่ว่างอยู่ 1 ตำแหน่ง แต่ไม่สามารถสรุปได้ว่าใครจะเป็นผู้เหมาะสม เนื่องจากที่ประชุมเสียงแตก โดยมีข่าวว่า พล.ต.อ.พัชรวาท เสนอชื่อ พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ให้เป็นรอง ผบ.ตร. แต่คณะกรรมการ ก.ตร.หลายคนไม่เห็นด้วย และเสนอชื่อ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้เป็นรอง ผบ.ตร. ขณะที่คณะกรรมการบางคนติงว่า บัญชีรายชื่อไม่ปัจจุบัน โดยมองว่า ผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่อาวุโสอันดับ 1 ต้องเป็น พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อหาข้อยุติไม่ได้ ที่ประชุมจึงพักการแต่งตั้งตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ไว้ก่อน และพิจารณาโยกย้ายเฉพาะตำแหน่งในระนาบเดียวกัน สำหรับรายชื่อโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่ผ่านความเห็นชอบจาก ก.ตร.แล้วมีทั้งสิ้น 72 นาย โดยรายชื่อที่น่าสนใจได้แก่ พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู จเรตำรวจ (สบ8) นรต.27 สามีนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู หรือแม่เลี้ยงติ๊ก ที่ปรึกษารัฐมนตรีสาธารณสุข ได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) ขณะที่ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.ก.โยกไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.)แทน พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว นรต.26 เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกโยกไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ,พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รองผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเคยสอบสวนการทุจริตเลือกตั้งกรณีนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนจนโดนใบแดง แต่ต่อมา พล.ต.ต.ชัยยะ ได้ถูกรัฐบาลนายสมัครโยกออกจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล(รอง ผบช.ส.)นั้น ปรากฏว่า การโยกย้ายคราวนี้ พล.ต.ต.ชัยยะได้กลับมาเป็นรอง ผบช.ส.อีกครั้ง ด้าน พล.ต.ต.สุเทพ เดชรักษา ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.เชียงใหม่ ที่ไม่สามารถควบคุมกลุ่มเสื้อแดงใน จ.เชียงใหม่ไม่ให้ไปทำร้ายผู้อื่นได้ ปรากฏว่า ถูกโยกไปเป็นผู้บังคับการกองอำนวยการจเรตำรวจ(ผบก.อก.จต.) ขณะที่ พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บังคับการกองอำนวยการตำรวจภูธรภาค 3(ผบก.อก.ภ.3) โยกมาเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.เชียงใหม่แทน ทั้งนี้ การที่ที่ประชุม ก.ตร.ยังไม่สามารถพิจารณาตำหน่งรอง ผบ.ตร.ได้ ทำให้การแต่งตั้งระดับผู้ช่วย ผบ.ตร.ถึงผู้บังคับการที่เกี่ยวโยงกันรวม 10 ตำแหน่งต้องสะดุดไปด้วย โดยจะมีการพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไปวันที่ 13 ก.พ.
4. “ก.ยุติธรรม”ตีแสกหน้า “ตร.”-พบหลักฐานใหม่ ชี้เหตุเผาซานติก้า มาจากเอฟเฟคต์ ไม่ใช่พลุ!
ความคืบหน้าการดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องกับเหตุเพลิงไหม้ซานติก้า ผับ เมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค.ต่อเนื่อง 1 ม.ค.จนมีผู้เสียชีวิต 66 ศพ และบาดเจ็บกว่า 200 คน ซึ่ง พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.) ได้นำทีมแถลงจับกุมนายสราวุธ อะริยะ อายุ 28 ปี นักร้องนำวงเบิร์น เมื่อวันที่ 27 ม.ค. โดยระบุว่านายสราวุธเป็นคนจุดพลุในคืนเกิดเหตุ ทำให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ในที่สุด พร้อมยืนยันว่า งานนี้ไม่มีการจับแพะแน่นอน แต่ปรากฏว่า ตำรวจต้องหน้าแตก เมื่อนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แถลงข่าวผลการตรวจสอบของกระทรวงยุติธรรมกรณีเพลิงไหม้ซานติก้า ผับ(2 ก.พ.) โดยมีหลักฐานใหม่เป็นภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิดที่ถูกเพลิงไหม้และตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ซึ่งเห็นชัดเจนว่าเพลิงไหม้เกิดจากการยิงเอฟเฟคต์บนเวทีซึ่งจุดชนวนด้วยไฟฟ้า ก่อนจะเกิดเพลิงไหม้บนฝ้าเพดานและลุกลามอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เกิดจากนักร้องนำวงเบิร์นใช้ไฟแช็กจุดพลุตามที่ พล.ต.อ.จงรักและพนักงานสอบสวนระบุแต่อย่างใด นายพีระพันธุ์ เผยด้วยว่า ผลตรวจสอบเบื้องต้นพบความผิดหลายประเด็น ดังนั้นจะเสนอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ และว่า จากการตรวจสอบห้องพักเจ้าหน้าที่และห้องพักนักดนตรี พบผงเฮโรอีนและโคเคนปนเปื้อนอยู่บนสายรัดเงิน โซฟา ตู้เอกสาร และลิ้นชักต่างๆ จึงเชื่อว่า ซานติก้า ผับ มีการซื้อขายยาเสพติด โดยมอบหมายให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.)สอบสวนขยายผลต่อไป นอกจากนี้ยังสั่งการให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)สอบสวนประเด็นการฟอกเงินด้วย เนื่องจากผลการตรวจสอบทางบัญชี พบการโอนเงินเข้ามาในซานติก้า ผับ จำนวน 20 ล้านบาท โดยอ้างว่า บริษัทจำหน่ายสุราแห่งหนึ่งมอบให้ แต่เมื่อสอบถามไปยังบริษัทดังกล่าว กลับปฏิเสธว่าไม่เคยมอบเงินสดให้ จะมีก็เพียงโปรโมชั่นอื่นๆ นายพีระพันธุ์ ยังแฉด้วยว่า กรณีที่นายสุริยา ฤทธิ์ระบือ ถูกระบุว่าเป็นผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ เจ้าของ “ซานติก้า ผับ”นั้น จากการตรวจสอบพบว่า ประกอบอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และทำหน้าที่เป็นเด็กรับรถในลานจอดรถยนต์ รวมทั้งมีประวัติเสพยาเสพติด รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เผยด้วยว่า จากการตรวจสอบพบว่า ซานติก้า ผับไม่เคยเสียภาษีสรรพสามิตเลยตลอดระยะเวลาที่เปิดให้บริการนาน 5 ปี นอกจากนี้ยังพบว่ามีการปลอมลายเซ็นของสถาปนิกผู้ออกแบบ และวิศวกรผู้คุมงานก่อสร้าง จึงเชื่อว่า อาจเป็นขบวนการปลอมแปลงใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร เพราะมีการใช้ชื่อวิศวกรคนดังกล่าวไปยื่นขออนุญาตก่อสร้างอาคารอีก 33 แห่ง จึงต้องประสานกับ กทม.ให้ตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ด้าน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. ยืนยัน การที่ผลตรวจสอบของตำรวจและกระทรวงยุติธรรมไม่ตรงกัน ไม่ถือว่าตำรวจเสียหน้า และไม่ได้มีความขัดแย้งกัน แต่เป็นเรื่องของการรับฟังพยานวัตถุและพยานบุคคล และว่า ที่ผ่านมาตำรวจได้ขออนุมัติหมายจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดไปตามพยานบุคคลผู้รู้เห็นเหตุการณ์ ซึ่งศาลเองก็ได้อนุมัติหมายจับให้ ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไร ก็ต้องให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัย จึงไม่อยากให้ใครมาชี้ถูกชี้ผิดกันในขณะนี้ ขณะที่นายสราวุธ อะริยะ นักร้องนำวงเบิร์น ซึ่งถูกตำรวจระบุว่าเป็นมือจุดพลุจนทำให้เกิดเพลิงไหม้ซานติก้า ผับ เผยว่า รู้สึกใจชื้นขึ้นอีกเยอะหลังกระทรวงยุติธรรมพบหลักฐานใหม่ พร้อมยืนยันว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องในการจุดพลุเอฟเฟคต์ เพราะการจุดนั้นจะต้องใช้สวิตช์จุด ต้องมีคอนโทรลจากที่อื่น เราไม่ได้ควบคุมระบบกันเอง และว่า วันนั้นตนไม่ได้ถืออะไรเลย เพราะของพวกนั้นไม่ได้เล่นอยู่แล้ว ด้านนางสิรินุช พิศลยบุตร อธิบดีกรมสรรพสามิต ชี้แจงกรณีที่ซานติก้า ผับ ไม่เคยเสียภาษีสรรพสามิตเลยตลอด 5 ปีที่เปิดดำเนินการว่า เนื่องจากซานติก้า ผับ แจ้งมายังกรมสรรพสามิตว่าเป็นร้านอาหาร และจากการเข้าตรวจพื้นที่ก็พบว่ามีลักษณะเป็นร้านอาหาร เนื่องจากมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งวางเต็มพื้นที่ โดยไม่มีพื้นที่ใดบ่งบอกว่าจะเข้าเกณฑ์เป็นสถานที่เต้นรำ จึงยืนยันว่า ไม่ต้องเรียกเก็บภาษีสถานบันเทิง
5. “สุขุมพันธุ์”เสียใจ ฟ้องยกเลิกสัญญารถดับเพลิงไม่ได้ หลังอัยการค้าน ส่งผลต้องจ่ายค่างวดอีก 750 ล.!
เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.แถลงความคืบหน้ากรณีมีแนวคิดฟ้องศาลแพ่งเพื่อยกเลิกสัญญาซื้อขายรถและเรือดับเพลิงมูลค่า 6,687 ล้านบาท ของ กทม.กับบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียลฟาห์ซอย จำกัด ประเทศออสเตรียว่า หลังจากทำหนังสือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 26 ม.ค. เพื่อหารือแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยได้ลงนามให้อัยการมีคำสั่งยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อให้มีคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนสัญญาซื้อขายอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)แจ้งข้อกล่าวหาว่าสัญญาซื้อขายดังกล่าวมีปัญหา และขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ธนาคารกรุงไทยระงับการจ่ายเงินค่างวดที่ 5 จำนวน 750 ล้านบาทในวันที่ 10 ก.พ.นี้ ปรากฏว่า ทางสำนักงานอัยการสูงสุดยังไม่ได้ทำหนังสือตอบ กทม.แต่อย่างใด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยังชี้ด้วยว่า เรื่องรถและเรือดับเพลิงถือว่าเป็นฝันร้ายของคน กทม.ทุกคน ไม่เฉพาะผู้บริหาร กทม.เท่านั้น ดังนั้นเมื่อได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็ต้องทำให้ทุกคนพ้นจากฝันร้ายตรงนี้ไปให้ได้ แม้ว่าการดำเนินการวิธีนี้ ท้ายสุดจะถูกฟ้องร้องก็พร้อมรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าสุดท้ายจะถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายเนื่องจากต้องชดใช้ทุกอย่างก็ยอม แต่การรับผิดชอบคงไม่ถึงขั้นจะลาออกจากตำแหน่ง ด้านนายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีที่ กทม.ทำหนังสือขอให้อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อให้ยกเลิกสัญญาซื้อขายรถและเรือดับเพลิง พร้อมขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ธนาคารกรุงไทยระงับการจ่ายเงินค่างวดตามสัญญาดังกล่าวว่า อัยการได้เตรียมประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าวในวันที่ 5 ก.พ. อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้คณะทำงานอัยการได้พิจารณาหนังสือของ กทม.แล้ว พร้อมส่งความเห็นให้นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว โดยมีความเห็นว่า กทม.ยังไม่ควรฟ้องยกเลิกสัญญาซื้อขายกับบริษัท สไตเออร์ฯ เพราะเป็นการกระทำที่ข้ามขั้นตอน เนื่องจากในสัญญาซื้อขายระบุว่า หากเกิดปัญหาข้อพิพาทระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องตั้งผู้แทนมาเจรจาและส่งเรื่องไปที่หอการค้าปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อตั้งคณะอนุญาโตตุลาการขึ้นมาทำหน้าที่ชี้ขาดข้อพิพาทก่อน และว่า หาก กทม.จะให้อัยการฟ้องยกเลิกสัญญาดังกล่าวซึ่งเป็นคดีแพ่ง จะส่งผลต่อคดีอาญาที่อาจทำให้สามารถดำเนินคดีกับนายโภคิน พลกุล อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้เซ็นลงนามในสัญญาซื้อขายหรือเอโอยูได้เพียงคนเดียว ส่วนนายสมัคร สุนทรเวช และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม.รวมทั้งข้าราชการคนอื่นๆ อาจไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบ เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้ลงนาม ซึ่งหากทำเช่นนั้น อาจสร้างความเสียหายได้ เพราะคดีนี้เป็นคดีอาญาเกี่ยวเนื่องกับคดีแพ่ง ดังนั้นควรรอผลทางคดีอาญาก่อน แล้วค่อยดำเนินคดีแพ่ง เนื่องจากหากยื่นฟ้องไปแล้ว ศาลไม่เห็นด้วย จะเกิดผลเสียอย่างร้ายแรง ซึ่ง กทม.จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แล้ว กทม.จะรับผิดชอบไหวหรือไม่ ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.บอก(5 ก.พ.)ว่า หากท้ายที่สุดอัยการและ กทม.มีความเห็นสวนทางกัน กทม.ในฐานะนิติบุคคลก็สามารถฟ้องศาลขอความคุ้มครองการจ่ายเงิน รวมทั้งฟ้องศาลขอเลิกสัญญาได้เอง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ประกาศด้วยว่า ไม่ว่าตนจะตัดสินทางใด ยืนยันว่าไม่ได้คิดช่วยเหลือนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม.แน่นอน วันต่อมา(6 ก.พ.) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้เรียกประชุมคณะทำงานฝ่ายการเมืองและฝ่ายกฎหมายเพื่อพิจารณาหนังสือที่สำนักงานอัยการสูงสุดตอบข้อหารือของ กทม.แล้วว่า ไม่สามารถยื่นฟ้องคดีแพ่งเพื่อยกเลิกสัญญาซื้อขายรถและเรือดับเพลิงได้ รวมทั้งไม่สามารถฟ้องศาลเพื่อคุ้มครองชั่วคราวให้ธนาคารกรุงไทยระงับการจ่ายเงินค่างวดที่ 5 ได้ ทั้งนี้ หลังประชุม ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ แถลงว่า หนังสือตอบข้อหารือของสำนักงานอัยการสูงสุด ส่งผลให้ กทม.เห็นควรยังไม่ฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อให้ยกเลิกสัญญาการซื้อขายรถและเรือดับเพลิง เนื่องจากการพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลจะถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา นอกจากนี้หาก กทม.ยืนยันให้สำนักงานอัยการสูงสุดยื่นฟ้องต่อศาลโดยไม่รอผลการพิจารณาของคณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช.กับอัยการเกี่ยวกับคดีรถและเรือดับเพลิงที่ยังมีข้อไม่สมบูรณ์ อาจเกิดความเสียหายกับ กทม.ในภายหลังได้ และว่า แม้ กทม.จะต้องจ่ายเงินค่างวดให้บริษัท สไตเออร์ฯ ไปก่อน แต่หากปรากฏข้อยุติในภายหลังว่า สัญญาไม่มีผลตามกฎหมาย กทม.ก็สามารถฟ้องเรียกเงินคืนได้ รวมทั้งไล่เบี้ยเอาจากผู้ที่ต้องรับผิดชอบได้ด้วย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยืนยันด้วยว่า จะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ กทม.ได้รับความเสียหายเพิ่มเติม โดยระหว่างนี้ตนขอให้กำลังใจคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการกับ ป.ป.ช.ให้เร่งรัดพิจารณาคดีรถและเรือดับเพลิงให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพื่อให้ กทม.มีเวลาตัดสินใจว่า กทม.จะต้องทำอย่างไรต่อไปก่อนจะถึงการจ่ายเงินค่างวดที่ 6 ซึ่งเป็นงวดสุดท้ายในวันที่ 6 ส.ค. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยังแสดงความเสียใจที่ไม่สามารถยับยั้งการจ่ายเงินค่างวดที่ 5 ในวันที่ 10 ก.พ.นี้ได้ โดยยืนยันว่า ตนได้ทำเต็มที่แล้วนับตั้งแต่วันที่ตนได้เข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.