xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 8-14 ธ.ค.2551

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. พระอาการประชวร“ในหลวง”ดีขึ้นเป็นลำดับ –คณะแพทย์ขอให้ทรงพักพื้นพระวรกายอีกระยะหนึ่ง!

เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. สำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ถึงความคืบหน้าพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า พระอาการโดยทั่วไปดีขึ้นเป็นลำดับ พระปรอท(ไข้)ลดลงอีก จนบางเวลาถึงระดับปกติ เจ็บพระศอน้อยลง เสวยพระกระยาหารอ่อนได้ ผลการตรวจพระโลหิตเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.แสดงว่าการอักเสบลดลง ต่อมาวันที่ 8 ธ.ค. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 ซึ่งเป็นฉบับสุดท้ายว่า พระปรอทลดลงเป็นปกติแล้ว ยังทรงพระกรรสะ(ไอ)เล็กน้อย เสวยพระกระยาหารอ่อนได้มากขึ้น ทำให้มีกำลังพระวรกายเพิ่มขึ้น คณะแพทย์ได้ขอพระราชทานงดถวายน้ำเกลือผสมน้ำตาลและพระโอสถปฏิชีวนะ ผลการตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยาของพระโลหิตและพระเสมหะ บ่งว่าไม่พบเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียที่ก่อโรครุนแรงในระบบการหายใจ คณะแพทย์ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า พระอาการประชวรจะดีขึ้นเป็นลำดับ และได้ขอพระราชทานให้พักฟื้นพระวรกายต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง จนกว่าพระอาการประชวรจะหายเป็นปกติ

2. “ประชา”กลับคำ พร้อมชิงนายกฯ กับ “อภิสิทธิ์”ตามบัญชา “ป๋าเหนาะ”อ้าง รบ.เพื่อชาติ!
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เพิ่งแถลงยืนยันหลังได้รับเลือกเป็น หน.พรรค พผ.ว่า ตนจะไม่เป็นนายกฯ คนที่ 27 แต่วันนี้กลับจะเป็นคู่ชิงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หน.พรรค ปชป.
หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคพลังประชาชน-พรรคชาติไทย-พรรคมัชฌิมาธิปไตย ส่งผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.สัดส่วนและ กก.บห.พรรคพลังประชาชน ต้องพ้นจากการเป็นนายกฯ ทันที เช่นเดียวกับรัฐมนตรีอีก 13 คนที่ต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากเป็น กก.บห.พรรคของทั้ง 3 พรรคที่ถูกยุบ จึงถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ส่งผลให้มีรัฐมนตรีเหลืออยู่ในรัฐบาลปัจจุบันแค่ 22 คน ซึ่งต้องอยู่รักษาการจนกว่าจะมีการเลือกนายกฯ คนใหม่และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดย 4 พรรคร่วมรัฐบาล(พรรคเพื่อแผ่นดิน-พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา-พรรคชาติไทยพัฒนาหรือพรรคชาติไทยเดิม-พรรคภูมิใจไทยหรือพรรคมัชฌิมาธิปไตยเดิม) พร้อมด้วย ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน 37 คน ได้ตัดสินใจหนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลตามที่หลายฝ่ายในสังคมเสนอ โดยมีการเปิดแถลงข่าวร่วมกันเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.นั้น ปรากฏว่า ทางพรรคเพื่อไทยหรือพรรคพลังประชาชนเดิมก็พยายามที่จะดึง ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวินทั้ง 37 คนกลับเข้าพรรคเพื่อให้ตัวเองได้จัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน โดยนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภริยานายสมชาย ได้เป็นประธานประชุมสมาชิกพรรคเพื่อไทยและบัญชาเรื่องนี้ด้วยตนเองเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. และมอบหมายให้ ส.ส.แต่ละจังหวัดของพรรค ที่สนิทสนมกับ ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวินเดินสายเจรจาและโทรศัพท์ติดต่อให้ ส.ส.เหล่านั้นกลับเข้าพรรคให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยยังได้เดินเกมให้พรรคร่วมรัฐบาลกลับมาจับมือกับพรรคเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ด้วยการยื่นข้อเสนอให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดิน ขึ้นเป็นนายกฯ หลังจากเคยยื่นข้อเสนอให้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ จากพรรคชาติไทยขึ้นเป็นนายกฯ แต่ไม่สำเร็จ ด้านแกนนำ นปช.(นายวีระ มุสิกพงศ์-นายจตุพร พรหมพันธุ์-นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) นอกจากจะพยายามทำลายความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่าไม่มีสิทธิที่จะเป็นนายกฯ เพราะเคยหนีทหารแล้ว ยังอ้างว่า ความพยายามจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์เป็นการรัฐประหารซ่อนรูป เพราะพรรคร่วมรัฐบาลได้ไปพบ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ก่อนจับมือพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล จึงถือว่าการจัดตั้งรัฐบาลอยู่ภายใต้การอำนวยการของทหาร อย่างไรก็ตาม พล.อ.อนุพงษ์ ได้ออกมาปฏิเสธในเวลาต่อมาว่า กองทัพไม่ได้แทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาลแต่อย่างใด โดยบอกว่า “มีบางคนโทรศัพท์มาถาม บางส่วนมาขอพบ ได้พูดไปในลักษณะที่ว่า อยู่ที่ท่านจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ประเทศชาติมีความเรียบร้อย การเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งได้ให้ข้อคิดเห็นเท่านั้น” ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงกรณีที่แกนนำ นปช.กล่าวหาเรื่องหนีทหารว่า “ตนได้ชี้แจงไปหลายครั้งแล้วว่า ช่วงนั้นไปศึกษาอยู่ในต่างประเทศ จากนั้นก็มาสอนหนังสือที่โรงเรียนนายร้อย จปร.จนติดยศร้อยตรี จึงไม่กังวลว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคทำให้ไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรี” จากนั้น วันที่ 8 ธ.ค.พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้เข้าชื่อ ส.ส.1 ใน 3 ของ ส.ส.ในสภาทั้งหมด ยื่นต่อประธานสภาฯ เพื่อขอให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อให้มีการเลือกนายกฯ คนใหม่ ด้านพรรคเพื่อไทยก็ไม่ยอมน้อยหน้า โดยได้ยื่นรายชื่อ ส.ส.ต่อประธานสภาฯ เพื่อให้มีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อเลือกนายกฯ เช่นกัน กระทั่ง 3 วันต่อมา(11 ธ.ค.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อเลือกนายกฯ คนใหม่ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ สำหรับท่าทีของ ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวินที่หันไปหนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลนั้น แม้พรรคเพื่อไทยจะพยายามเจรจาให้กลับไปอยู่ด้วยกัน แต่ดูจะไม่เป็นผล สังเกตได้จากนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา และแกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ยืนยันว่า ทางกลุ่มจะไม่กลับไปร่วมกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน เพราะยืนยันชัดเจนแล้วว่า “ถอยเป็นหมา เดินหน้าเพื่อชาติ” ขณะที่นายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม กลุ่มเพื่อนเนวิน ยอมรับ(8ธ.ค.)ว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยโทรศัพท์ถึงนายเนวิน ชิดชอบ เพื่อให้นำกลุ่มกลับเข้าพรรค แต่นายเนวินบอกว่า “มันจบแล้วครับนาย วันนี้เดินมาไกลแล้ว ต่างคนต่างทำงานการเมืองกันไปก็แล้วกัน” อย่างไรก็ตาม หลังพรรคเพื่อไทยไม่สามารถดึงกลุ่มเพื่อนเนวินกลับเข้าพรรคได้ ก็เริ่มใช้มวลชนคนเสื้อแดงกดดัน ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน เช่น ไปปิดล้อมบ้าน นำพวงหรีดสีดำไปแขวนไว้หน้าบ้าน เผาหุ่นและโลงศพประท้วง ไม่เท่านั้นยังหนักข้อถึงขั้นข่มขู่คุกคามด้วยการปาระเบิดใส่บ้านพัก ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ที่นครราชสีมา โดยคนร้ายปาระเบิดแบบสังหารชนิดเอ็ม 26 เข้าไปในรั้วบ้าน โชคดีระเบิดไม่ทำงาน ขณะที่เจ้าของบ้าน ยืนยัน ไม่หวั่นไหว จะเดินตามแนวทางเดิมต่อไป จะขอทำเพื่อประเทศชาติ และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้านพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ได้นำลูกพรรคเดินสายมอบดอกไม้ขอบคุณหัวหน้าและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่หนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล ประเดิมด้วยการเข้าพบนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย และนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตยเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. วันต่อมา(9 ธ.ค.)เข้าพบนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และ พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ ภริยา เพื่อขอบคุณที่พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาหนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล จากนั้นวันเดียวกันก็เข้าพบนายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน และอดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทย ที่โรงแรมสยามซิตี เพื่อขอบคุณที่ทางกลุ่มฯ หนุนพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ทันทีที่พบหน้านายเนวิน นายอภิสิทธิ์ได้ยกมือไหว้ ส่วนนายเนวินได้โผเข้ากอดนายอภิสิทธิ์ ทั้งนี้ ระหว่างหารือ นายเนวินยืนยันว่า “อยากให้พรรคประชาธิปัตย์สบายใจได้ว่า จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากวันนี้จนถึงวันโหวตเลือกนายกฯ นี่คือสัญญาของลูกผู้ชาย และให้สบายใจได้ว่า แม้จะมีพรรคการเมืองอื่นไปร่วมรัฐบาล แล้วเหลือพรรคประชาธิปัตย์ ผมก็จะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ...อยากบอกคุณอภิสิทธิ์ว่า อย่าให้ความสูญเสียและความเจ็บปวดของพวกผมนั้นสูญเปล่า ซึ่งเป็นความหวังและตั้งใจของผม ที่ยอมเสียเพื่อน เสียพรรค เสียนาย มาร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์” ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทย(เช่น สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ ,ประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ)ทนเห็นภาพบาดใจที่นายเนวินสวมกอดนายอภิสิทธิ์ไม่ไหว จึงยื่นให้ กกต.สอบนายอภิสิทธิ์และนายเนวินว่าทำผิดกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ดึงผู้ที่ถูกตัดสิทธิมาทำกิจกรรมทางการเมือง พร้อมกันนี้ยังได้เตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เนื่องจากนายอภิสิทธิ์จับมือกับผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการยื่นเรื่องให้ยุบพรรคเพื่อไทยบ้าง เพราะผู้ที่ถูกตัดสิทธิเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยเช่นกัน นายประชา กลับตอบหน้าตาเฉยว่า “คนละกรณีกัน เพราะของพรรคเพื่อไทยทำอย่างลับๆ ล่อๆ ผลุบๆ โผล่ๆ ไม่เปิดเผย แต่กรณีนายเนวินทำอย่างเปิดเผยชัดเจน” ส่วนท่าทีของพรรคเพื่อแผ่นดินนั้น แม้ตอนแรกจะมีแกนนำพรรคไปร่วมแถลงจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ในการจัดตั้งรัฐบาล ขณะเดียวกันทางพรรคเพื่อไทยก็พยายามดึงพรรคเพื่อแผ่นดินมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วยการเสนอให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดินเป็นนายกฯ นั้น ปรากฏว่า หลัง พล.ต.อ.ประชาได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินคนใหม่(9 ธ.ค.)แทนนายสุวิทย์ คุณกิตติ ที่ลาออก พล.ต.อ.ประชา ก็ได้แถลงว่า “ให้ฟันธงเลยไหมครับ ผมไม่เลือกข้าง แต่ผมขอเรียนให้ทราบว่า ตำแหน่งนายกฯ คนที่ 27 ผมขอปฏิเสธ” ด้านพรรคเพื่อไทย หลังมองเกมว่าตนเองเป็นรองพรรคประชาธิปัตย์ในการจัดตั้งรัฐบาล จึงได้เดินเกมให้นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ช่วยประสานพรรคร่วมรัฐบาลเดิมทั้ง 5 พรรคให้มาสนับสนุนพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล โดยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ได้นำ ส.ส.ส่วนหนึ่งเข้าพบนายเสนาะเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. หลังจากนั้นนายเสนาะก็ได้ออกมาชูแนวคิด “รัฐบาลเพื่อชาติ” โดยบอกว่า สถานการณ์ขณะนี้ นายกฯ เป็นคนของพรรคเพื่อไทยไม่ได้ และเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะปัญหาจะไม่จบ ดังนั้นต้องคนของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นนายกฯ คือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จากพรรคเพื่อแผ่นดิน จากนั้นนายเสนาะ ก็นัดแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งพรรคเพื่อไทยมาหารือที่บ้านพักเมืองทองธานีของตนเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. แต่ในที่สุดก็ล่ม เนื่องจากไม่มีแกนนำพรรคใดเข้าร่วม ยกเว้นพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว เพราะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่ ยืนยันจะหนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลตามที่ได้แถลงร่วมกันไว้ ด้านนายเสนาะ ยืนยันไม่ล้มแนวคิดรัฐบาลเพื่อชาติ พร้อมประกาศว่า จะเสนอชื่อ พล.ต.อ.ประชาต่อที่ประชุมสภาฯ ให้เป็นนายกฯ ด้านว่าที่ ร.ต.พงศ์พันธุ์ สุนทรชัย ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ออกมาเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โทรศัพท์ประสานแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลด้วยตนเอง และว่า พล.ต.อ.ประชา หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน และ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ตอบรับว่าจะอยู่กับพรรคเพื่อไทยแน่นอน ด้านนายเสนาะ ก็ยืนยัน(12 ธ.ค.)ว่า พล.ต.อ.ประชายืดอกรับตำแหน่งนายกฯ ตามที่ตนเสนอแล้ว เพราะต้องการให้ประเทศชาติบ้านเมืองเรียบร้อย ขณะที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันในวันเดียวกันว่า พรรคมีความมั่นใจในเสียงที่จะจัดตั้งรัฐบาล ส่วนเรื่องนายกฯ คนใหม่พรรคไม่ขอยุ่งเกี่ยวว่าจะเป็นบุคคลใด เพราะมอบอำนาจให้นายเสนาะไปแล้ว ขณะที่นายเสนาะออกมาย้ำอีกครั้ง(13 ธ.ค.)ว่า ขณะนี้ทุกอย่างเรียบร้อย พล.ต.อ.ประชายินดีรับตำแหน่งนายกฯ ในรัฐบาลเพื่อชาติ นายเสนาะ ยังบอกด้วยว่า หากการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อชาติสำเร็จ ต้องเชิญพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมทำงานด้วย เพื่อให้เป็นไปตามแนวคิดการแก้ไขวิกฤตชาติอย่างแท้จริง โดยไม่แบ่งพรรคแบ่งฝ่าย ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.ต.อ.ประชาได้นัดพบหารือกับ ส.ส.กลุ่มอิสระที่หนุนให้พรรคเพื่อแผ่นดินจับขั้วกับพรรคเพื่อไทยเพื่อตั้งรัฐบาล และให้ตนเป็นนายกฯ โดย พล.ต.อ.ประชาพร้อมรับตำแหน่ง แต่มีเงื่อนไขว่า ตนต้องมีอิสระในการเสนอชื่อ ครม.โดยไม่คำนึงถึงระบบโควต้าแบบการเมืองเก่าๆ และที่สำคัญ ต้องเชิญพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมเป็นรัฐบาลด้วย ล่าสุดวันนี้(14 ธ.ค.) ที่ประชุมพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา มีมติเอกฉันท์หนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลและหนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ แต่ทางพรรคเพื่อแผ่นดินยังเสียงแตก โดยส่วนหนึ่งหนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งหนุน พล.ต.อ.ประชาเป็นนายกฯ โดยนายประพัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน มั่นใจว่า ในการโหวตเลือกนายกฯ พรุ่งนี้(15 ธ.ค.) พล.ต.อ.ประชา จะได้เสียงหนุนมากกว่านายอภิสิทธิ์ประมาณ 10 เสียง ขณะที่นายไชยยศ จิรเมธากร แกนนำกลุ่มวังพญานาค พรรคเพื่อแผ่นดิน บอกว่า หาก พล.ต.อ.ประชา ไม่ถอนตัวจากการถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ จะมี ส.ส.ของพรรคประมาณ 20 คน หันไปยกมือหนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลแทน นายไชยยศ ยังตั้งข้อสังเกตการกระทำของ พล.ต.อ.ประชาที่พร้อมรับตำแหน่งนายกฯ ด้วยว่า เป็นพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับที่ พล.ต.อ.ประชาได้เคยแถลงก่อนหน้านี้ว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกฯ

3. “ทักษิณ”อ้าง ปท.บอบช้ำ เพราะหาว่าตนไม่จงรักภักดี พร้อมเตือน “เพื่อนเนวิน”-ระวังจะไปทั้งตระกูล!
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดกับคนเสื้อแดงผ่านวีซีดีที่บันทึกไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยนอกจากโจมตีศาลและผู้มีอำนาจใน ปท.แล้ว ยังเตือนกลุ่มเพื่อนเนวินด้วย(13 ธ.ค.
แม้ว่าในงานรวมพลคนเสื้อแดงของรายการ “ความจริงวันนี้สัญจร”ครั้งที่ 3 ที่สนามศุภชลาศัย เมื่อวานนี้(13 ธ.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะไม่ได้โฟนอินเข้ามายังรายการตามที่ผู้ดำเนินรายการ(นายวีระ มุสิกพงศ์-นายจตุพร พรหมพันธุ์-นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ)ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ แต่ก็มีการนำวีซีดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณบันทึกไว้ล่วงหน้าแล้วมาเปิด ความยาวกว่า 20 นาที สำหรับประเด็นสำคัญที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดกับคนเสื้อแดงที่สนับสนุนตน ได้แก่ การโจมตีว่า ขณะนี้ประเทศกำลังเผชิญกับการปฏิวัติรัฐประหารที่เปลี่ยนรูปแบบจากทหารมาเป็นการใช้ระบบศาลแทน โดย พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า “วันนี้ เรายังอยู่ในภาวะปฏิวัติรัฐประหารเพื่อจะทำลายล้างหรือทำลายระบอบประชาธิปไตยของเราอยู่ เริ่มต้นเมื่อ 19 ก.ย.2549 อันนั้นเขาเรียกว่าปฏิวัติทางทหาร แต่หลังจากมีการเลือกตั้ง ประชาชนยังเลือกพรรคที่เกิดจากพรรคไทยรักไทยหรือพรรคพลังประชาชน...ก็เลยทำให้การปฏิวัติได้แปลงสภาพ กลายเป็นการใช้ระบบศาล ระบบขององค์กรที่สมมุติว่าตัวเองอิสระ เข้ามาจัดการทางการเมือง ทำให้ประชาธิปไตยไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน ก็มีการยุบพรรคเป็นครั้งที่ 2...” พ.ต.ท.ทักษิณ ยังชี้ด้วยว่า การที่ตนถูกฟ้องร้องเป็นคดีความหลายคดี รวมทั้งการที่ประเทศต้องบอบช้ำอยู่ในขณะนี้ เกิดจากความเข้าใจผิดคำเดียว คือคำว่า “ผมไม่จงรักภักดี” ทั้งที่ตนจงรักภักดีมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณยังพูดถึงความพยายามที่จะถอนพาสปอร์ตตนด้วยว่า ทำให้ตนอยู่ภาวะยิ่งกว่า “หมาจนตรอก” โดยบอกว่า “ท่านเคยได้ยินภาษิตโบราณไหมครับ ที่เขาบอกว่า หมาจนตรอก คือเขาไล่หมาจนจนตรอก จนตรอกอย่างไร ก็ยังมีตรอกอยู่ แต่ของผมแม้แต่ตรอกก็ไม่มีจะอยู่ จะเอาอย่างนั้นเลยหรือครับ ถามว่าผมไม่เคยทำคุณงามความดีให้บ้านเมืองเลยหรือ ประชาชนเกลียดผมอย่างนั้นหรือ” พ.ต.ท.ทักษิณ ยังชี้ด้วยว่า ขณะนี้มีคนพยายามใช้อิทธิพลในฐานะที่มีตำแหน่ง หรือในฐานะที่มีผู้คนเคารพนับถือ เข้ามาแทรกแซงทำให้ระบบต่างๆ ทำงานไม่ได้ ...ถ้าเมื่อไหร่ไม่ปล่อยให้กลไกทำงาน ประเทศก็อยู่ไม่ได้ นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังเตือน ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวินที่หันไปหนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลด้วย โดย พ.ต.ท.ทักษิณไม่พูดตรงๆ ว่า ส.ส.กลุ่มนี้หักหลังตน แต่อ้างว่าเป็นการหักหลังประชาชน ซึ่งจะส่งผลให้ ส.ส.กลุ่มนี้อยู่ไม่ได้แน่นอน โดยบอกว่า “วันนี้นักการเมืองบางคนยังดันไปหักหลังประชาชน บอกประชาชนไว้ว่า เลือกผมมาเถอะครับ ผมเข้ามา จะทำโน่นทำนี่ ผมจะเอาทักษิณกลับบ้าน แต่วันนี้เขาจะฝังทักษิณ ก็จะไปยกมือให้เขา อย่างนี้เขาเรียกนักการเมืองหักหลังประชาชน ...เดี๋ยวนี้ประชาชนเขารู้ครับว่าอะไรเป็นอะไร ...เขาจะแสดงออกให้เห็นชัดครับวันเลือกตั้ง ถ้าเมื่อไหร่ท่านได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองหักหลังประชาชน ก็จะไปทั้งตระกูลแหละครับ” สำหรับแกนนำที่ขึ้นเวทีปราศรัยรายการ “ความจริงวันนี้สัญจร”ที่สนามศุภชลาศัยครั้งนี้ นอกจากแกนนำ นปช.แล้ว ยังมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคน(เช่น นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา) ไปร่วมปราศรัย โดยย้ำความกตัญญูรู้คุณที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยมีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่ถูกสอบวินัยและอาญาทหารจากกรณีฝึกอาวุธให้ “นักรบพระเจ้าตาก”แก่กลุ่ม นปช.ก็เดินทางไปให้กำลังใจแกนนำ นปช.ที่หลังเวทีปราศรัยด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ นอกจากมวลชนคนเสื้อแดงจะมารวมพลฟัง พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินที่สนามศุภชลาศัยแล้ว ส่วนหนึ่งยังเตรียมไปปิดล้อมรัฐสภาในวันโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่วันที่ 15 ธ.ค.เพื่อไม่ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกฯ ด้วยตามที่แกนนำ นปช.ได้ออกมาปลุกตั้งแต่ก่อนหน้านี้

4. “พันธมิตรฯ”ฟ้องกลับ “หมอเหวงกับพวก”แจ้งเท็จก่อการร้าย พร้อมยื่นข้อเรียกร้อง 13 ข้อต่อ รบ.ใหม่!
แกนนำพันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 29 ยื่นข้อเรียกร้อง 13 ข้อต่อรัฐบาลใหม่(12 ธ.ค.)
ความคืบหน้ากรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ยุติการชุมนุมทุกจุด(ทำเนียบรัฐบาล-สนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ)หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน-พรรคชาติไทย-พรรคมัชฌิมาธิปไตย ขณะที่สำนักนายกฯ ได้เรียกตำรวจและสำนักงานอัยการสูงสุดหารือเพื่อดำเนินคดีพันธมิตรฯ อย่างเต็มที่ ส่วนแกนนำ นปช.อย่าง นพ.เหวง โตจิราการ ,นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ,นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ก็แจ้งความตำรวจกองปราบฯ ให้ดำเนินคดี 12 แกนนำพันธมิตรฯ ฐานก่อการร้ายด้วยการปิดสนามบินนั้น ปรากฏว่า ยังไม่สาแก่ใจกลุ่ม นพ.เหวง จึงได้เดินหน้าไปแจ้งความสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ดำเนินคดีแกนนำพันธมิตรฯ 24 คนฐานก่อการร้ายเช่นกัน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า คราวที่แล้วกลุ่ม นพ.เหวงแจ้งความให้ดำเนินคดีแกนนำพันธมิตรฯ แค่ 12 คน แต่คราวนี้เพิ่มขึ้นมาอีก 12 คน โดยแกนนำพันธมิตรฯ ที่ถูกแจ้งความ นอกจากแกนนำรุ่น 1 และ 2 แล้ว ยังมีโฆษกพันธมิตรฯ อย่าง พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรสุข อดีตที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย และแนวร่วมพันธมิตรฯ อย่างนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่นด้วย ขณะที่ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รีบรับลูกด้วยการเร่งสืบหาหลักฐานเพื่อเอาผิดพันธมิตรฯ ในข้อหาก่อการร้าย ไม่เท่านั้น ยังคิดจะเอาผิดผู้ที่สนับสนุนพันธมิตรฯ ด้วย โดย พล.ต.อ.จงรัก บอกว่า จะประสานกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)เพื่อขอให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัทที่สนับสนุนทางการเงินให้กับพันธมิตรฯ ในความผิดฐานฟอกเงิน มีโทษจำคุก 10 ปี และถูกริบของกลางด้วย พล.ต.อ.จงรัก บอกด้วยว่า ขณะนี้สันติบาลมีรายชื่อบริษัทห้างร้านที่ให้เงินสนับสนุนการก่อการร้ายแล้ว ซึ่งจะส่งให้พนักงานสอบสวนใช้ดำเนินการต่อไป เป็นที่น่าสังเกตว่า คำพูดของ พล.ต.อ.จงรักเท่ากับเป็นการด่วนสรุปแล้วว่า การปิดสนามบินของพันธมิตรฯ คือการก่อการร้าย ผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ ก็คือผู้สนับสนุนการก่อการร้าย ทั้งที่เรื่องนี้ยังเป็นแค่การแจ้งความของแกนนำ นปช.ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกลุ่มพันธมิตรฯ ขณะที่ตำรวจก็ยังไม่ได้สอบสวนและยังไม่สามารถตั้งข้อกล่าวหาพันธมิตรฯ ได้แต่อย่างใด ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พร้อมด้วยแกนนำพันธมิตรฯ 12 คนที่ถูกกลุ่ม นพ.เหวงแจ้งความต่อตำรวจกองปราบฯ ให้ดำเนินคดีข้อหาการก่อการร้าย ก็ได้ส่งทนายไปแจ้งความกลับกลุ่ม นพ.เหวงรวม 7 คนต่อศาลแขวงพระนครเหนือเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จหรือร้องทุกข์กล่าวโทษพันธมิตรฯ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 และ 173 โดยคำร้องของพันธมิตรฯ ยืนยันว่า พันธมิตรฯ ใช้สิทธิชุมนุมตาม รธน. ไม่ได้เข้าไปบริเวณรันเวย์หรือหอบังคับการบินตามที่กลุ่ม นพ.เหวงอ้างแต่อย่างใด และพันธมิตรฯ ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อระบบการขนส่งสาธารณะหรือระบบโทรคมนาคม สังเกตได้จากหลังพันธมิตรฯ ยุติชุมนุมในวันที่ 3 ธ.ค. สนามบินก็สามารถเปิดใช้งานได้ในวันที่ 4 ธ.ค. คำร้องของพันธมิตรฯ ยังชี้ด้วยว่า นพ.เหวงกับพวกทราบดีอยู่แล้วว่า การกระทำของพันธมิตรฯ ไม่เข้าข่ายการก่อการร้าย เพราะกฎหมายมีข้อยกเว้นความผิดตามมาตรา 135/1 (2) วรรคท้ายที่บัญญัติว่า การเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือได้รับความเป็นธรรม เป็นการใช้สิทธิตาม รธน.ไม่ใช่การก่อการร้าย จึงขอให้ศาลลงโทษ นพ.เหวงกับพวก ด้านศาลได้รับคำฟ้องไว้ และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 30 มี.ค.(09.00น.) นายสุวัตร์ อภัยภักดิ์ ทนายความของพันธมิตรฯ เผยว่า สัปดาห์หน้าจะฟ้องดำเนินคดีกลุ่ม นพ.เหวงต่อศาลแขวงพระนครเหนืออีก 1 คดีในความผิดเดียวกัน เพราะกลุ่ม นพ.เหวงได้แจ้งความพันธมิตรฯ 24 คนในข้อหาก่อการร้ายต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย นายสุวัตร์ บอกด้วยว่า หาก นพ.เหวงกับพวกให้การต่อพนักงานสอบสวนอีกซึ่งเป็นความเท็จ พันธมิตรฯ ก็จะนำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลอาญาอีกคดีหนึ่งด้วย โดยพันธมิตรฯ พร้อมจะฟ้องกลับทุกคดีหากมีการกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.จงรัก จะเร่งดำเนินคดีแกนนำพันธมิตรฯ ฐานก่อการร้ายนั้น นายสุวัตร์ บอกว่า ได้ยื่นหนังสือถึงรักษาการนายกฯ ,รัฐมนตรีมหาดไทย ,ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.จงรักให้ทราบถึงข้อกฎหมายที่ยกเว้นความผิดเรื่องการชุมนุมแล้ว ดังนั้นหากยังมีการตั้งข้อหาเกินจริงเหมือนที่เคยทำมาแล้วในข้อหากบฏ พันธมิตรฯ จะฟ้องคดีอาญากับทุกคนทันที รวมทั้งกรณีที่ พล.ต.อ.จงรักจะยื่นเรื่องให้ ปปง.ตรวจสอบการบริจาคเงินให้พันธมิตรฯ ว่าเข้าข่ายก่อการร้ายนั้น หาก พล.ต.อ.จงรักยังดึงดันเรื่องนี้ พันธมิตรฯ ก็จะฟ้องกลับฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เพื่อให้บุคคลอื่นได้รับโทษทางอาญา ตามมาตรา 200 ของประมวลกฎหมายอาญา ส่วนกรณีที่ขณะนี้ใกล้จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศนั้น แกนนำพันธมิตรฯ ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 29 เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.เรื่อง “คำเตือนก่อนเข้าสู่อำนาจ” โดยแถลงการณ์ระบุถึงจุดยืนของพันธมิตรฯ ต่อการเลือกนายกฯ คนใหม่ว่า ขอคัดค้านและต่อต้านนายกฯ หุ่นเชิดที่มาจากพรรคเพื่อไทย และนายกฯ ทุกพรรคการเมืองที่มีรัฐบาลผสมของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคหุ่นเชิดของระบอบทักษิณซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ ,ขอประณามการข่มขู่คุกคาม การต่อรองตำแหน่ง และการเสนออามิสสินจ้างให้นักการเมือง เพื่อให้มาสนับสนุนให้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลต่อไป และพันธมิตรฯ จะเฝ้าติดตามการเปลี่ยนขั้วการเมืองในระบบเก่าว่าจะสามารถฝ่าข้ามวิกฤตการณ์ จัดการกับระบอบทักษิณ และเข้าสู่การเมืองใหม่ได้หรือไม่ โดยพันธมิตรฯ ขอยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลชุดใหม่ 13 ข้อ ประกอบด้วย เร่งรัดดำเนินคดีดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ต่อนายจักรภพ เพ็ญแข ,นายวีระ มุสิกพงศ์ ฯลฯ โดยด่วน ,ขอให้รัฐบาลใหม่แสดงจุดยืนที่จะไม่แก้ไข รธน.2550 หรือกฎหมายอื่นใดที่จะฟอกความผิดให้นักการเมือง ,เร่งรัดคดีทุจริตคอร์รัปชั่นให้เข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล โดยปราศจากการแทรกแซง ,ขอให้ยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้ส่งตัวผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดินมาดำเนินคดีในประเทศไทยโดยทันที ,ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชากรณีปราสาทพระวิหาร ,เร่งรัดสลายรัฐตำรวจที่ใส่ความ กลั่นแกล้ง และคุกคามประชาชน และขอให้คืนความเป็นธรรมให้ตำรวจที่ทำหน้าที่อย่างสุจริต ,ขอให้เร่งดำเนินคดีและลงโทษผู้ที่ถูกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและคณะกรรมาธิการในวุฒิสภาชี้มูลความผิดกรณีสลายการชุมนุมเข่นฆ่าประชาชนเมื่อ 7 ต.ค. ,ยุติการใช้สื่อของรัฐโฆษณาชวนเชื่อและหลอกลวงประชาชนเพื่อระบอบทักษิณโดยทันที ,ขอให้ยกเลิกโครงการที่ใช้จ่ายเกินตัวและไม่โปร่งใส เช่น โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน ,โครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ฯลฯ ,ยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 และใช้การปฏิรูปและพัฒนารัฐวิสาหกิจแทนเพื่อประโยชน์สูงสุดของคนในชาติ และสุดท้าย ขอให้รัฐบาลใหม่แสดงจุดยืนที่จะส่งเสริมสนับสนุนประชาชนในการสร้างการเมืองใหม่ ที่ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอย่างแท้จริง

5. โพลล์ยังสับสน “สุขุมพันธุ์-ม.ล.ปลื้ม”ผลัดกันนำ-ผลัดกันตาม ขณะที่ “หมายเลข 11”ส่อผิด กม.เลือกตั้ง!
บรรยากาศหาเสียงผู้ว่าฯ กทม.ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์
หลังจากมีผู้สนใจลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.จำนวน 14 คน ปรากฏว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้สมัครแต่ละคนต่างลงพื้นที่หาเสียงกันอย่างคึกคัก ขณะที่นายพงศ์ศักดิ์ เสมสันต์ ปลัด กทม.ได้แถลงเปิดตัวสื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.โดยชูสโลแกนว่า “รวมพลังอีกครั้ง เพื่อกรุงเทพฯ ที่ดีกว่า” พร้อมนำศิลปินดารามาร่วมเชิญชวนประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในวันที่ 11 ม.ค.2552 ทั้งนี้ นายพงศ์ศักดิ์ เผยจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งนี้ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 4,245,147 คน เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้จะเพิ่งอยู่ในช่วงเปิดตัวผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. แต่หลายสำนักก็เริ่มทำโพลล์สำรวจความเห็นประชาชนเพื่อวัดคะแนนนิยมต่อตัวผู้สมัครบ้างแล้ว เช่น สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ได้สำรวจความเห็นประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งในเขต กทม.กว่า 2,000 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 3-8 ธ.ค.พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 81.3 ไม่ทราบว่าเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.วันไหน ส่วนผู้สมัครที่ตั้งใจจะเลือกนั้น ส่วนใหญ่ร้อยละ 37.0 ตั้งใจจะเลือก ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล รองลงมาคือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้ร้อยละ 36.4 ตามด้วยนายยุรนันท์ ภมรมนตรี ร้อยละ 17.3 ขณะที่ร้อยละ 9.3 ตั้งใจจะเลือกคนอื่นๆ เช่น นายแก้วสรร อติโพธิ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจของเอแบคโพลล์ต่างกับผลสำรวจของกรุงเทพโพลล์ที่ออกมาในวันที่ 11 ธ.ค. ซึ่งได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนที่อายุ 18 ปีขึ้นไปใน กทม.จำนวนเกือบ 1,500 ตัวอย่าง พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 30.2 ตั้งใจจะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เป็นผู้ว่าฯ กทม. รองลงมาคือ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ร้อยละ 17.2 ตามด้วยนายยุรนันท์ ร้อยละ 7.7 นายแก้วสรร ร้อยละ 4.6 เป็นต้น สำหรับการหาเสียงของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.นั้น แม้จะอยู่ในช่วงโค้งแรก แต่ผู้สมัครบางคนก็เริ่มมีปัญหาแล้ว คือ นายธรรณม์ชัย รุ่งจิรโรจน์ หมายเลข 11 ผู้สมัครอิสระ ที่ไปหาเสียงครั้งแรกบริเวณซอยละลายทรัพย์ ถนนสีลม เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. โดยนายธรรณม์ชัยเปิดตัวด้วยการนำกองเชียร์กว่า 10 คนไปเชิดสิงโตเพื่อสร้างสีสัน ทำให้หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า การหาเสียงด้วยวิธีดังกล่าวจะเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ ด้านนายพิงค์ รุ่งสมัย ประธาน กกต.กทม.พูดถึงเรื่องดังกล่าวเมื่อวานนี้(13 ธ.ค.)ว่า ยังไม่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ กกต.กทม. จึงไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม นายพิงค์ บอกว่า การหาเสียงด้วยการเชิดสิงโตหรือแห่กลองยาวนั้น หากผู้สมัครมีส่วนรู้เห็นหรือจ้างวานเอง จะเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 ข้อ 3 ซึ่งห้ามทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่างๆ ด้านนายธรรณม์ชัย รีบออกมาปฏิเสธในวันเดียวกันว่า ไม่มีส่วนในการจ้างวานหรือรู้เห็นการเชิดสิงโตดังกล่าว โดยบอกว่า เป็นเรื่องบังเอิญ เนื่องจากระหว่างหาเสียงอยู่บริเวณห้างเซ็นทรัล สีลม พร้อมกับลูกทีม ขณะเดินข้ามถนนพร้อมใช้โทรโข่งตะโกนหาเสียง ได้มีขบวนแห่สิงโตอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นตน ก็เดินเข้ามาตีฆ้องร้องเป่าร่วมเชียร์ เพื่อนนักธุรกิจของตนเห็นว่าเปิดตัววันแรก มีขบวนสิงโตมาขอร่วมขบวนด้วย ก็ให้เงินใส่ซองไป จากนั้นเขาก็เดินตามตนมาที่ซอยละลายทรัพย์ แม้ตนจะพยายามให้ออกจากขบวนของตนแล้ว เพราะกลัวว่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล กระทั่งมาเจอกับขบวนสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวนายยุรนันท์ที่มาเสียงที่ซอยละลายทรัพย์เช่นกัน จึงเกิดการเข้าใจผิดกัน.
กำลังโหลดความคิดเห็น