1. “พจมาน-บรรณพจน์”คอตก ศาลสั่งจำคุก 3 ปี คดีเลี่ยงภาษีโอนหุ้น!
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ศาลอาญา รัชดาฯ ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ,คุณหญิงพจมาน ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน เป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันแจ้งเท็จและใช้อุบายหรือฉ้อโกงเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากการโอนหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น(หรือบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น)ให้กันจำนวน 546 ล้านบาท อันเป็นความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37(1) และ (2) และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และ 91 ขณะที่คุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณและลูกๆ มาให้กำลังใจอย่างพร้อมหน้า นอกจากนี้ยังมีอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ,ส.ส.พรรคพลังประชาชนและม็อบที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณมาให้กำลังใจด้วยเช่นกัน โดยศาลได้ออกข้อกำหนดก่อนหน้าที่จะถึงวันฟังคำพิพากษาแล้วว่า “ห้ามผู้ใดก่อความไม่สงบเรียบร้อยหรือก่อความรำคาญในอาคารและอาณาบริเวณของศาลในวันฟังคำพิพากษา” ทั้งนี้ ก่อนอ่านคำพิพากษา องค์คณะผู้พิพากษาได้ชี้แจงต่อจำเลยทั้งสามและผู้เข้าร่วมฟังคำพิพากษา ซึ่งมีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์วงจรปิดให้ผู้ที่อยู่ภายนอกห้องพิจารณาคดีได้ดูด้วยว่า แม้ขณะนี้จะเกิดความขัดแย้งทางความคิดและการกระทำที่รุนแรง แต่ขอให้ทุกฝ่ายวางใจและวางมือว่าศาลยุติธรรมพิจารณาตามอำนาจและตามกฎหมาย รวมทั้งอำนวยความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายตาม รธน.โดยไม่มีอคติ ไม่พิพากษาตามกระแส หากคำตัดสินของศาลไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายใด ก็ให้ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ ฎีกา ตามสิทธิทางกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง จากนั้น ศาลได้อ่านคำพิพากษาความยาว 48 หน้า โดยใช้เวลาเกือบ 2 ชม.ว่า จำเลยที่ 1 และ 2 (บรรณพจน์-พจมาน) มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37(1) และ (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันโดยรู้อยู่แล้ว(ว่าเป็นสิ่งผิด) จึงให้เรียงกระทงลงโทษฐานร่วมกันโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 ปี และให้จำคุกจำเลยทั้งสองอีกคนละ 1 ปี ฐานะจงใจร่วมกันแจ้งเท็จหรือให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่ 3(กาญจนาภา) ให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานทำผิดตามประมวลรัษฎากรมาตรา 37(2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ข้อหาเดียว มิได้ทำผิดตามประมวลรัษฎากรมาตรา 37(1) เป็นที่น่าสังเกตว่า คำพิพากษาของศาลระบุว่า ความผิดของจำเลยทั้งสาม ถือเป็นความผิดที่ร้ายแรง เนื่องจากจำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะจำเลยที่ 2(พจมาน) เป็นภริยาของผู้บริหารประเทศ ซึ่งจำเลยทั้งสามนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย แต่กลับร่วมกันทำการหลีกเลี่ยงภาษี อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งที่จำนวนค่าภาษีที่จำเลยที่ 1(บรรณพจน์) จะต้องชำระตามกฎหมาย ก็เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2(พจมาน)และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น และการที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีตามกฎหมาย ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด ทั้งนี้ หลังทราบคำพิพากษา คุณหญิงพจมานมีสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีสีหน้าเคร่งเครียดและขมวดคิ้วตลอดเวลา ขณะที่ น.ส.แพทองธาร บุตรสาวคนเล็ก เก็บอาการไม่อยู่ โดยเบ้ปากและส่ายหน้าด้วยความไม่พอใจคำพิพากษา หลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ ญาติจำเลยทั้งสามได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัว ซึ่งศาลอนุญาตโดยตีราคาประกันคนละ 5 ล้านบาท จากนั้นคุณหญิงพจมานและ พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางออกจากศาลกลับบ้านทันทีโดยไม่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด โดยระหว่างเดินลงจากศาล คุณหญิงพจมานสวมแว่นตาดำ ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีน้ำตาคลอเบ้า ด้านนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า ทีมทนายความจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาภายใน 30 วันตามกฎหมาย โดยจะต่อสู้ในประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยใช้ทีมทนายความชุดเดิม ด้านนายสัก กอแสงเรือง อดีตกรรมการ คตส. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีนายบรรณพจน์-คุณหญิงพจมานใช้อุบายเลี่ยงภาษีการโอนหุ้น พูดถึงกรณีที่ศาลสั่งจำคุกจำเลยในคดีนี้ว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่า สำนวนที่ คตส.ทำมามีความสมบูรณ์แน่นหนาและมีพยานหลักฐานชัดเจนตามข้อเท็จจริง ขณะที่ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า คำพิพากษาของศาลครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จในการดำเนินคดีต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงครั้งแรกของไทย สำหรับความคืบหน้าคดีอื่นๆ ที่ คตส.เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ปรากฏว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำสั่งรับฟ้อง 2 คดีแล้ว คดีแรกคือ คดีทุจริตโครงการออกหวยบนดิน ที่ คตส.ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำเลย พร้อมด้วย ครม.รัฐบาลทักษิณ และคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลรวม 47 คน โดยศาลสั่งรับฟ้องเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ส่วนอีกคดีที่คือ คดีที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(ธสน.หรือเอ็กซิมแบงก์) ปล่อยกู้แก่รัฐบาลพม่าวงเงิน 4 พันล้านบาทเพื่อดำเนินโครงการโทรคมนาคมและเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทในเครือชินคอร์ป ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ โดย คตส.ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำเลย ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการดูแลกิจการ เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ...ซึ่งศาลฎีกาฯ ได้สั่งรับฟ้องเมื่อวันที่ 30 ก.ค. ส่วนความคืบหน้าคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานถูกฟ้องเป็นจำเลยนั้น เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ได้ไต่สวนพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว หลังจากนี้จะมีการไต่สวนพยานจำเลยต่อไป ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ (เมื่อ 28 ก.ค.)เพื่อขอเดินทางออกนอกประเทศ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ขอเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นและจีน ระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-10 ส.ค.และเดินทางไปประเทศอังกฤษระหว่างวันที่ 15-20 ส.ค. ขณะที่คุณหญิงพจมานขอเดินทางไปประเทศจีนระหว่างวันที่ 5-10 ส.ค. ซึ่งศาลอนุญาตให้คุณหญิงพจมานเดินทางไปประเทศจีน และอนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นและจีน แต่ยังไม่อนุญาตให้เดินทางไปประเทศอังกฤษ พ.ต.ท.ทักษิณต้องยื่นคำร้องขอใหม่อีกครั้ง โดยศาลให้กลับมารายงานตัวในวันที่ 11 ส.ค.นี้
เปิดคำพิพากษา “เมียแม้ว”รวยแต่โกงภาษีผิดร้ายแรง
“เมียแม้ว” หนีภาษีผิดสถานหนัก จำคุก 3 ปี!
“แม้ว” รอวันเข้าคุก! ศาลรับฟ้องปล่อยกู้พม่าเอื้อชินฯ
ศาลอนุญาต “แม้ว-อ้อ” บินถลาไปญี่ปุ่น-จีน
ฟ้ามีตา! ศาลรับฟ้องคดีรัฐบาลทักษิณเปิดขายหวยบนดิน
2. “3 รมต.”คดีหวยฯ ไม่ยอมพักงานแม้ศาลรับฟ้อง ขณะที่ “ครม.”บีบ “อัยการ”สู้คดีให้จำเลย!
หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำสั่งรับฟ้องคดีทุจริตโครงการออกหวยบนดินเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ,ครม.รัฐบาลทักษิณ และคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลตกเป็นจำเลยรวม 47 คนแล้ว ปรากฏว่า มีจำเลยในคดีนี้ 3 คนซึ่งเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลทักษิณและขณะนี้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในรัฐบาลนายสมัคร คือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ,นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รัฐมนตรีช่วยคมนาคม และนางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีแรงงาน ซึ่ง รธน.และกฎหมาย ป.ป.ช.ระบุว่า ผู้ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา แต่ปรากฏว่า แม้ศาลจะรับฟ้องคดีแล้ว 3 รัฐมนตรีดังกล่าวก็ยังไม่ยอมหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด โดย นพ.สุรพงษ์ อ้างว่า ขณะนี้ศาลฎีกาฯ แค่รับฟ้องคดีเท่านั้น ยังไม่มีคำพิพากษาว่ากระทำผิด ตนจึงยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ และว่า ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า การที่ตนมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีใหม่ในรัฐบาลนี้แล้ว จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ หากหยุด อาจถูกฟ้องร้องว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ นพ.สุรพงษ์ ยังบอกด้วยว่า จะรอให้กฤษฎีกาและศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องนี้ก่อนว่า จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ โดยที่ประชุม ครม.(29 ก.ค.)ได้มีมติให้คณะกรรมการกฤษฎีกาไปตีความเรื่องนี้แล้ว ซึ่งนางพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา บอกว่า คงใช้เวลาพิจารณาประมาณ 2 สัปดาห์ ด้านนายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา ยืนยันว่า ข้อกฎหมายชัดเจนอยู่แล้วว่า เมื่อมีการชี้มูลและประทับรับฟ้อง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำตัดสิน และว่า หากรัฐมนตรียังดันทุรังจะถือว่าฝ่าฝืนหมวด 13 ว่าด้วยจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ มีคำสั่งรับฟ้องคดีหวยบนดิน ทางอัยการสูงสุด นายชัยเกษม นิติสิริ ได้เรียกประชุมผู้บริหารสำนักงานอัยการสูงสุดในวันเดียวกัน(28 ก.ค.) เพื่อพิจารณาข้อสงสัยว่า อัยการจะรับแก้ต่างให้จำเลยในคดีนี้ได้หรือไม่ โดยหลังประชุม นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคณะกรรมการอัยการ เผยว่า ที่ประชุมมีมติว่า แม้จะเป็นอำนาจของอัยการที่จะใช้ดุลพินิจรับแก้ต่างให้จำเลยได้ตาม พ.ร.บ.พนักงานอัยการ พ.ศ.2498 มาตรา 11(3) แต่เห็นว่า พนักงานอัยการไม่ควรรับแก้ต่างให้จำเลยที่ถูก คตส.ฟ้อง เนื่องจาก คตส.เป็นโจทก์ฟ้องโดยใช้อำนาจแทนรัฐ พนักงานอัยการซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐเช่นกัน จึงไม่สมควรที่จะรับแก้ต่างให้จำเลย เพราะจะเป็นการขัดแย้งกับการที่รัฐเป็นโจทก์ อย่างไรก็ตาม หลังผู้บริหารสำนักงานอัยการสูงสุดมีมติดังกล่าวได้เพียง 1 วัน ทาง ครม.นายสมัครก็ได้มติ(29 ก.ค.)ให้ทำหนังสือถึงสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อให้จัดอัยการไว้แก้ต่างให้จำเลยทั้ง 47 คนในคดีหวยบนดิน ด้านโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ รีบออกมารับลูกมติ ครม.โดยบอกว่า ครม.ถือเป็นผู้บังคับบัญชาของสำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อมีมติอย่างไร อัยการคงต้องปฏิบัติตาม ไม่อาจฝ่าฝืนคำสั่งได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้อัยการจะเห็นว่า เพื่อความชอบธรรมแล้ว ในคดีที่ คตส.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐ อัยการไม่ควรแก้ต่างให้ก็ตาม นายธนพิชญ์ ยังเผยด้วยว่า อัยการสูงสุดได้เตรียมอัยการไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนหน้านี้เพื่อแก้ต่างให้จำเลยที่ถูก คตส.ฟ้องแล้ว คือ อัยการฝ่ายคดีอาญา 1-2 ขณะที่นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด พูดถึงเรื่องนี้อีกครั้งระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ซึ่งมีการพิจารณางบประมาณของสำนักงานอัยการ(เมื่อ 30 ก.ค.)ว่า คดีที่ คตส.ยื่นฟ้อง อัยการยังมีความเห็นก้ำกึ่งว่าจะแก้ต่างให้จำเลยหรือไม่ และว่า แม้ก่อนหน้านี้เสียงส่วนใหญ่ของผู้บริหารสำนักงานอัยการสูงสุดจะเห็นว่าไม่ควรแก้ต่างให้ และสำนักงานอัยการสูงสุดมีสิทธิที่จะใช้ดุลพินิจแก้ต่างหรือไม่แก้ต่างให้ก็ได้ แต่สำนักงานอัยการสูงสุดยังเป็นองค์กรส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหาร ดังนั้น จึงต้องดูว่า ผู้ที่ถูก คตส.ฟ้อง มีความผิดชัดแจ้งหรือไม่ ถ้าไม่ชัดแจ้ง อัยการอาจจะต้องรับแก้ต่างให้จำเลยตามที่ ครม.มอบหมาย แม้จะรู้สึกไม่สบายใจบ้าง ด้านนายสิทธิโชค ศรีเจริญ ทนายความของ คตส.ชี้ว่า การที่อัยการจะรับเป็นทนายแก้ต่างให้จำเลยที่ถูก คตส.ฟ้อง ถือว่าเป็นปัญหาจริยธรรมของนักกฎหมายว่าจะเหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่อัยการได้เห็นสำนวนคดีของ คตส.หมดแล้ว แต่กลับจะไปรับแก้ต่างให้จำเลย
อัยการรับคำสั่ง ครม.แก้ต่างให้จำเลยคดี คตส.
“ไพศาล” เตือน อสส.อย่าเคลิ้มรับว่าความให้ 3 รมต.หวยบนดิน
“เลี้ยบ” ฮึดสู้! ลั่นรอฝ่ายกม.ตีความ ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ คดีหวยบนดิน
3. โปรดเกล้าฯ ครม.ชุดใหม่แล้ว ด้าน “สุวิทย์”นำ “เพื่อแผ่นดิน”ทิ้ง รบ. แต่ไม่สำเร็จ!
หลังมีข่าวนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ เตรียมปรับ ครม.ล็อตใหญ่ โดยจะนำโผ ครม."สมัคร 4”ขึ้นทูลเกล้าฯ ในวันที่ 30 ก.ค. ปรากฏว่า ก่อนหน้า 1 วัน(29 ก.ค.) นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกฯ และรัฐมนตรีอุตสาหกรรม และหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้เปิดแถลงข่าวในช่วงเย็นอย่างปัจจุบันทันด่วนและโดยไม่มีใครคาดคิด โดยบอกว่า พรรคเพื่อแผ่นดินมีมติถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลได้มีการปรับเปลี่ยน ครม.ได้อย่างเต็มที่ และว่า มติถอนตัวครั้งนี้ได้แจ้งให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ทราบแล้วตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันเดียวกัน นายสุวิทย์ ยังบอกสาเหตุที่พรรคเพื่อแผ่นดินตัดสินใจถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลด้วยว่า เนื่องจากรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ รธน.มากกว่าเรื่องปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของชาวบ้าน ซึ่งพรรคเพื่อแผ่นดินได้พยายามทักท้วงมาโดยตลอด แต่ก็ยังจะมีการเสนอแก้ รธน.ทันทีที่เปิดสภา(1 ส.ค.)อีก นอกจากนี้ยังมีกรณีเขาพระวิหารที่พรรคฯ หนักใจ แม้รัฐบาลจะหาทางแก้ไขแล้ว แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ค้างคาใจอยู่ เพราะยังห่วงเรื่องอำนาจอธิปไตยของไทย จึงถึงเวลาที่พรรคฯ ต้องทบทวนบทบาททางการเมืองด้วยการถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตาม หลังนายสุวิทย์แถลงแล้วเสร็จประมาณ 2 ชม.ได้เกิดปรากฏการณ์ “งูเห่า”ขึ้นภายในพรรคเพื่อแผ่นดิน โดย ส.ส.ของพรรคฯ 5 คน ประกอบด้วย นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ,นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ ส.ส.สัดส่วน ,นายพิเชษฐ์ ตันเจริญ ส.ส.ฉะเชิงเทรา ,นายประพัฒน์ วิเศษจินดา ส.ส.สัดส่วน และ นายพิกิฎ ศรีชนะ ส.ส.ยโสธร รวมถึงนายปาน พึ่งสุจริต รองหัวหน้าพรรคฯ ก็ได้เปิดแถลงข่าวเช่นกัน โดยไม่ยอมรับการแถลงลาออกจากการร่วมรัฐบาลของนายสุวิทย์ หัวหน้าพรรค โดยอ้างว่า ไม่มีใครรู้เห็นการตัดสินใจของนายสุวิทย์ จึงถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น ส.ส.ของพรรค(24 คน)จะยังคงสนับสนุนรัฐบาลต่อไป ทั้งนี้ พรรคเพื่อแผ่นดินมีกำหนดการตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่า จะมีการประชุมเลือกกรรมการบริหารพรรคใหม่ในวันที่ 5 ส.ค.นี้ ดังนั้น ในวันดังกล่าวคาดว่าจะมีการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ โดยขณะนี้มีแคนดิเดตอยู่ 3 ชื่อ คือ พล.อ.ธงชัย เกื้อสกุล รองหัวหน้าพรรคฯ ,พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคฯ และนายสุรเดช ยะสวัสดิ์ ส.ส.สัดส่วนของพรรคฯ ด้านพรรคชาติไทย แม้แกนนำพรรคจะรู้สึกช็อคกับการแถลงถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลของนายสุวิทย์ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน แต่พรรคชาติไทยก็ส่งสัญญาณว่าจะไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด โดยนายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรคชาติไทย บอก แม้พรรคฯ จะเคยประกาศสัตยาบันร่วมกับพรรคเพื่อแผ่นดิน แต่ข้ออ้างของนายสุวิทย์ ทั้งการไม่เห็นด้วยกับการแก้ รธน.และเรื่องปราสาทพระวิหาร ยังไม่เข้าข่ายสัตยาบัน 5 ข้อ ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ก็ยืนยัน(30 ก.ค.)ว่า การปรับ ครม.ครั้งใหม่ จะไม่ได้รับผลกระทบใดใดจากการประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลของนายสุวิทย์ โดยล่าสุด เย็นวันนี้(2 ส.ค.18.00น.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.ชุดใหม่แล้ว สำหรับรายชื่อรัฐมนตรีใหม่ ประกอบด้วย พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรีมหาดไทย แทน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ,นายมั่น พัธโนทัย เป็นรองนายกฯ (นอกเหนือจากเป็นรัฐมนตรีกระทรวงไอซีที) ,นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็นรัฐมนตรีช่วยคลัง ,นายพิชัย นริพทะพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยคลัง ,นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ เป็นรัฐมนตรีพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ,นายไชยา สะสมทรัพย์ ที่ลาออกจากรัฐมนตรีสาธารณสุขหลังถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าต้องพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีฐานไม่แจ้งเรื่องภริยาถือหุ้นเกิน 5% มาคราวนี้ได้เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ ,นายพิเชษฐ์ ตันเจริญ เป็นรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ,นายประสงค์ โฆษิตานนท์ เป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ,นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เปลี่ยนจากตำแหน่งรองประธานสภาคนที่ 1 มาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ,นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ย้ายจากรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมฯ มาเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ โยกจากรองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ มาเป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรม สำหรับรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งเลย นอกจากนายสุวิทย์ คุณกิตติ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แล้ว ยังมี ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี ที่พ้นจากรัฐมนตรีช่วยคลัง ,นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ พ้นจากรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ,นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ พ้นจากรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า ก่อนจะมีการโปรดเกล้าฯ รายชื่อ ครม.ชุดใหม่นี้ ทางสำนักราชเลขาธิการได้ตีกลับรายชื่อ ครม.เพื่อให้สำนักงานเลขาธิการ ครม.ตรวจสอบคุณสมบัติของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีต ผบ.ตร. เนื่องจากมีข้อสงสัยว่า การที่ พล.ต.อ.โกวิท ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกและให้รอลงอาญาในคดีที่ถูก พล.ต.อ.นิสสัย บุญสิริ ฟ้องฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีโครงการเออร์ลี่รีไทร์นั้น จะทำให้ พล.ต.อ.โกวิท ขาดคุณสมบัติที่จะเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่งสำนักงานเลขาธิการ ครม.ได้ทำหนังสือตอบกลับสำนักราชเลขาธิการโดยยืนยันว่า จากการตรวจสอบไม่ขัด รธน.แต่อย่างใด
“สุวิทย์” ขวางงูเห่า ลั่นไม่ถอยนั่ง หน.พรรคต่อ
พผ.แตก ลูกพรรคเกาะเก้าอี้แน่น ลอยแพ “สุวิทย์”
“เพื่อแผ่นดิน” ถอนตัวชักวุ่น!ส.ส.ยังอาลัยเก้าอี้ อ้างไม่ใช่มติพรรค
โปรดเกล้าฯ แล้ว "โกวิท"นั่ง มท.1 ควบรองนายกฯ - "ไชยา"ว่าการพาณิชย์
4. “พันธมิตรฯ”เรือนแสน พร้อมประจัญบานใน 7 วัน หากมีการแก้ รธน.!
หลังแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้นัดรวมพลครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 1 ส.ค.เพื่อต่อต้านการแก้ไข รธน.เนื่องจากก่อนหน้านี้นายสมัครได้ประกาศว่าจะแก้ไข รธน.ทันทีที่เปิดสภาในวันที่ 1 ส.ค. อย่างไรก็ตามเมื่อถึงกำหนดทางรัฐบาลได้ยื้อเวลาเรื่องนี้ออกไป โดยนายสามารถ แก้วมีชัย ประธานวิปรัฐบาล บอกว่า ยังไม่มีการยื่นญัตติแก้ไข รธน.ในวันที่ 1 ส.ค. แต่จะไปยื่นในวันที่ 18 ส.ค. แม้รัฐบาลจะยืดเวลาแก้ รธน.ออกไป แต่แกนนำพันธมิตรฯ ก็ไม่ถอย โดยยืนยันจะคัดค้านการแก้ รธน.จนถึงที่สุด โดยเช้าวันนี้(2 ส.ค.)แกนนำพันธมิตรฯ ได้นำผู้ชุมนุมเรือนแสนเคลื่อนจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ ไปประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการแก้ รธน.2550 ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พร้อมประกาศยืนยันพิทักษ์การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยแกนนำพันธมิตรฯ และผู้ชุมนุมได้ให้สัจจะวาจาว่า “ทันทีที่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ รัฐสภาเน่าเฟะ ยื่นญัตติแก้ไข รธน. พันธมิตรฯ ขอประกาศลุกขึ้นสู้ประจัญบานและเป่านกหวีดภายใน 7 วันนับแต่วันยื่นญัตติ” หลังจากนั้นได้เคลื่อนขบวนไปยังบริเวณหน้าศาลหลักเมืองและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ก่อนยืนสงบนิ่งไว้อาลัยและถวายความเคารพพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จากนั้นได้แกนนำพันธมิตรฯ ได้นำผู้ชุมนุมกล่าวอธิษฐานถวายสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และดวงพระวิญญาณสมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ไทย ให้ช่วยคุ้มครองประเทศไทยและพระบรมราชจักรีวงศ์ให้ดำรงสถาพรตลอดไป ตลอดจนคุ้มครองปวงชนชาวไทยผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในการต่อสู้โค่นล้มระบอบทักษิณ ขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ สำหรับความคืบหน้ากรณีม็อบฝ่ายรัฐบาลในนามกลุ่มชมรมคนรักอุดร นำโดยนายขวัญชัย ไพรพนา และนายอุทัย แสนแก้ว น้องชายนายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส.อุดรธานี พรรคพลังประชาชนและรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ได้แสดงความป่าเถื่อนด้วยการบุกทำร้ายพันธมิตรฯ อุดรฯ ที่กำลังเตรียมเวทีปราศรัยบริเวณหนองประจักษ์ศิลปาคม เมื่อวันที่ 24 ก.ค.จนมีผู้บาดเจ็บหลายรายนั้น เมื่อวันที่ 28 ก.ค.แกนนำพันธมิตรฯ ได้นำผู้บาดเจ็บบางรายจากเหตุการณ์ดังกล่าวมาเปิดแถลงต่อสื่อมวลชนที่บ้านพระอาทิตย์ โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ บอกว่า จะประสานให้ผู้บาดเจ็บทั้งหมดเดินทางเข้ามารักษาตัวที่กรุงเทพฯ เนื่องจากขณะนี้ผู้ถูกทำร้ายถูกฝ่ายตรงข้ามข่มขู่คุกคามอย่างหนักจนหวาดกลัวกันมาก หลังจากนั้นแกนนำพันธมิตรฯ ได้นำผู้บาดเจ็บดังกล่าวไปร้องสำนักงานสหประชาชาติ เพื่อให้ตรวจสอบเหตุการณ์ม็อบกลุ่มคนรักอุดรบุกทำร้ายพันธมิตรฯ ว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ โดยพันธมิตรฯ ได้มอบวีซีดีภาพเหตุการณ์ดังกล่าวให้ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำประเทศไทยที่เป็นผู้รับเรื่องด้วย ซึ่งได้รับปากว่าจะเร่งพิจารณาใน 1 สัปดาห์ ขณะที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีศึกษาธิการ ได้ออกมายืนยันว่า พรรคพลังประชาชนไม่ได้อยู่เบื้องหลังม็อบต้านพันธมิตรฯ ในจังหวัดต่างๆ และว่า แม้จะมีคนของพรรคไปปรากฏตัวอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเรื่องส่วนตัว นายสมชาย ยังอ้างด้วยว่า การที่พันธมิตรฯ นำผู้บาดเจ็บไปร้องสหประชาชาติ นอกจากจะทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลเสียหายแล้ว ยังส่งผลกระทบถึงประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ นอกจากพันธมิตรฯ จะนำผู้บาดเจ็บร้องต่อสหประชาชาติแล้ว ยังได้นำผู้บาดเจ็บอีก 2 คนร้องต่อ ป.ป.ช.(30 ก.ค.)เพื่อขอให้ถอดถอนและดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรวม 10 คน ประกอบด้วย 1.นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม 2.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย 3.พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.4.ผู้ว่าฯ มหาสารคาม(กรณีม็อบต้านพันธมิตรฯ ทำร้ายร่างกายฝ่ายพันธมิตรฯ ที่มหาสารคาม) 5.ผู้บังคับการตำรวจภูธรมหาสารคาม 6.ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรท้องที่ที่เกิดเหตุ 7.ผู้ว่าฯ อุดรธานี 8.ผู้บังคับการตำรวจภูธรอุดรธานี 9.ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรท้องที่ที่เกิดเหตุ 10.นายขวัญชัย ไพรพนา ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า นายขวัญชัย นอกจากจะมีบทบาทในการปลุกระดมผ่านวิทยุชุมชนให้คนทำร้ายพันธมิตรแล้ว นายขวัญชัยยังได้รับแต่งตั้งจาก ครม.นายสมัครให้เป็นข้าราชการการเมือง สังกัดสำนักเลขาธิการนายกฯ ด้วย เทียบเท่ากับข้าราชการซี-8 ได้รับเงินเดือนเกือบ 3 หมื่นบาท ซึ่งหลังจากก่อเหตุนำม็อบบุกทำร้ายพันธมิตรฯ ที่อุดรฯ แล้ว นายขวัญชัยได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว พร้อมบอกว่า ถึงไม่มีตำแหน่งดังกล่าว ตนก็สู้พันธมิตรฯ ได้ ด้านผู้ว่าฯ อุดรธานี นายสุพจน์ เลาวัณย์ศิริ จับมือผู้บังคับการตำรวจภูธรอุดรธานี พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ เปิดแถลงข่าว(28 ก.ค.)การดำเนินคดีกับกลุ่มคนรักอุดรที่ทำร้ายพันธมิตรฯ โดยบอกว่า ขณะนี้พบผู้กระทำผิดชัดเจน 2 คน คือ นายขวัญชัย ไพรพนา และนายอุทัย แสนแก้ว แกนนำชมรมคนรักอุดร ส่วนคนอื่นๆ จะออกหมายเรียกและหมายจับต่อไป ซึ่งปรากฏว่า หลังการแถลงดังกล่าว นายขวัญชัยและนายอุทัย ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา โดยตำรวจตั้งข้อกล่าวหาอย่างเบา 2 ข้อหา 1.เป็นหัวหน้าหรือผู้นำในการสั่งการให้มีการมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป 2.เป็นผู้ประกาศให้ผู้เข้าร่วมชุมนุม ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายให้เกิดการต่อสู้กันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ทำให้มีผู้ได้รับอันตราย เกิดการชุลมุน ด้านนายขวัญชัยและนายอุทัยปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จากนั้นตำรวจได้ปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหา นายขวัญชัยได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า ตนได้พูดเชิญชวนให้มีการทำร้ายแกนนำพันธมิตรฯ จริง โดยนายขวัญชัยบอกว่า “ที่บอกว่า หากใครสามารถตีนายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ แกนนำพันธมิตรอุดรธานี จะได้ 1 หมื่น และตี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้รับ 2 หมื่นนั้น ยอมรับได้พูดจริง ไม่ขอปฏิเสธ” ต่อมาวันที่ 30 ก.ค.ตำรวจอุดรฯ ได้เข้าจับกุมผู้ที่ทำร้ายพันธมิตรอุดรฯ อีก 1 ราย คือนายประดิษฐ์ รามระเริง อายุ 21 ปี เป็นชาวอุดรฯ โดยเจ้าตัวสารภาพว่าได้ร่วมเดินทางไปกับชมรมคนรักอุดรเพื่อไปทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ จริง โดยบอกว่า มีผู้มาชักชวนไปพร้อมกับเพื่อนวัยรุ่นในหมู่บ้าน 10 คน และว่า หลังจากก่อเหตุแล้ว ได้กลับมาดื่มเหล้าฉลองภายในหมู่บ้านและต่างคุยกันว่าได้ตีคนไหนบ้าง ทั้งนี้ การกระทำที่ป่าเถื่อนของม็อบกลุ่มคนรักอุดรฯ ที่รุมทำร้ายพันธมิตรฯ ได้มีหลายฝ่ายในสังคมออกมารุมประณาม เช่น นักวิชาการ 145 คนจากหลายสถาบัน(เช่น นายจรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ,นายวรศักดิ์ มหัทธโนบล ,นายไชยันต์ ไชยพร ฯลฯ) ได้ออกแถลงการณ์(28 ก.ค.)ประณามการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ รวมทั้งการทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้น(ที่อุดรฯ) ถือเป็นพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนอำมหิตไม่ต่างจากเหตุการณ์ 6 ตุลา แถลงการณ์ของ 145 นักวิชาการยังประณามเจ้าหน้าที่รัฐที่เพิกเฉยต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย พร้อมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐจัดการอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่ก่อเหตุรุนแรงและเจ้าหน้าที่ที่ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ ฯลฯ
วิปรัฐหลังพิงฝา! ยื่นแก้รธน.237 และ 309 หลัง 18 ส.ค.
เหยื่อม็อบถ่อยร้อง ป.ป.ช.ดำเนินคดี “หมัก-เหลิม” ชักใย “กุ๊ย” อุดรฯ
พันธมิตรฯ ยื่นยูเอ็น-ป.ป.ช.เอาผิด “หุ่นเชิด” ส่งอันธพาลไล่ฆ่า ปชช.
“พันธมิตรฯ”ย้ำเจตนารมณ์ ยื่นแก้รธน.เมื่อไหร่ ดีเดย์ต้านสุดตัวภายใน7วัน
พันธมิตรฯ ลั่นเป่านกหวีดประจัญบาน"หุ่นเชิด"ใน 7 วันหลังยื่นแก้ รธน.
ประมวลภาพพันธมิตรฯ เคลื่อนพล ประกาศต้าน "รัฐมาร" แก้รธน. (1)
ประมวลภาพพันธมิตรฯ เคลื่อนพล ประกาศต้าน "รัฐมาร" แก้รธน. (2)
5. “กัมพูชา”ยัน พร้อมถอนทหารออกจากพื้นที่ทับซ้อนฯ แต่ตั้งแง่ “ไทย”ต้องถอนก่อน!
ความคืบหน้าการแก้ไขข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนรอบประสาทพระวิหาร ที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างว่าเป็นดินแดนของตน หลังการเจรจารอบแรกระหว่าง พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ จ.สระแก้วไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากติดขัดในแง่กฎหมายที่ต่างฝ่ายต่างยึดแผนที่คนละฉบับในการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ทับซ้อน ส่งผลให้ทหารของทั้งสองฝ่ายยังคงเผชิญหน้ากันอยู่ในบริเวณพื้นที่ทับซ้อน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะเปิดการหารือกันอีกครั้งระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายในวันที่ 28 ก.ค.ที่เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา โดยในส่วนของไทย หลังจากนายเตช บุนนาค ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่แล้ว ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อวันที่ 27 ก.ค.โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำรัสอำนวยพรให้นายเตชมีความสำเร็จในการงาน วันต่อมา(28 ก.ค.)นายเตช ได้นำทีมคณะฝ่ายไทยเดินทางไปประชุมหารือข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนพระวิหารกับนายฮอร์ นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ซึ่งปรากฏว่า หลังเจรจาแบบมาราธอนตั้งแต่ 10.00น.ถึง 22.00น.(ประมาณ 12 ชม.) ก็ได้มีการแถลงข่าว โดยนายฮอร์ นัม ฮง บอกว่า การประชุมก้าวหน้าได้ผลดี ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างดี ขณะที่นายเตช บอกว่า หวังว่าการร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่การถอนทหารในอนาคตต่อไป ทั้งนี้ นายเตชได้รายงานผลการหารือกับฝ่ายกัมพูชาให้ที่ประชุม ครม.ทราบในวันต่อมา(29 ก.ค.) ซึ่งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกรัฐบาล ได้แถลงข้อยุติที่ได้จากการหารือระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยและกัมพูชาว่า มี 5 ข้อ 1.ทั้งสองฝ่ายควรใช้ความอดกลั้นอย่างที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดการเผชิญหน้าด้วยกำลังทหาร เพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไขโดยสันติวิธี โดยใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ 2.เสนอรัฐบาลแต่ละฝ่ายให้ความเห็นชอบจัดประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาโดยเร็วที่สุด เพื่อหารือประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง 3.ระหว่างที่รอการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ให้มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่มีการสำรวจ โดยจัดตั้งชุดประสานงานชั่วคราวเพื่อจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ รวมทั้งบริเวณวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ(วัดคีรีสุขสวาย) และปรับกำลังทหารทั้งสองฝ่ายออกจากวัด พื้นที่รอบวัด และปราสาทพระวิหาร 4.มาตรการชั่วคราวที่ตกลงร่วมกันจะไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน และ 5.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะหารือประเด็นอื่นๆ ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศไทย-กัมพูชาครั้งต่อไป ด้านนายเตช บุนนาค รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า ปัญหาเรื่องชุมชนชาวเขมรที่เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.นั้น เป็นปัญหาที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ทั้งนี้ แม้ข้อยุติที่ได้จากการหารือระหว่างนายเตชกับนายฮอร์ นัม ฮง จะมีการให้ทั้งสองฝ่ายถอนทหารออกจากพื้นที่ทับซ้อน แต่ปรากฏว่า ทางสมเด็จฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาได้ส่งสัญญาณว่า ฝ่ายไทยต้องถอนทหารก่อน กัมพูชาจึงจะถอนตาม โดยบอกว่า “เรื่องการตัดสินใจถอนทหารนั้นขึ้นอยู่กับไทย สำหรับกัมพูชาแล้วเราพร้อมเสมอ” ขณะที่นายเจีย มอน ผู้บัญชาการทหารกัมพูชาในพื้นที่ชายแดน ก็บอกเช่นกันว่า “ไทยถอนทหารเมื่อไหร่ เรายินดีและพร้อมที่จะถอน แต่เนื่องจากเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ทหารกัมพูชาไม่สามารถถอนห่างออกไปจากเขตเขาพระวิหารมากเท่าใดนัก” ด้านนายเตช บุนนาค รัฐมนตรีต่างประเทศ พูดถึงเรื่องการถอนทหารออกจากพื้นที่ทับซ้อนว่า รัฐบาลจะเป็นผู้ตัดสินทางนโยบายว่า จะมีการปรับกำลังหรือไม่ โดยฝ่ายทหารจะเป็นผู้ปฏิบัติตามการตัดสินใจดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นายเตช บอกว่า เรื่องนี้จะต้องนำเข้าหารือในที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ก่อน จากนั้นจะมีการประชุมร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายพลเรือน ทหาร และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในทันทีทันใด ส่วนความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในประเทศกัมพูชานั้น เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ชาวกัมพูชาได้จัดให้มีพิธีทำบุญประเทศและเสริมดวงเมืองที่บริเวณปราสาทพระวิหาร โดยมีนางบุน รานี ภริยานายกรัฐมนตรีฮุนเซนร่วมพิธีด้วย ท่ามกลางประชาชนชาวกัมพูชาที่เข้าร่วมนับพันคน โดยด้านหนึ่งมีรายงานว่า การทำพิธีดังกล่าวก็เพื่อแก้บนให้สมเด็จฮุนเซนที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่อีกด้านหนึ่งมีข่าวว่า เป็นการทำพิธีเพื่อเสริมดวงประเทศกัมพูชา และกดดวงเมืองของไทย ขณะที่นายทองก้อน รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวของกัมพูชา บอกว่า การจัดพิธีสวดมนต์ดังกล่าวนอกจากเพื่อถวายแด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษแล้ว ยังเพื่อให้เกิดสันติ และเพื่อความสำเร็จในการปกป้องดินแดนของกัมพูชาด้วย.
“เตช” พ้อ! หนักใจเจรจาเขมรแต่ยันไทยไม่เสียดินแดน “พระวิหาร”
ในหลวงให้ “เตช” เข้าถวายสัตย์ฯ รับสั่ง “หวังว่าจะไม่มีปัญหามากเกินไป”
เมีย “ฮุนเซน” นำทีมขึ้นเขาพระวิหารฉลองใหญ่
ไทย-เขมร ทำท่าจะยาวรัฐมนตรีเจรจากันสองรอบ
“พรรคฮุนเซน” ประกาศชัยก่อนไก่โห่