1. “ไทย-กัมพูชา”เตรียมเปิดเจรจาข้อพิพาท “พระวิหาร”อีกครั้ง หลังรอบแรกล้มเหลว!
สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาด้าน อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ที่ลุกลามจากกรณีทหารกัมพูชาจับ 3 คนไทยที่เข้าไปนั่งวิปัสสนาบริเวณพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันว่าเป็นพื้นที่ของไทย แต่ฝ่ายกัมพูชาก็อ้างว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา กระทั่งฝ่ายกัมพูชาได้เพิ่มกำลังทหารและอาวุธหนักเข้าตรึงบริเวณดังกล่าว ขณะที่ฝ่ายไทยก็เพิ่มกำลังทหารเช่นกัน ทำให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในลักษณะเผชิญหน้า กระทั่งได้นำไปสู่ความพยายามแก้ปัญหาด้วยการหารือ 2 ฝ่ายในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(จีบีซี)ในวันที่ 21 ก.ค.ที่โรงแรมอินโดจีน จ.สระแก้วนั้น ปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนด ฝ่ายไทยซึ่งนำโดย พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และฝ่ายกัมพูชาที่นำโดย พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา ได้มีการประชุมนอกรอบก่อน ซึ่งตามกำหนดการ จะมีการประชุมนอกรอบประมาณ 2 ชม.แล้วจึงเป็นการประชุมอย่างเป็นทางการ แต่ปรากฏว่า การประชุมนอกรอบที่กินเวลายาวนานร่วม 8 ชม.ไม่สามารถหาข้อยุติได้ จึงไม่มีการประชุมอย่างเป็นทางการในวันดังกล่าว โดยหลังการหารือ พล.อ.เตีย บันห์ แถลงว่า การหารือได้ข้อยุติเป็นส่วนใหญ่แล้ว ติดแค่ข้อกฎหมายเท่านั้น พร้อมยอมรับว่า การหารือดังกล่าวไม่ได้ทำให้อุณหภูมิความตึงเครียดลดลง แต่ถือว่าได้ผลน่าพอใจ แม้ผลเหล่านั้นจะยังนำไปปฏิบัติเป็นรูปธรรมไม่ได้ ขณะที่ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ กล่าวว่า เบื้องต้นทั้งสองฝ่ายจะให้ทหารอยู่ในที่ตั้งของแต่ละฝ่าย และจะไม่มีการใช้อาวุธหรือใช้ความรุนแรง ส่วนเรื่องข้อกฎหมายที่ติดขัด ต้องถามนักกฎหมาย พล.อ.บุญสร้าง ยังยืนยันด้วยว่า การหารือกับกัมพูชาครั้งนี้ ไม่ได้ล้มเหลว ถือว่าได้อะไรมาก แต่ไม่ได้ข้อเสนอที่จะไปเสนอรัฐบาลเท่านั้น และว่า ต่างคนต่างรู้จุดยืนของแต่ละฝ่ายว่าเป็นอย่างไร และติดข้อกฎหมาย จึงนำไปสู่รูปธรรมไม่ได้ และจะมีการประชุมอีกครั้ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้าจะมีการประชุม 2 ฝ่ายดังกล่าว ทางสมเด็จฮุนเซน นายกฯ ของกัมพูชา ได้ส่ง จ.ม.ถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ของไทยเมื่อวันที่ 19 ก.ค.โดยยืนยันว่า พื้นที่ที่กำลังมีการเผชิญหน้ากันอยู่ขณะนี้บริเวณวัดแก้วศิขเรศวรเป็นพื้นที่ของกัมพูชา โดยยึดตามแผนที่ที่เคยใช้ประกอบการพิจารณาของศาลโลกในการพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาเมื่อปี 2505 สำหรับ จ.ม.ของสมเด็จฮุนเซนดังกล่าวมีขึ้นหลังจากนายสมัครได้ส่ง จ.ม.ยืนยันต่อนายกฯ ฮุนเซนเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนของไทย การที่ชาวกัมพูชาเข้าไปสร้างที่อยู่อาศัยบริเวณดังกล่าวถือว่าละเมิดอธิปไตยของไทย ทั้งนี้ ไม่เพียงนายกฯ กัมพูชาจะแสดงออกอย่างชัดแจ้งในการอ้างสิทธิเหนือดินแดนไทยโดยรอบปราสาทพระวิหาร แต่กัมพูชายังได้เดินเกมรุกทางการทูตครั้งใหญ่หลังการเจรจา 2 ฝ่ายที่ จ.สระแก้วล้มเหลว ด้วยการทำหนังสือฟ้องร้องไปยังยูเนสโก และยื่นเรื่องไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอสซี)เรียกร้องให้จัดประชุมฉุกเฉินเรื่องนี้ ไม่เท่านั้นกัมพูชายังได้เชิญบรรดาทูตจากประเทศที่รับตำแหน่งอยู่ในคณะมนตรีความมั่นคงฯ มาพบ เพื่อฟังแถลงกล่าวหาว่าไทยรุกรานดินแดนของตนด้วย นอกจากนี้กัมพูชายังเคลื่อนไหวด้วยการเรียกร้องให้อาเซียนตั้งทีมขึ้นมาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทครั้งนี้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามอาเซียนไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกัมพูชาที่พยายามผลักดันให้ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาเข้าสู่ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นเวทีระดับโลก ทั้งที่ยังไม่ผ่านเวทีระดับภูมิภาคอย่างอาเซียนก่อน ซึ่งอาเซียนเห็นว่า ขณะนี้ข้อพิพาทดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายยังสามารถหารือกันได้ในการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชาที่จะมีขึ้นต่อไป ส่วนท่าทีของคณะมนตรีความมั่นคงฯ ต่อข้อเรียกร้องของกัมพูชานั้น ตอนแรกคณะมนตรีความมั่นคงฯ มีกำหนดจะหารือเรื่องนี้ในวันที่ 24 ก.ค. แต่สุดท้ายได้แจ้งเลื่อนการหารือเรื่องนี้ออกไป หลังนายกฯ ไทยและนายกฯ กัมพูชาได้หารือกันทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 24 ก.ค.โดยตกลงกันว่า จะเปิดการหารือระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายในวันที่ 28 ก.ค.นี้ โดยคณะมนตรีความมั่นคงฯ จะขอรอดูผลการเจรจาของทั้งสองฝ่ายในวันที่ 28 ก่อนว่าจะเป็นอย่างไร ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม เชื่อว่า การเจรจากับกัมพูชาในวันที่ 28 ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ผ่านการเลือกตั้งของกัมพูชาแล้ว(27 ก.ค.) น่าจะทำให้การเจรจาง่ายขึ้น พร้อมยืนยันว่า จะสามารถตั้งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเพื่อไปเจรจากับกัมพูชาได้ทันก่อนวันที่ 28 ก.ค. ซึ่งล่าสุด วันนี้(26 ก.ค.) ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่แล้ว คือ นายเตช บุนนาค อดีตอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตันดี.ซี. และอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงานราชเลขาธิการ 11 สำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง ทั้งนี้ หากการเจรจาระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศไทย-กัมพูชาในวันที่ 28 ก.ค.นี้ล้มเหลว ทางกัมพูชาก็ได้เตรียมขอความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งสหประชาชาติอีกครั้ง สำหรับสถานการณ์ทั่วไปบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาใน อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษเมื่อวันที่ 23 ก.ค. ทางแม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.สุจิตร สิทธิประภา ได้มีการเตรียมการให้ประชาชนในพื้นที่ซ้อมแผนใช้หลุมหลบภัยเมื่อเกิดสงคราม โดย พล.ท.สุจิตร บอกว่า เป็นการเตรียมการปกติในฐานะพื้นที่ชายแดน ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะเกิดสงครามแต่อย่างใด ส่วนความคืบหน้ากรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและ ส.ว.จำนวนหนึ่ง ได้ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ไต่สวนเพื่อเอาผิดนายกฯ และ ครม.ทั้งคณะฐานเห็นชอบการลงนามในแถลงการณ์ร่วมเพื่อสนับสนุนกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัด รธน.มาตรา 190 นั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ทาง ป.ป.ช.ได้ประชุมและมีมติให้ตั้งคณะกรรมการไต่สวน ครม.ทั้งคณะแล้ว โดยเป็นคณะกรรมการไต่สวนชุดใหญ่ที่ประกอบด้วย ป.ป.ช.ทั้งคณะ ส่วนกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ได้พูดจากล่าวหา 3 คนไทยในกลุ่มธรรมยาตราที่ถูกทหารกัมพูชาจับตัว โดยเรียก 3 คนไทยดังกล่าวว่า “ไอ้บ้า 3 ตัวอยากให้มีเรื่อง จึงโผล่เข้าไปให้เขาจับ...”นั้น ปรากฏว่า 3 คนไทยดังกล่าว ประกอบด้วย พระคำพอง ชยธัมโม ,นายวิชาญ ทับซ้อน และนางชนิกานจ์ เก่งนอก ได้เข้าแจ้งความต่อ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เพื่อดำเนินคดีนายสมัครฐานหมิ่นประมาทแล้วเมื่อวันที่ 22 ก.ค. ขณะที่ พ.ต.อ.ธวัฒชัย เจริญโภคทรัพย์ ผกก.สภ.ปากเกร็ด บอกว่า เบื้องต้นได้รับคำร้องทุกข์ไว้ก่อน และต้องช่วยกันตีความคำพูดของนายสมัครว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาท ทำให้เสียหายหรือไม่
โปรดเกล้าฯ"เตช บุนนาค"รมว.ต่างประเทศ-ถกเขมรจันทร์นี้
ทูตยูเอ็นเผยกัมพูชาร่อน จม.ขอเลื่อนถกข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร
ส.ว.ลุยพื้นที่ “พระวิหาร” - ผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ เผยชาวบ้านเริ่มฝึกอาวุธป้องกันภัย!!
“บุญสร้าง” เผยผลถก “เขมร”เหลว เพราะถือแผนที่คนละฉบับ
ฉะ"ฮุนเซน"ถอนฟ้อง UN ซูเอี๋ยต่อชีวิตรัฐบาลหมัก
ชาวศรีสะเกษชายแดน “เขาวิหาร” ฝึกชุดอาสาฯ-พร้อมอาวุธเพื่อป้องกันหมู่บ้าน
2. “ม็อบถ่อย รบ.”รุมตี “พันธมิตรฯ”ปางตาย ด้าน “เฉลิม”ยังกล้าให้ท้าย!
ความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวเนื่องกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากกรณีนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน จะลุกขึ้นมาใช้สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีเป็นเครื่องมือโจมตีพันธมิตรฯ ด้วยการให้แกนนำพีทีวีและแกนนำ นปก.อย่างนายวีระ มุสิกพงศ์ ,นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ มาเป็นผู้ดำเนินรายการตอบโต้พันธมิตรฯ ทุกวันแล้ว ยังมีกรณีที่ตำรวจออกหมายจับ “ดา ตอร์ปิโด”ฐานหมิ่นสถาบัน แถมยังเล่นงานนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เป็นผู้แฉว่าดา ตอร์ปิโดหมิ่นสถาบันด้วย รวมถึงกรณีที่กลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ในหลายจังหวัดที่เป็นฐานเสียงของพรรคพลังประชาชนได้แสดงพฤติกรรมถ่อยรุมทำร้ายชาวบ้านฝ่ายพันธมิตรฯ อย่างเหี้ยมโหด โดยกรณีที่ดา ตอร์ปิโด หรือ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล 1 ในสมาชิก นปก.ที่เคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐบาลอยู่ที่สนามหลวง ถูกตำรวจออกหมายจับฐานหมิ่นเบื้องสูงนั้น มีขึ้นหลังจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ ได้ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ เมื่อคืนวันที่ 20 ก.ค.โดยแฉพฤติกรรมของ น.ส.ดารณีว่า ได้ปราศรัยบนเวทีที่สนามหลวงเมื่อวันที่ 18 ก.ค.โดยมีข้อความให้ร้ายและดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถอย่างชัดเจน นายสนธิจึงเรียกร้องให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ดำเนินคดี น.ส.ดารณี แต่ขณะที่ยังไม่มีปฏิกิริยาใดใดจากรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทางกองทัพบกซึ่งได้ทราบเรื่องดังกล่าว จึงได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเมื่อวันที่ 21 ก.ค.ให้ตรวจสอบการปราศรัยของ น.ส.ดารณี หากพบว่าผิดจริง ขอให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยกองทัพบกจะติดตามผลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ปรากฏว่า หลังถูกกองทัพบกจี้ให้ตรวจสอบเรื่องนี้ ทาง พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้รีบเรียกประชุมเพื่อพิจารณาการปราศรัยของ น.ส.ดารณีทันทีในเย็นเดียวกัน จากนั้นวันต่อมา(22 ก.ค.)ได้ขอศาลเพื่ออนุมัติออกหมายจับ น.ส.ดารณี เมื่อศาลอนุมัติ จึงได้เข้าจับกุม น.ส.ดารณี(ที่หอพักสตรีชุลีพร เขตจตุจักร)ก่อนนำตัวมาแถลงข่าวที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ขณะที่ น.ส.ดารณี ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยขอให้การในชั้นศาล ด้านตำรวจได้นำตัว น.ส.ดารณีไปขอศาลฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน(ถึงวันที่ 2 ส.ค.)เนื่องจากต้องสอบปากคำพยานเพิ่มอีก 6 ปาก ซึ่งศาลอนุญาตให้ฝากขังได้ เมื่อ น.ส.ดารณีไม่ได้ยื่นคำร้องขอประกันตัว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงนำตัวไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง บางเขน ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกรัฐบาลและอดีตแกนนำ นปก.รีบออกมาลอยแพ “ดา ตอร์ปิโด”โดยอ้างว่า น.ส.ดารณีเคลื่อนไหวในสนามหลวงแต่คนละเวทีกับ นปก. วันต่อมา(23 ก.ค.)ได้มีอาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มคนเดือนตุลาไม่เอาเผด็จการ ซึ่งเคลื่อนไหวสอดรับกับ นปก.มาตลอด คือนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ได้ขอยื่นประกันตัว น.ส.ดารณีต่อศาลอาญา แต่พนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว โดยชี้ว่า พฤติการณ์แห่งคดีร้ายแรง และเชื่อว่า หากปล่อยตัวชั่วคราวอาจหลบหนี ซึ่งศาลเห็นด้วย จึงยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังตำรวจจับกุม น.ส.ดารณีได้เพียง 1 วันแถมคัดค้านการประกันตัวด้วยนั้น ปรากฏว่า ทางตำรวจ สน.ดุสิตก็ได้ขอศาลออกหมายจับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ฐานหมิ่นสถาบันเช่นกัน โดยชี้ว่า การที่นายสนธินำคำปราศรัยของ น.ส.ดารณีมาพูดบนเวทีพันธมิตรฯ เป็นการเผยแพร่ข้อความที่หมิ่นสถาบัน จึงเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 เช่นเดียวกับ น.ส.ดารณี ทั้งนี้ หลังทราบว่าศาลอนุมัติหมายจับนายสนธิ ทางนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ได้โทรศัพท์ประสาน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.ว่าจะเข้ามอบตัวในวันรุ่งขึ้น(24 ก.ค.9.00น.) ซึ่ง พล.ต.ท.อัศวินได้ส่งสัญญาณระหว่างแถลงข่าวออกหมายจับนายสนธิด้วยว่า อาจไม่ให้นายสนธิประกันตัว โดย พล.ต.ท.อัศวิน พูดเป็นนัยว่า ตนมีมาตรฐานเดียว ขณะที่แกนนำพันธมิตรฯ เชื่อว่า นี่คือแผนของเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนที่วางหมากไว้แล้วว่า ต้องไม่ให้ น.ส.ดารณีประกันตัว เพื่อจะได้เป็นมาตรฐานว่านายสนธิก็จะไม่ได้ประกันตัวเช่นกัน การเร่งดำเนินคดีและส่อไม่ให้นายสนธิประกันตัว ส่งผลให้ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ และประชาชนจากต่างจังหวัดแห่ไปให้กำลังใจนายสนธิหลายหมื่นคนระหว่างเข้ามอบตัวที่ บช.น.เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ขณะที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด ได้แต่งเครื่องแบบทหารเข้าเป็นพยานให้นายสนธิ เพื่อยืนยันว่า นายสนธิไม่ได้มีเจตนาหมิ่นเบื้องสูง ที่ทำไปก็เพราะความจงรักภักดี ต้องการให้มีการดำเนินคดีกับ น.ส.ดารณีที่หมิ่นเบื้องสูง ซึ่งในที่สุด พล.ต.ท.อัศวิน ได้ให้นายสนธิประกันตัว(นายคำนูณ สิทธิสมาน ใช้ตำแหน่ง ส.ว.ขอประกัน) โดยให้เหตุผลว่า ใช้มาตรฐานเดียวกับนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ ที่ก่อนหน้านี้ถูกออกหมายจับ และขอเข้ามอบตัวเอง จึงอนุญาตให้ประกันตัว ต่างจากกรณี น.ส.ดารณีที่ไม่ได้เข้ามอบตัว แต่ตำรวจต้องไปตามจับกุมเองถึงที่พัก ส่วนความเคลื่อนไหวกรณีที่ม็อบต้านพันธมิตรฯ ในหลายจังหวัดรุมทำร้ายพันธมิตรฯ อย่างป่าเถื่อนนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ก่อนหน้านี้ม็อบต้านพันธมิตรฯ ในบางจังหวัด เช่น ที่เชียงราย จะโชว์ความป่าเถื่อนด้วยการปิดสนามบินเพื่อล่าพันธมิตรฯ โดยตรวจค้นรถทุกคันที่ออกจากสนามบินเชียงราย รวมทั้งยิงหนังสติ๊กและขว้างปาสิ่งของใส่สำนักงานของอดีต ส.ว.เชียงราย นางเตือนใจ ดีเทศน์ และบ้านของแนวร่วมพันธมิตรฯ แล้ว ก็ได้เกิดพฤติกรรมป่าเถื่อนของม็อบหนุนรัฐบาลต้านพันธมิตรฯ หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่ จ.อุดรธานี และบุรีรัมย์ ซึ่งเกิดขึ้นในวันเดียวกันเมื่อ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยที่บุรีรัมย์นั้น ม็อบต้านพันธมิตรฯ กว่า 500 คน บางส่วนสวมหมวกไหมพรมปิดบังหน้าตา ได้ปาระเบิดพลาสติกใส่ตำรวจชุดปราบจลาจล 3 ลูกที่ตั้งด่านไม่ให้กลุ่มต้านกับกลุ่มพันธมิตรฯ เผชิญหน้ากัน จากนั้นกลุ่มต้านพันธมิตรฯ ยังได้ใช้ก้อนหินขนาดใหญ่และท่อนเหล็กตีตำรวจจนได้รับบาดเจ็บหลายนาย ก่อนที่จะบุกไปพังเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯ แล้วแยกย้ายกันหลบหนี โดยตำรวจสามารถไล่จับกุมผู้ก่อเหตุได้ 12 ราย ส่วนที่ จ.อุดรธานีนั้น ขณะที่พันธมิตรฯ อุดรธานีกำลังเตรียมเปิดเวทีปราศรัยภายในหนองประจักษ์ศิลปาคม เทศบาลนครอุดรธานี ทางกลุ่มต้านพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นกลุ่มคนรักอุดรของนายอุทัย แสนแก้ว น้องชายนายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส.อุดรธานี พรรคพลังประชาชน และรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ กว่า 700 คน ที่นัดมารวมตัวกันที่สนามทุ่งศรีเมือง หน้าศาลากลางจังหวัดอุดรฯ ได้เดินเท้าฝ่าด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อบุกเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯ ซึ่งเมื่อฝ่าด่านได้ ม็อบกลุ่มคนรักอุดรก็ได้ใช้อาวุธทั้งไม้และเหล็กรุมทำร้ายกลุ่มพันธมิตรอย่างบ้าคลั่ง พันธมิตรฯ บางคนที่หนีไม่พ้นได้ถูกรุมตีและกระทืบที่ลำตัวและศีรษะ บางคนถึงกับสลบแน่นิ่งต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ และแม้จะมีรถฉุกเฉินเข้ามารับคนเจ็บ แต่ม็อบต้านพันธมิตรฯ ก็ยังถ่อยไม่เลิก โดยได้เข้าทุกกระจกรถจนแตก ไม่เท่านั้นยังรื้อทำลายและเผาเวทีของพันธมิตรจนย่อยยับ ก่อนแยกย้ายกันหนีไป เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ชาวบ้านกลุ่มพันธมิตรได้รับบาดเจ็บถึง 13 ราย มีทั้งหญิงและชาย บางรายอาการสาหัส หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว แกนนำพันธมิตรฯ ได้ออกแถลงการณ์ประณามพฤติกรรมของม็อบถ่อยที่ทำร้ายร่างกายและพยายามฆ่าประชาชนที่ร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ในหลายจังหวัดขณะนี้ พร้อมเชื่อว่า การกระทำที่เหี้ยมโหด ทารุณ ป่าเถื่อนดังกล่าว มีรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐคอยบงการและสนับสนุนในการทำร้ายประชาชน พันธมิตรฯ ขอแสดงความเสียใจและให้กำลังใจผู้ที่ถูกทำร้าย และขอให้ผู้บาดเจ็บดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มอันธพาลของรัฐบาลจนถึงที่สุด หากจังหวัดใดไม่มั่นใจว่าจะสามารถพึ่งพาเจ้าหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยได้ ขอให้งดจัดเวทีปราศรัย หากจะจัดขอให้ประสานและรับคำแนะนำจากพันธมิตรฯ ส่วนกลางก่อน แถลงการณ์พันธมิตรฯ ยังระบุด้วยว่า ขอประณามรัฐบาลหุ่นเชิด โดยเฉพาะนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย ที่ได้ให้กลุ่มบริวารทำร้ายประชาชน และขอเรียกร้องให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในแสดงความรับผิดชอบมากกว่าการวางเฉย เพราะหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป จะเกิดการนองเลือดทั่วประเทศ เพราะฝ่ายที่ถูกกระทำอาจจะต้องลุกขึ้นสู้ในที่สุด ทั้งนี้ พันธมิตรฯ จะเป็นตัวแทนดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐทุกคนที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบในทุกๆ กรณี และมีมติจะยื่นฟ้องทั้งต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติต่อไป เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างแถลงข่าว แกนนำพันธมิตรฯ ได้เปิดวีดิโอบันทึกภาพนายอุทัย แสนแก้ว แกนนำกลุ่มคนรักอุดร น้องชายนายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส.อุดรธานี พรรคพลังประชาชน และรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ กำลังปราศรัยบนรถกระจายเสียงระหว่างที่ม็อบถ่อยกำลังรุมทำร้ายพันธมิตรฯ ให้ผู้สื่อข่าวดูด้วย ด้านนายธีระชัย แสนแก้ว รีบออกมาปฏิเสธว่าตนไม่ได้อยู่เบื้องหลังม็อบถ่อยดังกล่าว แถมโทษว่าเป็นความผิดของพันธมิตร เพราะถ้าพันธมิตรฯ ไม่ไปตั้งเวทีด่าใครต่อใครโดยไม่มีเหตุผล ชาวอุดรธานีก็คงไม่ทำอะไร ขณะที่นายขวัญชัย ไพรพณา แกนนำกลุ่มคนรักอุดร พร้อมสมาชิกกว่า 700 คนยังคงเปิดเวทีปราศรัยในวันต่อมา(25 ก.ค.) หลังยกพวกไปรุมทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ โดยนายขวัญชัย ยังขู่ด้วยว่า หากพันธมิตรฯ จัดปราศรัยอีก 10 ครั้ง ตนก็จะต่อต้านทั้ง 10 ครั้ง ด้านผู้ว่าฯ อุดรธานี นายสุพจน์ เลาวัณย์ศิริ ก็อ้างว่า ทางจังหวัดทำดีที่สุดแล้ว และตำรวจก็ได้ทำเต็มที่แล้ว ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย ก็ให้ท้ายม็อบถ่อยที่รุมตีพันธมิตรฯ โดยบอกว่า ถ้าพันธมิตรฯ หยุดเคลื่อนไหว ทุกอย่างก็จบ ด้านนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และคณะ ได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร(25 ก.ค.) เพื่อให้พิจารณาการกระทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงของกลุ่มบุคคลและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐใน จ.อุดรธานี และบุรีรัมย์ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ จะนำเรื่องเข้าที่ประชุม 30 ก.ค.นี้ ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแฉว่า ทราบข่าวมาว่าขณะนี้มีการวางแผนจะขนคนจากจังหวัดต่างๆ มาอยู่ชานเมืองกรุงเทพฯ และเตรียมลุกฮือเพื่อผลักดันการแก้ไข รธน.ในวันที่ 1 ส.ค.จึงขอเตือนรัฐบาลว่า ไม่ควรทำอย่างนี้ และว่า หากรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนให้คนยกพวกตีกัน ถือว่ารัฐบาลทำผิดอย่างมหาศาล
ส.ว.กร้าวฟ้อง “เหลิม” ฐานยุยงม็อบถ่อย ฮัลโหลเชียร์ดีเจเถื่อน
พันธมิตรฯ แถลงประณาม “หุ่นเชิด” ชักใยอันธพาล-เล็งฟ้อง กก.สิทธิ-ยูเอ็น
“สุเทพ” แฉหุ่นเชิดบงการม็อบถ่อย เฉ่ง “เหลิม” เชียร์ดีเจเถื่อน
“หมัก” ตามน้ำ! สั่งดำเนินคดี“ดา ตอร์ปิโด” จาบจ้วงสถาบัน
ทบ.กร้าว! จี้ตำรวจดำเนินคดีเด็ดขาด “ดา ตอร์ปิโด” หมิ่น “ในหลวง”
“หุ่นเชิด” ใจฝ่อเลิกยึด NBT โต้พันธมิตรฯ เข็น “ไข่แม้วดำ” พล่ามแทน
พันธมิตรฯ เฮ! ตำรวจให้ประกันตัว “สนธิ” อิสระ
ศาลไม่ให้ประกัน “ดา ตอร์ปิโด”หวั่นเตลิดหนี!
3. แกนนำ “นปก.”ยื่นถอด “ป.ป.ช.” ขณะที่ “พปช.”หนักข้อ ยื่นถอด ตุลาการศาล ปค.!
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ไม่เพียงเดินหน้าดิสเครดิตองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช.แต่เริ่มลามไปถึงสถาบันศาลแล้ว เนื่องจากวันที่ 28 ก.ค.นี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีคำสั่งว่าจะรับฟ้องคดีหวยบนดินหรือไม่ ซึ่งหากรับฟ้อง รัฐมนตรี 3 คนที่ถูกกล่าวหาและขณะนี้มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาล(นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ,นางอุไรวรรณ เทียนทอง รมว.แรงาน ,นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รมช.คมนาคม)จะต้องหยุดพักการทำหน้าที่ชั่วคราว นายสมัครจึงได้พูดทำนองดิสเครดิตและดักคอศาลผ่านรายการ “สนทนาประสาสมัคร”เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ว่า มีความพยายามจะเอากันให้ได้ ต้องการเอารัฐบาลนี้ออก พูดชัดเจนว่า รอบารมีของท่านที่จะสั่งมาวันที่ 28 ก.ค.นี้ ตัดสินลงมา มีคนอยู่ใน ครม.3 คน ทำอะไรไม่ได้เลย นายสมัคร ยังพูดเป็นนัยด้วยว่า จะเอากันให้ตาย แล้วจะใช้สิ่งที่อยู่สูงกว่า ที่เราไม่วิพากษ์วิจารณ์มาเป็นเครื่องมือในการที่จะปลิดคนในรัฐบาล ส่วนกรณี ป.ป.ช.นั้น นายสมัครก็ยังคงดิสเครดิตว่า เป็นองค์กรที่ไม่ชอบ ไม่ได้ถวายสัตย์ ไม่ได้โปรดเกล้าฯ จึงไม่มีสิทธิมาถอดถอนพวกตนที่มาจากการเลือกตั้งและได้รับการโปรดเกล้าฯ ด้านองค์กรแนวร่วมของ นปก.ที่สนับสนุนรัฐบาลอย่างสมาพันธ์ประชาธิปไตย และวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ นำโดยนางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ แกนนำ นปก.ได้ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา(21 ก.ค.)เพื่อให้ถอดถอน ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน โดยอ้างเช่นเดียวกับนายสมัครว่า ป.ป.ช.ได้รับการแต่งตั้งโดย คมช.ไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระมหากษัตริย์ ป.ป.ช.จึงไม่สามารถทำหน้าที่ได้ และการทำหน้าที่ถือเป็นการจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ด้านกรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนได้เปิดแถลงในวันต่อมา(22 ก.ค.) โดยยืนยันว่า การแต่งตั้ง ป.ป.ช.มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ซึ่ง ป.ป.ช.ได้เคยทำหนังสือถึงนายรองพล เจริญพันธุ์ เลขาธิการ ครม.สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ เพื่อขอให้กราบบังคมทูลฯ โปรดเกล้าฯ แต่ได้รับการแจ้งกลับว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ คปค.มีประกาศฉบับที่ 19 แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนั้น ถือว่ามีผลสมบูรณ์สามารถบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย เนื่องจาก คปค.มีสถานะเป็น “รัฏฐาธิปัตย์”ในขณะนั้น ด้านนายวิชา มหาคุณ 1 ใน ป.ป.ช.มองว่า จุดประสงค์ใหญ่ของการดิสเครดิต ป.ป.ช.ครั้งนี้ คงเป็นเพราะต้องการแก้ รธน.ซึ่งเป็นการทำตามใบสั่งตั้งแต่ช่วงจัดตั้งรัฐบาล นายวิชา ยังให้แง่คิดรัฐบาลด้วยว่า แม้ ครม.จะเข้าสู่ตำแหน่งโดยการโปรดเกล้าฯ และถวายสัตย์ว่าจะจงรักภักดี แต่ยังปรากฏว่า มีรัฐมนตรีบางคนติดคุก จึงไม่ได้หมายความว่า ถวายสัตย์แล้วจะซื่อสัตย์เสมอไป ทั้งนี้ วันเดียวกัน(22 ก.ค.)ได้มีกลุ่มหนุนรัฐบาลต้านพันธมิตรฯ นำโดยนายวรัญชัย โชคชนะ และกลุ่ม 24 มิถุนา นำโดยนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข พร้อมประชาชนเสื้อแดงกว่า 100 คนไปชุมนุมที่หน้าสำนักงาน ป.ป.ช.เรียกร้องให้ ป.ป.ช.ลาออก โดยมีการเป่านกหวีด และจุดประทัดขับไล่ พร้อมเผาหุ่นนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเผาหุ่นพร้อมโลงศพ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน แต่เกิดพลาด เนื่องจากนายเที่ยง ภักดีรัตน์ ชาวสุโขทัย ได้ราดน้ำมันลงไปบนโลงศพที่ไฟกำลังลุกไหม้ ไฟจึงได้ลามตามน้ำมันขึ้นมาไหม้เสื้อผ้าและลำตัวนายเที่ยง ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ต้องรีบเข้าช่วยดับไฟที่ไหม้นายเที่ยง ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยได้รับบาดเจ็บเป็นแผลพุพองบริเวณลำตัวซีกขวา ทั้งนี้ นอกจากองค์กรแนวร่วม นปก.จะยื่นประธานวุฒิสภาเพื่อถอดถอน ป.ป.ช.แล้ว ทางพรรคพลังประชาชน นำโดยนายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกพรรคฯ ก็ได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนและกองทุน ที่มีนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคพลังประชาชนเป็นประธาน เพื่อให้สอบ ป.ป.ช.อีกทาง โดยอ้างว่า นอกจาก ป.ป.ช.จะไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แล้ว ยังผิดกฎหมายอาญา ฐานขึ้นเงินเดือนให้เลขานุการและที่ปรึกษา อย่างไรก็ตาม ทาง ป.ป.ช.ได้ชี้แจงก่อนหน้านี้แล้วว่า เรื่องขึ้นเงินเดือนเลขาฯ และที่ปรึกษานั้น มีกฎหมายรองรับให้อำนาจ ป.ป.ช.ดำเนินการได้ ซึ่ง ป.ป.ช.ได้ศึกษารอบคอบแล้ว จึงไม่เหมือนกับกรณีที่ ป.ป.ช.ชุดก่อนขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง นอกจากเดินเกมถอดถอน ป.ป.ช.แล้ว พรรคพลังประชาชนยังได้ล่าชื่อ ส.ส.เพื่อถอดถอนองค์คณะตุลาการศาลปกครอง 3 คนที่สั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ ครม.และนายนพดล ปัทมะ ลงนามสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยนายจุมภฏ วงศ์ใหญ่ ส.ส.สกลนคร พรรคพลังประชาชนที่ได้รับมอบหมายให้รวบรวมรายชื่อ ส.ส.เพื่อยื่นถอดถอนตุลาการศาลปกครองดังกล่าว อ้างว่า การรับคำร้องและสั่งคุ้มครองชั่วคราวของตุลาการฯ ดังกล่าว เป็นการปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพราะเมื่อครั้งมีการยื่นเรื่องให้ศาลปกครองรับฟ้องกรณีมติ ครม.เกี่ยวกับการลงนามในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(เจเทปป้า) สมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ องค์คณะตุลาการฯ ชุดเดียวกันนี้กลับไม่รับฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า ไม่อยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ นายจุมภฎ ยังยืนยันด้วยว่า การยื่นถอดถอนตุลาการศาลปกครองทั้ง 3 คน ไม่ใช่เพราะอาฆาตแค้น แต่ต้องการให้เกิดหลักที่ชัดเจนว่า อะไรทำได้และอะไรทำไม่ได้ นอกจากยื่นถอดตุลาการศาลปกครองแล้ว ส.ส.พรรคพลังประชาชนยังได้รวบรวมรายชื่อ ส.ส.เพื่อยื่นให้ประธานรัฐสภาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยว่า สัญญาซื้อขายเครื่องบินกริฟเพนที่กองทัพไทยทำกับประเทศสวีเดนสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ ขัด รธน.มาตรา 190 หรือไม่ โดยอ้างว่าการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ก็เพื่อให้กองทัพสบายใจ ด้าน พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ ยืนยันว่า การจัดซื้อเครื่องบินดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)แล้ว และไม่ใช่สนธิสัญญาตามมาตรา 190 เพราะไม่เกี่ยวกับเรื่องอธิปไตยหรือดินแดน พล.อ.อ.ชลิต ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า คนที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมาไม่ได้อยู่ใน คมช.จึงไม่ทราบเรื่อง และคงเป็นประเด็นการเมืองที่อาจจะอยากแก้ รธน.ก็ได้ ส่วนความเคลื่อนไหวเรื่องแก้ รธน.นั้น ในส่วนของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม รธน.พ.ศ.2550 ที่มีนายกระมล ทองธรรมชาติ เป็นประธาน ได้นัดให้คณะอนุกรรมาธิการทั้ง 5 คณะสรุปข้อดี-ข้อเสียของแต่ละหมวดต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการชุดใหญ่ในวันที่ 29 ก.ค.นี้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า ควรจะมีการแก้ไขหรือไม่แก้ไขในปัญหาใดบ้าง โดยจะใช้เสียงของกรรมาธิการข้างมากเป็นหลัก
ผบ.ทอ.เชื่อ! คุ้ยจัดซื้อกริพเพนเป็นเหยื่อแก้ รธน.
กรรมสนอง!! นปช.ประท้วงจุดไฟเผาโลงไล่ ป.ป.ช. ไฟลวกตัวเองบาดเจ็บ
นปก.งานเข้า ยื่นถอด ป.ป.ช. - จัดฉลอง 1 ปีม็อบถ่อยบุก “บ้านป๋า”
ป.ป.ช.ยันราชเลขาธิการ ทำหนังสือแจ้งที่มา ป.ป.ช.ถูกต้องตาม กม.
4. “อัยการ”เจอโรคเลื่อนรอบ 3-ไม่สั่งคดีปกปิดหุ้นเอสซีฯ ขณะที่ “ทักษิณ”ยืนยัน ไม่คิดล้างแค้นใคร!
เมื่อวันที่ 22 ก.ค.นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษ 4 ได้นัดสั่งคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นผู้ต้องหา พร้อมกับพวกอีก 2 คน คือนางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ กรรมการบริษัทฯ และนางบุษบา ดามาพงศ์ กรรมการบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลานัด ปรากฏว่า มีเพียงนางเพ็ญโสมคนเดียวที่เดินทางมารายงานตัว ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ,คุณหญิงพจมาน และนางบุษบา ได้ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะนายประกัน พร้อมทนายความ(นายสมหมาย กู้ทรัพย์) มายื่นหนังสือขอให้อัยการเลื่อนการสั่งคดีออกไป โดยอ้างว่า ผู้ต้องหาทั้งสามติดภารกิจสำคัญที่นัดหมายไว้แล้ว ไม่สามารถมารายงานตัวได้ ด้านนายวงศ์สกุล อัยการพิเศษฯ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ผู้ต้องหาไม่ได้บอกรายละเอียดว่าติดภารกิจใด ประกอบกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ยังไม่ส่งเอกสารที่เกี่ยวกับหุ้นจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่จะทำให้สำนวนคดีนี้ครบถ้วนมาให้อัยการ จึงจำเป็นต้องเลื่อนการสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 16 ก.ย.(เวลา 9.00น.) ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ อ้างว่า ตอนนี้หมดหน้าที่ของดีเอสไอแล้ว เพราะได้สอบสวนเพิ่มเติมพยานบุคคลและสรุปสำนวนส่งอัยการไปแล้ว ส่วนเอกสารจากต่างประเทศนั้น เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) ซึ่งไม่สามารถเร่งรัดหน่วยงานต่างประเทศในไทยได้ อนึ่ง การเลื่อนสั่งคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซีฯ ของอัยการในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยครั้งแรก อัยการนัดสั่งคดีเมื่อวันที่ 3 เม.ย. แต่เมื่อถึงกำหนด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายประกัน ได้ยื่นหนังสือขอให้อัยการเลื่อนสั่งคดี โดยอ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณติดภารกิจเดินทางไปต่างจังหวัด ส่วนนางบุษบา ดามาพงศ์ เดินทางไปต่างประเทศ อัยการจึงเลื่อนสั่งคดีไปเป็นวันที่ 15 พ.ค. แต่เมื่อถึงกำหนด พ.ต.ท.ทักษิณ ,คุณหญิงพจมาน และนางบุษบา ก็ขอให้อัยการเลื่อนสั่งคดีอีก โดยอ้างว่าติดภารกิจ ประกอบกับอัยการต้องรอเอกสารเกี่ยวกับหุ้นจากต่างประเทศที่ดีเอสไอยังไม่ได้ส่งให้ อัยการจึงได้เลื่อนสั่งคดีไปเป็นวันที่ 22 ก.ค. แต่ในที่สุด เมื่อถึงกำหนด ผู้ต้องหาทั้งสามก็ยังอ้างว่าติดภารกิจ แถมอัยการก็อ้างว่ายังไม่ได้เอกสารจากต่างประเทศจากดีเอสไอ จึงเลื่อนออกไปอีกครั้งว่าจะสั่งฟ้องคดีนี้หรือไม่ในวันที่ 16 ก.ย. ซึ่งหากนับรวมระยะเวลาที่อัยการเลื่อนสั่งคดี 3 ครั้ง เท่ากับว่าการสั่งคดีนี้ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นกว่า 6 เดือนแล้ว ส่วนความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ได้มีกลุ่มบุคคลต่างๆ เข้าอวยพรวันเกิดล่วงหน้าแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ในโอกาสที่จะมีอายุครบ 59 ปีในวันที่ 26 ก.ค.ที่อาคารชินวัตร 3 โดยนอกจากจะมีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบันเข้าอวยพรแล้ว ยังมีกลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นแนวร่วม นปก.และเคลื่อนไหวต่อต้านพันธมิตรฯ มาตลอดประมาณ 300 คน เข้าอวยพร พ.ต.ท.ทักษิณเช่นกัน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณได้กล่าวกับผู้ที่เข้าอวยพรด้วยว่า “...ผมเข้าวัดทำบุญนั่งสมาธิอโหสิกรรมทุกวัน กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรผู้จองเวรทั้งหลายตลอดเวลา...หวังว่าคนไทยทุกคนจะให้อภัยกัน...อยากให้ทุกคนอดทนกันต่อไป สักวันสิ่งที่ดีย่อมชนะสิ่งที่ไม่ดี...ขอให้ทุกฝ่ายรู้ว่า ผู้ที่ได้ทำอะไรไม่ดีต่อผม ผมไม่ได้คิดล้างแค้น เจ็บใจอะไร...” พ.ต.ท.ทักษิณ ยังส่งสัญญาณด้วยว่าอยากไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศมากกว่า โดยบอกว่า “ใจผมเอง จริงๆ แล้ว อยากให้เสร็จเรื่องเสร็จราวของผม แล้วอยากจะไปทำมาหากินอยู่ต่างประเทศ”
มุกเก่า “แม้ว” อโหสิไม่คิดล้างแค้น!! วอนทุกฝ่ายยุติความรุนแรง
คดีเอสซีฯ ส่อเค้ามวยล้ม ถ้าไม่มีหลักฐานโอนหุ้น “สิงคโปร์-มาเลย์” แนบ!