1. “พันธมิตรฯ”ใช้ยุทธการ “สงคราม 9 ทัพ”นำม็อบเรือนแสนยึดทำเนียบฯ สำเร็จแล้ว ด้าน “สมัคร”ยังไม่ลาออก!
หลังจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประสบความสำเร็จในการใช้ยุทธการ “ดาวกระจาย”แบ่งกลุ่มย่อยเดินสายไปยังสถานที่สำคัญๆ เพื่อให้กำลังใจบุคคลและองค์กรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขณะเดียวกันก็กดดันให้ผู้ที่คิดคดทรยศต่อชาติออกไป ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.พันธมิตรฯ ก็ได้เคลื่อนพลกว่า 5 พันคนไปให้กำลังใจ 3 กกต.(นายอภิชาต สุขัคคานนท์-นายประพันธ์ นัยโกวิท-นายสุเมธ อุปนิสากร) พร้อมขับไล่ 1 กกต.คือ นายสมชัย จึงประเสริฐ เพราะมีพฤติกรรมเข้าข้างพรรคพลังประชาชนในทุกกรณี นอกจากนี้ผู้ชุมนุมหลายพันคนยังได้เคลื่อนพลไปกระทรวงการต่างประเทศ(เมื่อ 18 มิ.ย.)เพื่อขับไล่นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ฐานสมคบคิดกับฝ่ายกัมพูชาในการขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกจนทำให้ไทยต้องเสียดินแดนด้วย ไม่เท่านั้นแกนนำพันธมิตรฯ ยังได้ขอประชามติจากผู้ชุมนุมเมื่อคืนวันที่ 17 มิ.ย.ว่าจะเคลื่อนพลไปปักหลักชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลในวันศุกร์ที่ 20 มิ.ย.เวลา 13.00น. โดยประกาศว่า “ไม่ชนะไม่กลับ”ท่ามกลางเสียงปรบมือสนับสนุนของผู้ชุมนุมกว่า 5 พันคน ขณะที่สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ 43 แห่ง ได้ประชุม(17 มิ.ย.)และมีมติเอกฉันท์เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ และว่า หากรัฐบาลใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม จะใช้มาตรการงดจ่ายไฟฟ้า น้ำประปาในหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งนัดหยุดงานพร้อมกันทันที ทั้งนี้ เบื้องต้น สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)จะทำหนังสือทวงไปยังกระทรวงมหาดไทยให้ชำระค่าไฟที่ค้างอยู่กว่า 13 ล้านบาทภายใน 7 วัน หากไม่จ่าย กฟน.จะตัดไฟทันที โดยเป็นการดำเนินการมาตรฐานเดียวกับประชาชน เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังพันธมิตรฯ ประกาศจะเคลื่อนพลไปยังทำเนียบฯ ทาง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย ได้พยายามออกมาพูดดิสเครดิตพันธมิตรฯ โดยอ้างว่า หากพันธมิตรฯ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามเป้าหมาย จะพยายามใช้ทุกวิถีทางก่อให้เกิดความวุ่นวาย แถมอ้างด้วยว่า มีทหารพรานชื่อไอ้จ๊อกขนอาวุธเข้ามาในกรุงเทพฯ แล้วส่วนหนึ่ง คาดว่าจะนำมาสนับสนุนการก่อสถานการณ์ความวุ่นวาย ไม่เท่านั้น ร.ต.อ.เฉลิมยังเป่านกหวีดให้คนทั่วประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับพันธมิตรฯ ออกมาแสดงพลังไล่พันธมิตรฯ ด้วย ขณะที่ม็อบ นปช.(นปก.เดิม)ที่นำโดย นพ.เหวง โตจิราการ และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย ซึ่งหนุนรัฐบาล ได้ย้ายจากสนามหลวงมาปักหลักที่หน้ากระทรวงเกษตรฯ ตั้งแต่คืนวันที่ 19 มิ.ย. เพื่อก่อกวนและปราศรัยโจมตีพันธมิตรฯ โดยพยายามประชิดท้ายขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯ บริเวณแยก จปร. ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 100 นายคอยกันไม่ให้ทั้ง 2 ฝ่ายเผชิญหน้า อย่างไรก็ตาม ทางม็อบ นปช.ได้แสดงความป่าเถื่อนด้วยการขว้างขวดใส่ช่างภาพของทีวีไทย ทีวีสาธารณะด้วย สำหรับบรรยากาศการเคลื่อนพลของผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ไปยังทำเนียบฯ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.นั้น ก่อนการเคลื่อนขบวน แกนนำพันธมิตรฯ ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 14 เรื่อง “ธำรงความสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ”โดยระบุว่า การเคลื่อนพลไปชุมนุมที่ทำเนียบฯ ครั้งนี้ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์อันแรงกล้าของประชาชนที่ต้องการให้รัฐบาลลาออก หลังจากพยายามล้มล้าง รธน.เพื่อแก้ปัญหาของตัวเองและพวกพ้อง โดยไม่สนใจแก้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชน ทำให้ประชาชนไม่พอใจ โดยเฉพาะปัญหาข้าวยากหมากแพง แถลงการณ์พันธมิตรฯ ยังยืนยันด้วยว่า การเคลื่อนพลไปทำเนียบฯ ครั้งนี้ จะเป็นไปด้วยความสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธดังที่พันธมิตรฯ ได้ปฏิบัติตลอดมา ดังนั้นหากใครก็ตามที่ไม่ทำตามจุดยืนของพันธมิตรฯ จะถือว่าเป็นกลุ่มอันธพาลนรกป่วนกรุงในฝ่ายรัฐบาลที่ต้องการก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องจัดการอย่างเด็ดขาด และรัฐบาลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ เมื่อพันธมิตรฯ เริ่มเคลื่อนพล แม้รัฐบาลจะระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจนับหมื่นนายประจำทุกจุดเพื่อไม่ให้กลุ่มพันธมิตรฯ มุ่งสู่ทำเนียบฯ ได้ แต่ฝ่ายพันธมิตรฯ ซึ่งใช้ยุทธการ “สงคราม 9 ทัพ”ด้วยการแบ่งแกนนำและแบ่งสายนำผู้ชุมนุมเดินเท้าเข้าสู่ทำเนียบฯ จากทุกทิศทาง แม้จะเจอด่านตำรวจสกัดทุกจุด แต่ก็สามารถฝ่าด่านไปได้ โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ นำผู้ชุมนุมผ่านทางคลองผดุงกรุงเกษม มาทางวัดโสมนัสวรวิหาร และสามารถฝ่าด่านสกัดของตำรวจบริเวณนางเลิ้งได้ หลังจากนั้น นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ก็นำผู้ชุมนุมอีกส่วนหนึ่งเคลื่อนพลโดยใช้เส้นทางเดียวกับขบวนของ พล.ต.จำลอง ขณะที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นำผู้ชุมนุมอีกส่วนเข้าทางด้านวัดเบญจมบพิตร เข้าถนนนครปฐม เจอด่านตำรวจ 2 จุด คือหน้าวัดและข้างสำนักงาน ก.พ. ผู้ชุมนุมจึงได้พยายามฝ่าด่านด้วยการดันแผงเหล็กกั้น เมื่อตำรวจดันไม่อยู่ แผงได้ล้มทับตำรวจ ส่งผลให้มีตำรวจได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 4 นาย ส่วนทางด้านนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ นำผู้ชุมนุมอีกส่วนมาทางแยกมิสกวัน ฝ่าด่านตำรวจเข้ามาบริเวณถนนพิษณุโลก ขณะที่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ แม้จะไม่สามารถนำผู้ชุมนุมส่วนสุดท้ายฝ่าด่านตำรวจที่สะพานมัฆวานฯ ได้ แต่ก็ได้ใช้วิธีเดินอ้อมไปทางวัดมกุฏกษัตริยาราม ผ่านคุรุสภา และไปสมทบกับกลุ่มของนายสมศักดิ์ที่แยกมิสกวัน ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมทั้งหมดประมาณ 5 หมื่นคนใช้เวลาเดินเท้าและฝ่าด่านแค่ประมาณ 3 ชม.ก็สามารถยึดทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จ(ในเวลาประมาณ 16.00น.เศษ) โดยยึดถนนพิษณุโลกตั้งแต่แยกนางเลิ้งไปจนถึงแยกมิสกวัน จากนั้นได้ตั้งเวทีปราศรัย 2 จุด จุดแรกอยู่ที่แยกนางเลิ้ง หันหน้าเข้าทำเนียบฯ คุมเวทีโดย พล.ต.จำลอง ,นายสนธิ และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ จุดที่สองอยู่บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ หันหน้าเข้าทำเนียบฯ เช่นกัน คุมเวทีโดยนายพิภพ ธงไชย ,นายสมศักดิ์ และนายไชยวัฒน์ หลังจากนั้นพันธมิตรฯ ได้ประกาศชัยชนะของประชาชนผู้รักความเป็นธรรม โดยชี้ว่า เป็นชัยชนะที่พันธมิตรฯ สามารถนำแนวทางสันติวิธีมาเคลื่อนไหวภายใต้คนเรือนแสนได้โดยไม่มีเหตุการณ์เลือดตกยางออก หรือเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการเผชิญหน้าหรือทุบตีที่จะซ้ำรอยเหตุการณ์พฤษภาทมิฬอย่างที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะเป็นชนวนการนองเลือด ทั้งยังเป็นชัยชนะที่สามารถยึดพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นเป้าหมายปลายทาง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลชุดนี้ลาออกไป โดยเชื่อว่าประเด็นเขาพระวิหารเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนมาร่วมชุมนุมมากขึ้น เพราะประชาชนเห็นว่าการกระทำของรัฐบาลเป็นการขายชาติ นอกจากนี้ยังถือว่าชัยชนะครั้งนี้เป็นชัยชนะของภาคประชาชนที่ต่อสู้มาตลอด โดยไม่ทำให้เกิดความรุนแรง ส่วนหลังจากนี้ รัฐบาลจะลาออกหรือไม่ เป็นเรื่องที่พันธมิตรฯ ไม่สามารถทราบได้ แต่พันธมิตรฯ จะใช้โอกาสอภิปรายรัฐบาลนอกสภาต่อไปเพื่อตีแผ่เปิดโปงความล้มเหลวของรัฐบาล ด้าน พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงหลังกลุ่มพันธมิตรฯ ฝ่าแนวกั้นของตำรวจเข้าไปบริเวณข้างทำเนียบฯ ได้ว่า ตำรวจไม่ได้แพ้และประชาชนก็ไม่ได้แพ้ แต่ตำรวจและผู้ชุมนุมก็คือ ประชาชน เหตุการณ์ครั้งนี้ชัยชนะจึงเป็นของประชาชนทุกคน พล.ต.ต.สุรพล ยังยืนยันด้วยว่า ตำรวจไม่ได้ยอมผู้ชุมนุม แต่มีกติกาชัดเจนว่า ตำรวจจะไม่ทำร้ายประชาชน ประกอบกับการฝ่าด่านกั้น ผู้ชุมนุมก็ไม่ได้ใช้กำลังหรือใช้อุปกรณ์ใดเป็นอาวุธ แต่ใช้กำลังคนดันเข้ามา เจ้าหน้าที่ก็ดันกลับไป เมื่อตำรวจดันไม่ไหว เพราะผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก จึงเอาไม่อยู่ ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ซึ่งเป็นวันที่พันธมิตรฯ นัดเคลื่อนพลไปยังทำเนียบฯ ปรากฏว่า ทั้งนายกฯ และรัฐมนตรี ต่างไม่เข้าทำงานในทำเนียบฯ โดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ได้เปลี่ยนสถานที่ประชุมเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 14 จากทำเนียบฯ ไปเป็นที่กระทรวงการต่างประเทศแทน นอกจากนี้ในช่วงบ่าย นายสมัครได้เรียกผู้เกี่ยวข้องด้านความมั่นคงประชุมด่วนที่สโมสรกองทัพบก ประกอบด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ,พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. โดยหลังประชุม นายสมัครได้หนีทัพนักข่าวที่รอสัมภาษณ์กรณีพันธมิตรฯ เคลื่อนพลไปยังทำเนียบฯ ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดและปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าว ด้าน พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า นายกฯ เชิญมาช่วยประเมินสถานการณ์ พร้อมยืนยัน ขณะนี้ยังไม่มีอะไร ขอให้สบายใจได้ ทั้งนี้ มีรายงานว่า หลังพันธมิตรฯ ชุมนุมที่ทำเนียบฯ ได้สำเร็จ มีข่าวแพร่สะพัดว่า นายสมัครได้เซ็นประกาศภาวะฉุกเฉินตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว โดยได้ให้เจ้าหน้าที่ประสานไปยังสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีเพื่อเตรียมถ่ายทอดสดการประกาศดังกล่าวที่บ้านพักนายสมัคร แต่ได้มีการสั่งยกเลิกในเวลาต่อมา ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อเย็นวันที่ 20 มิ.ย. นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ และรองหัวหน้าพรรคชาติไทย เผยว่า ได้หารือกับนายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินและเห็นตรงกันว่า หากเหตุการณ์ไม่น่าไว้วางใจ พรรคร่วมรัฐบาลจะรวมตัวกันเพื่อเข้าพบนายสมัครในวันดังกล่าว ด้าน พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.รักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) ชี้ว่า สถานการณ์การชุมนุมของประชาชนขณะนี้ เกิดจากความไม่พอใจที่รัฐบาลลงนามร่วมกับกัมพูชาเพื่อให้ปราสาทเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ดังนั้นมองว่า รัฐบาลอยู่ไม่ได้แล้ว ต้องออกไปแล้ว เพราะคนทั้งประเทศไม่มีใครยอม เรื่องเสียดินแดนคงยอมไม่ได้ และการกระทำดังกล่าวผิดกันทั้ง ครม.เพราะเป็นมติ ครม. ติดคุกกันทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้(เย็นวันที่ 21 มิ.ย.)ยังไม่ท่าทีหรือสัญญาณจากนายสมัครว่าจะลาออกแต่อย่างใด โดยยังคงหนีทัพนักข่าวเช่นเดิม ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.เผย(21 มิ.ย.)ว่า หลังจากนี้ นายสมัครจะเดินทางมาทำงานที่ทำเนียบฯ ตามปกติ ส่วนการประชุม ครม.จะจัดที่ทำเนียบฯ หรือไม่ ตำรวจต้องหารือกันก่อน
“สนธิ” คารวะนักรบ ปชช.ชี้เสียงนกหวีดเคลื่อนพลใหญ่ใกล้ดังแล้ว
ประมวลภาพมวลชนพันธมิตรฯ ปักหลักพักค้างหน้าทำเนียบรัฐบาล
นาทีต่อนาที! พันธมิตรฯ เคลื่อนพลดาวกระจายล้อมทำเนียบไล่รัฐบาลหุ่นเชิด
ด่านนางเลิ้งแตก! พันธมิตรฯ ร่วมแสนเคลื่อนรวมพลเต็มถนน
ทัพแรกถึงนางเลิ้ง ปชช.เรือนหมื่น โห่ไล่รัฐบาลลูกกรอก
ตร.ตรึงกำลังอารักขาทำเนียบเข้ม รับมือพันธมิตรฯ
2. “รัฐบาล”สมคบ “นพดล”หนุนไทยเสียดินแดนเขาพระวิหาร ด้าน “พันธมิตรฯ”เตรียมร้องศาล ปค.24 มิ.ย.นี้!
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดแถลงเรียกร้องให้นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยข้อมูลแผนที่เขาพระวิหารที่กัมพูชาเสนอมาและนายนพดลเตรียมเสนอให้ ครม.เห็นชอบก่อนที่องค์การยูเนสโกจะประชุมสรุปการขึ้นทะเบียนประสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เนื่องจากกังวลว่า นายนพดลกำลังปกปิดข้อมูลแผนที่ รวมทั้งไม่มีการนำเรื่องนี้เข้าพิจารณาในที่ประชุมสภาทั้งที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยโดยตรง และว่า ตราบใดที่ไทยและกัมพูชายังตกลงเรื่องพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารไม่ได้ ขอเรียกร้องให้ไทยยื่นความจำนงถึงยูเนสโกให้เลื่อนการประชุมในเดือน ก.ค.นี้ออกไป ด้านนายนพดลไม่สนใจเสียงเรียกร้องจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยรีบเดินหน้าเสนอเรื่องแผนที่เขาพระวิหารที่กัมพูชาส่งมาให้ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)พิจารณา(16 มิ.ย.) ซึ่งในที่สุดที่ประชุม สมช.ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ เป็นประธาน ก็เห็นชอบแผนที่เขาพระวิหารที่กัมพูชาจัดทำขึ้น เพื่อประกอบการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก รวมทั้งเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งนายนพดลยืนยันว่า กัมพูชาจะขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น ไม่รวมถึงพื้นที่ทับซ้อน 4.6 กม. ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า กระบวนการรับรองแผนที่เขาพระวิหารของกัมพูชาโดยฝ่ายไทยมีขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยหลังจากที่ประชุม สมช.เห็นชอบแผนที่ดังกล่าวแล้ว วันต่อมา(17 มิ.ย.)ที่ประชุม ครม.ก็รีบเห็นชอบเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยหลังจากนี้ นายนพดลจะไปลงนามร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาและคณะกรรมการมรดกโลกที่ประเทศแคนาดา ด้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกประกาศฉบับที่ 3 ในวันเดียวกัน(17 มิ.ย.)เรียกร้องให้ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศโต้แย้งแผนที่เขาพระวิหารของกัมพูชา โดยให้ประสานงานกับฝ่ายทหารที่มีอำนาจหน้าที่ยืนหยัดปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของชาติอย่างเด็ดเดี่ยวถึงที่สุด ขณะที่กรมศิลปากรของไทย ได้เตรียมนำเสนอข้อมูลต่อยูเนสโกเกี่ยวกับการขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกว่า จะต้องมีองค์ประกอบของสระตราว สถูปคู่ และส่วนอื่นๆ ที่ไทยเป็นเจ้าของด้วย จึงจะถือว่ามีองค์ประกอบครบตามหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนโบราณสถานเป็นมรดกโลก วันต่อมา(18 มิ.ย.)ซึ่งเป็นวันที่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ได้เคลื่อนพลไปขับไล่นายนพดลที่กระทรวงการต่างประเทศ ฐานสมคบกับกัมพูชากรณีเสนอให้ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ปรากฏว่า ทางนายนพดลกลับอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลกับนายอึง เซียน เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย โดยได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชากรณีที่กัมพูชาเสนอปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่นายสก อาน รองนายกฯ กัมพูชาลงนามไว้แล้ว นอกจากนี้นายนพดลยังได้ลงนามเห็นชอบแผนที่ที่กัมพูชานำเสนอแนบท้ายด้วย หลังจากนั้นนายนพดลได้เปิดแถลงข่าวว่า ขั้นตอนต่อไปจะส่งแผนที่และแถลงการณ์ร่วมให้ยูเนสโกลงนาม และยูเนสโกจะส่งเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลกในวันที่ 5-9 ก.ค.นี้ ที่ประเทศแคนาดาว่าจะขึ้นทะเบียนได้หรือไม่ ด้าน พล.ท.แดน มีชูอรรถ เจ้ากรมแผนที่ทหาร ซึ่งร่วมแถลงกับนายนพดล ยืนยันว่า การขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ไม่มีส่วนใดที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนหรือเหลื่อมล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย อย่างไรก็ตามมีการตั้งข้อสังเกตจากนักวิชาการในเรื่องนี้ เช่น นายประกาสิทธิ์ แก้วมงคล ผู้ช่วยนักวิจัย สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ชี้ว่า การที่ไทยยอมรับแผนที่ของกัมพูชา แม้ว่าจะไม่เสียดินแดนตามที่นายนพดลกล่าวอ้าง แต่จะมีผลทำให้หลักปักปันเขตแดนไทยเลือนลงและไม่แน่นอน ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลไทยยอมรับอธิปไตยของฝ่ายกัมพูชา นายประกาสิทธิ์ ยังเผยด้วยว่า คณะวิจัยฯ ตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องพื้นที่ทับซ้อนกรณีเขาพระวิหารนั้น ไทยมีแผนที่ L7017 และมติ ครม.พ.ศ.2505 ที่แสดงเส้นอาณาเขตชัดเจนว่าเป็นของไทย แต่รัฐบาลไทยกลับพยายามบิดเบือนว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งผิดกับฝ่ายกัมพูชาที่ยืนยันชัดเจนว่าพื้นที่ทับซ้อนเป็นพื้นที่ของกัมพูชาโดยสมบูรณ์ โดยยึดถือตามแผนที่ฝรั่งเศส นอกจากนี้รัฐบาลไทยยังปล่อยปละละเลยให้กัมพูชาละเมิดอธิปไตยของไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างชุมชน ร้านค้า ชุมชนวัด การตัดถนนรุกล้ำเข้ามาในเขตไทย โดยที่ไทยไม่พยายามต่อต้านอย่างแข็งขัน ขณะที่นายอดุล วิเชียรเจริญ อดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลก ชี้ว่า การที่รัฐบาลไทยลงนามสนับสนุนกัมพูชาเสนอเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ถือเป็นการเสียดินแดนครั้งแรกและประเทศชาติเสียผลประโยชน์ และว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการมรดกโลกและกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศได้หารือกันมาตลอดกรณีที่กัมพูชาจะเสนอปราสาทเขาพระวิหารเป็นพื้นที่มรดกโลกตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งคณะกรรมการมรดกโลกเสนอไปว่า ควรจะต้องเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศ(ไทย-กัมพูชา) ไม่เช่นนั้นไทยจะเสียดินแดนและอธิปไตย ซึ่งทั้งสองประเทศก็ได้ยึดตามแนวทางข้อตกลงดังกล่าวร่วมกันมาตลอด นายอดุล ยังเชื่อด้วยว่า การที่นายนพดลรีบร้อนลงนามสนับสนุนกัมพูชาครั้งนี้ ทั้งที่มีเวลาพิจารณาถึง 2 ปี น่าจะทำให้มั่นใจได้ว่า ข่าวการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์บางอย่างน่าจะเป็นจริง อีกทั้งการให้สัมภาษณ์ของพล.อ.เตีย บัณห์ รัฐมนตรีกลาโหมของกัมพูชาที่เกาะกงก็ชัดเจนว่า น่าจะมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เกิดขึ้น ด้านนายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกพรรคพลังประชาชน ได้ออกมาป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยชี้ว่า กรณีที่มีบางฝ่ายพยายามโยงเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเข้ากับกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะไปลงทุนประกอบธุรกิจที่เกาะกง ประเทศกัมพูชาว่าเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันนั้น เป็นเพียงการสร้างกระแสความรู้สึกคลั่งชาติแบบขาดสติในหมู่ประชาชน โดยยกเรื่องผลประโยชน์แอบแฝงมาเป็นข้ออ้าง ทั้งนี้ หลายฝ่ายในสังคมได้แสดงความไม่เห็นด้วยและไม่พอใจการกระทำของนายนพดลที่สนับสนุนให้กัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เช่น คณาจารย์ ข้าราชการ และนักศึกษาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ซึ่งนอกจากจะออกแถลงการณ์ประณามนายนพดลที่ทำแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชาแล้ว ยังได้ออกมาร่วมเคลื่อนไหวกับพันธมิตรฯ ด้วย ขณะที่พันธมิตรฯ เตรียมร้องศาลปกครองวันที่ 24 มิ.ย.นี้ว่า นายนพดลไม่มีอำนาจลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชาที่จะส่งผลให้ไทยต้องเสียดินแดน ด้านนายปองพล อดิเรกสาร อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ข้องใจเช่นกันว่าทำไมนายนพดลต้องรีบร้อนลงนามสนับสนุนให้กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เพราะไทยสามารถเสนอให้เป็นพื้นที่บริหารร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชาได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ยึดถือมาตลอด 46 ปี ขณะที่คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ได้ประชุม(19 มิ.ย.)และมีมติที่จะยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการมรดกโลกผ่านยูเนสโก เพื่อขอให้ชะลอการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เนื่องจากเห็นว่าการขึ้นทะเบียนมรดกโลกควรขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา นอกจากนี้ยังมีมติจะยื่นหนังสือต่อกระทรวงการต่างประเทศเพื่อคัดค้านการสนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งเท่ากับว่ากระทรวงฯ ไม่รักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย เพราะถ้าหากกัมพูชาจดทะเบียนสำเร็จก่อน ไทยก็จะไม่ได้สิทธิในการจดทะเบียนมรดกโลกในภายหลัง และไม่มีหลักประกันว่าเมื่อกัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารแล้ว ไทยจะได้สิทธิเทียบเท่ากัมพูชาในการบริหารพื้นที่รอบตัวปราสาทฯ รวมทั้งอาจจะส่งผลกระทบต่ออำนาจในการต่อรองเพื่อย้ายชุมชนของชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ไทย และอำนาจในการเจรจาต่อรองเรื่องพื้นที่ทับซ้อนและการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชาด้วย คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ยังชี้ด้วยว่า รัฐบาลอาจกระทำการขัด รธน.มาตรา 190 ที่ระบุว่า การจะลงนามในสนธิสัญญาระหว่างประเทศนั้น ต้องชี้แจงรัฐสภาก่อน ด้านนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ออกอาการศรีธนญชัยโดยอ้างว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ตนลงนามนั้น ไม่ใช่สนธิสัญญา แต่เป็นแค่คำแถลงทางการเมือง
“นพเหล่” อ้างไทยสุ่มเสี่ยงเสียดินแดน ต้องยอมเขมรขึ้นทะเบียน “พระวิหาร”
“นพดล” อ้างเฉยต้องยกพระวิหารให้เขมรย้ำผลงานโบแดง
แฉผลสำรวจ “ทหาร” ชี้ชัด ไทยต้องเสียอธิปไตยให้เขมรเพิ่มขึ้น!
โอกาสไทยทวงคืน “ประสาทพระวิหาร” ย้อนดูคำประท้วงคำตัดสินของศาลโลก
“อลงกรณ์” ตอกย้ำ ครม.หมัก เสียค่าโง่เขมร สละอธิปไตยเขาพระวิหาร
“นพเหล่” ท่องคาถาไม่เสียดินแดนเขาพระวิหาร อ้างถือแผนที่คนละฉบับ
เสร็จมันแล้วพี่น้อง! “นพดล” ลงนามมอบเขาพระวิหารให้เขมรแล้ว
3. “ปชป.”ยื่นญัตติซักฟอก “นายกฯ -7 รมต.”แล้ว ขณะที่ “61 ส.ว.”ขู่ยื่นถอดถอน รบ.ฐานไม่เปิดสภาให้อภิปราย!
หลังที่ประชุมพรรคพลังประชาชนที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และหัวหน้าพรรคฯ เป็นประธานเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.มีมติว่า จะไม่เปิดให้มีการอภิปรายทั่วไปรัฐบาล โดยไม่ลงมติตามที่พรรคประชาธิปัตย์และ 61 ส.ว.เสนอ โดยอ้างว่า ติดขัดเรื่องเงื่อนเวลาการประชุมสภาสมัยวิสามัญที่มีเวลาน้อยแค่ 3 สัปดาห์ ต้องพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ และกฎหมายลูกอีก 3 ฉบับนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.นายสมัคร ได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวผ่านรายการ “สนทนาประสาสมัคร”โดยยืนยันว่า สภาเปิดสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์อาจจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแทนนั้น นายสมัคร ได้คุยโวแกมประชดพรรคประชาธิปัตย์ว่า “ไม่ได้กลัว ไม่ได้เกรง แต่บริหาร 4 เดือน จะทำอะไรผิด ยังไม่ผิดหรอก กระเหี้ยนกระหือรืออะไรนักหนา...” ด้านพรรคประชาธิปัตย์ หลังฟังจากปากนายสมัครแล้วว่า ไม่เปิดให้อภิปรายทั่วไปรัฐบาลแบบไม่ลงมติแน่ จึงได้ประชุมแกนนำพรรคฯ ในบ่ายวันเดียวกัน และมีมติว่า จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีบางคนต่อประธานสภา หลังจากนั้น 2 วันต่อมา(17 มิ.ย.) พรรคประชาธิปัตย์ได้ประชุม ส.ส.ของพรรค และมีมติยืนยันอีกครั้งว่า จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีอีก 7 คน โดยได้มีการยื่นญัตติดังกล่าวต่อประธานสภาฯ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. สำหรับการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ นั้น ได้ระบุเหตุผลว่า นายสมัครล้มเหลวในการบริหารประเทศจำนวน 9 ข้อ เช่น บริหารไปเพียงวันๆ ไม่สนใจแก้ปัญหาวิกฤตที่กระทบต่อปากท้องของประชาชน ,ทอดทิ้งไม่ใส่ใจความเดือดร้อนของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ,เฉยเมยต่อปัญหาประเทศที่ลุกลามกลายเป็นวิกฤต เนื่องจากจะสนองความต้องการของผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังโดยการรวบรัดแก้ไข รธน.ฯลฯ ส่วนรัฐมนตรีอีก 7 คนที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ประกอบด้วย 1.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง 2.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ 3.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย 4.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม 5.นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีคมนาคม 6.นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยคมนาคม และ 7.นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า การอภิปรายครั้งนี้ จะส่งผลให้มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีได้ 1-2 คน ส่วนทางด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย นอกจากจะมั่นใจว่าจะสามารถชี้แจงฝ่ายค้านได้ ไม่ว่าจะเรื่องการแก้ปัญหาภาคใต้ การตัดสัญญาณเอเอสทีวี และการกลับเข้ารับราชการของว่าที่ ร.ต.ดวง บุตรชายของตนแล้ว ยังเผยไต๋ว่าอาจมีทีเด็ดด้วย นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังดิสเครดิตพรรคประชาธิปัตย์ด้วยว่า การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ เป็นการเล่นเกมการเมืองที่ไม่ได้หวังผลการอภิปราย แต่ต้องการให้คะแนนการโหวตไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีแต่ละคนได้คะแนนไม่เท่ากัน ซึ่งตนมั่นใจว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีปัญหา โดยเฉพาะนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยไม่หักหลังแน่นอน ขณะที่ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน ก็ชี้ว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีไม่มีเหตุผลเพียงพอ พร้อมเชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ต้องการยื่นญัตติคาไว้ในสภา เพื่อให้นายกฯ มีทางเลือกน้อยลง คือไม่สามารถยุบสภาได้ ด้านนายสามารถ แก้วมีชัย ประธานวิปรัฐบาล เผย(20 มิ.ย.)ว่า นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ ได้ลงนามอนุมัติบรรจุญัตติของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่เข้าชื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ 7 รัฐมนตรีเข้าสู่ระเบียบวาระเรียบร้อยแล้ว โดยวาระญัตติดังกล่าวจะอยู่ต่อจากการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ที่จะพิจารณาในวันที่ 25-27 มิ.ย. ส่วนท่าทีของ 61 ส.ว.สรรหาและ ส.ว.เลือกตั้งที่ยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาล โดยไม่ลงมติ เมื่อทราบว่านายสมัครไม่ยอมเปิดให้มีการอภิปรายโดยอ้างเหตุว่าเป็นการเปิดสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณแล้ว 61 ส.ว.ได้เปิดแถลง(19 มิ.ย.)โดยชี้ว่า รัฐบาลไม่มีเหตุผลที่สมควรในการไม่เปิดให้ ส.ว.อภิปราย จึงถือว่ารัฐบาลจงใจไม่ปฏิบัติตาม รธน. ดังนั้น 61 ส.ว.จึงมีมติจะดำเนินการกับรัฐบาลตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ รธน.มาตรา 275 ที่เปิดโอกาสให้ ส.ว.ซึ่งถือเป็นผู้เสียหาย สามารถยื่นเรื่องให้ประธานวุฒิสภาส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.พิจารณาไต่สวนมูลความผิดของรัฐบาล เพื่อส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถอดถอนออกจากตำแหน่งต่อไป อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเย็นวันนี้(21 มิ.ย.) รัฐบาลได้ออกมากลับลำอย่างร้อนรน โดยยอมเปิดให้ ส.ว.อภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่ลงมติแล้ว และกำหนดวันให้อภิปรายอย่างกะทันหันในวันจันทร์ที่ 23 มิ.ย.นี้ ทั้งนี้ ไม่เพียงรัฐบาลที่ออกอาการร้อนรนเปิดสภาให้มีการอภิปราย แต่ทางด้านนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ ก็ออกอาการกลับลำและร้อนรนราวกับได้รับคำสั่งจากรัฐบาลเช่นกัน โดยนายชัย ได้มีคำสั่งในวันนี้ให้มีการประชุมสภาเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 24 มิ.ย. ทั้งที่เมื่อวานนี้(20 มิ.ย.)นายชัยเพิ่งกำหนดให้มีการพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจหลังสภาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ แล้วเสร็จในวันที่ 25-27 มิ.ย.ก่อน ทั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่า การรีบเร่งกลับลำดังกล่าวของรัฐบาล ก็เพื่อลดกระแสการเมืองนอกสภาในขณะนี้ ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องการเปิดทางเลือกให้ตัวเองมากขึ้น เพราะหากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลผ่านไปเร็วเท่าใด นายกฯ ย่อมสามารถประกาศยุบสภาหนีปัญหาการเมืองได้ แต่ตราบใดที่ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจคาอยู่ในสภา จะไม่สามารถประกาศยุบสภาได้
"พลังแม้ว"ผวาจมธรณีบีบ"หมัก"ยอมให้ส.ว.-ฝ่ายค้านซักฟอกแล้ว
61 ส.ว.ชง ปธ.วุฒิยื่น ป.ป.ช.ฟัน “หุ่นเชิด” เบี้ยวซักฟอก
“คำนูณ” ชี้ช่องถอดถอน “ลูกกรอก” เลี่ยงแจงอภิปรายส่อขัด รธน.
“หุ่นเชิด-ปลาไหล” จับมือค้านญัตติซักฟอก ท่องคาถาติดเงื่อนเวลา
วุฒิฯ บรรจุญัตติซักฟอก 23 มิ.ย. วัดใจหุ่นเชิดหนีปัญหาหรือไม่
4. “ทักษิณ”ฉาวไม่เลิก-คิดใช้ “ตราครุฑ”เป็นโลโก้แมนฯ ซิตี้ ด้านรัฐสภาอังกฤษ เรียกสอบ เหมาะเป็นเจ้าของสโมสรหรือไม่!
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยในประเทศนั้น เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงปฏิเสธที่จะพูดถึงกรณีทนายความของนักการเมืองนำเงินใส่ถุงขนม 2 ล้านบาทไปมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกา แต่พูดเป็นนัย หลังผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นห่วงสถานการณ์การเมืองในขณะนี้หรือไม่ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า “อดทนรอวันที่ 2 ก.ค.ก็หายแล้ว หลังจาก 2 ก.ค. ความวุ่นวายในบ้านเมืองน่าจะคลี่คลาย ดาวอังคารย้ายเข้าสู่ราศีสิงห์ ซึ่งมีดาวเสาร์อยู่ เมื่อดาวอังคารเจอกับดาวเสาร์ ก็น่าเวียนหัว ขอให้อดทนเวียนหัวไปจนถึง 2 ก.ค.นี้ ผมขอให้กำลังใจคนไทยทุกคนที่กำลังเจอปัญหาในขณะนี้…” ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อ้างว่าสถานการณ์จะคลี่คลายหลังวันที่ 2 ก.ค. สวนทางกับคำพยากรณ์ของนายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ นายภิญโญ พงศ์เจริญ ที่บอกว่า ดาวอังคารจะโคจรเข้าสู่ราศีสิงห์ในวันที่ 21 มิ.ย.นี้ และจะอยู่ในราศีสิงห์ถึงวันที่ 9 ก.ค. และว่า การที่ดาวอังคารจะโคจรเข้ามาสัมพันธ์กับดาวเสาร์ในวันที่ 2-3 ก.ค. ไม่ใช่เรื่องดี แต่เป็นเรื่องร้ายมากกว่า เพราะดาวอังคารทางภาษาโหรถือว่า เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม เรื่องของความแตกหัก สงคราม การใช้กำลัง การใช้ความรุนแรง ส่วนราศีสิงห์เป็นราศีธาตุไฟ เป็นสัญลักษณ์กระทรวงมหาดไทย นายภิญโญจึงเกรงว่า เมื่อดาวอังคารโคจรเข้าสู่ราศีสิงห์ กระทรวงมหาดไทยหรือส่วนราชการสำคัญๆ อาจจะเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น ดังนั้น ที่ พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าบ้านเมืองจะสงบหลังวันที่ 2 ก.ค.จึงไม่ใช่ แต่จะตรงกันข้ามคือจะรุนแรงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับคำพยากรณ์ของโหรชื่อดังอีกคน คือ หมอลักษณ์ หรือนายลักษณ์ เรขานิเทศ ที่ระบุว่า ดวงเมืองวันที่ 2 ก.ค. จะเป็นวันที่น่ากลัวที่สุดในรอบ 30 ปี ถือเป็นวันนรก เพราะเป็นวันแห่งความเป็นความตาย การระเบิด เพลิงไหม้ ไฟใต้ หรืออารมณ์คนปะทุกัน พร้อมเตือนว่า ทุกฝ่ายต้องสามัคคีและต้องหยุด ไม่เช่นนั้นจะเกิดไฟไหม้ นองเลือดใจกลางเมือง โดยเฉพาะวันที่ 6 ก.ค. บวกลบไม่เกิน 1 วัน ในเวลา 23.07น.จะเกิดการแตกหักขึ้น สำหรับข่าวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในต่างประเทศนั้น ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวฉาวของเขาทางสื่อต่างประเทศถึง 2 เรื่อง เรื่องแรก หนังสือพิมพ์ซันเดย์ มิร์เรอร์ ของอังกฤษ รายงาน(15 มิ.ย.)โดยอ้างแหล่งข่าววงในสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ประธานสโมสร ต้องการจะเปลี่ยนโลโก้ของสโมสรจากรูปนกอินทรีสีทอง เป็นรูปช้างหรือครุฑ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของประเทศไทย และเป็นตราประจำแผ่นดินของไทย ซึ่งแหล่งข่าวจากสโมสรแมนซิตี้ ได้แสดงความไม่พอใจ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมเชื่อว่า หากมีการเปลี่ยนโลโก้ของสโมสรจริง จะทำให้แฟนๆ สโมสรไม่พอใจแน่ ส่วนอีก 1 ข่าวฉาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกเผยแพร่โดยสำนักข่าวแคนาเดี้ยน เพรส(ซีเอ)ของแคนาดา ที่รายงาน(18 มิ.ย.)ว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ถูกคณะกรรมการพิเศษรัฐสภาอังกฤษว่าด้วยเรื่องฟุตบอล(เอพีพีจี) เชิญตัวเข้าให้ปากคำกับคณะสอบสวนข้อเท็จจริงของเอพีพีจีถึงความเหมาะสมในการเป็นเจ้าของสโมสรแมนซิตี้ และธรรมาภิบาลในการบริหารสโมสรแห่งนี้ เพราะแฟนบอลในอังกฤษกำลังวิตกต่อการเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรของนักธุรกิจต่างชาติมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลัง พ.ต.ท.ทักษิณตัดสินใจปลด สเวน โกรัน อีริคส์สัน ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมเมื่อต้นเดือนที่แล้ว ซึ่งรายงานข่าวระบุว่า แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยอมรับเองว่า การปลดสเวนเป็นการกระทำที่ “โหดร้าย”ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะทำงานได้เพียงหนึ่งฤดูกาล.
“หมอลักษณ์” หักหน้า “แม้ว” ฟันธง 2 ก.ค วันนรก!! เตือนแตกหัก
“สุเทพ” เย้ยคำนายโหรแม้ว 2 ก.ค. บ้านเมืองสงบเชื่อไม่มีนัยสำคัญ
“โหรแม้ว” ทำนายหลัง 2 ก.ค.นี้ สถานการณ์วุ่นวายยุติ!!
รัฐสภาอังกฤษเรียกสอบ 'ทักษิณ' สร้างรอยด่างความชอบธรรมในวงการฟุตบอล