xs
xsm
sm
md
lg

ไทยคดีฯ มธ.แฉเล่ห์รัฐบาลหมักเปลี่ยนเส้นเขตแดนแลกประโยชน์กลุ่มการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"ม.ล.วัลย์วิภา"นักวิชาการไทยคดี มธ.จี้รัฐบาลไทย-รัฐบาลกัมพูชาแสดงความโปร่งใสในการยื่นจดทะเบียนประสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เชื่อเรื่องการขึ้นทะเบียนเป็นสื่อบังหน้าความต้องการเปลี่ยนเส้นเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเลของไทย เพื่อหวังผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มการเมือง ระบุแผนที่กัมพูชาขีดเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลกินเกาะกรูดและพื้นที่ทรัพยากรธรรมชาติ JDA สอดคล้องข้อมูล "สนธิ"ที่ส่งหนังสือถึง ผบ.ทบ.เมื่อปี 49 เร่งนักวิชาการร่วมกันเขียนข้อเสนอยูเนสโกชะลอขึ้นทะเบียน ตบหน้า “นพดล” ไทยเสียเปรียบทุกประตู หากไม่ยืนยันหลักเขตแดนไทยเสี่ยงต่อการเสียดินแดนอีกรอบ

วานนี้ (18 มิ.ย.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่ชั้น 9 ตึกเอนกประสงค์ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แถลงข่าวเรื่อง “ข้อเท็จจริงจากพื้นที่กรณีขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของมนุษย์”โดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัย 9 สถาบันไทยคดีศึกษา นายประกาสิทธิ์ แก้วมงคล ผู้ช่วยนักวิจัย และทีมงาน

เขมรสร้างชุมชนรุกดินแดนไทย

ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวว่า การศึกษาของทีมงานครั้งนี้ไม่ใช่งานวิจัย แต่เป็นการลงไปเก็บข้อมูลในพื้นที่โดยเป็นการชี้เบาะแสเชิงวิชาการ และมีการศึกษาอย่างเป็นระบบ หลังจากที่ได้ฟังนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการขอขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหารว่าเป็นเพียงการบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อนและเป็นเรื่อง win-win เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา จึงเกิดความรู้สึกว่า ปัญหาเรื่องประสาทเขาพระวิหารเป็นเรื่องอึมครึมและน่าอึดอัดในความรู้สึกของคนไทยแต่เหตุใดรัฐบาลไทยจึงไม่พูดเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจน จึงได้ลงพื้นที่ไปศึกษาเรื่องดังกล่าว

ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชานั้น ทางฝ่ายกัมพูชาพยายามรักษาอธิปไตยของตนเอง โดยมีการสร้างชุมชน ตลาดและวัดเข้ามาในดินแดนฝั่งไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาไม่ได้ยึดถือหลักเขตแดนของไทยตามมติ ครม.เมื่อปี 2505 ของไทย โดยที่รัฐบาลของไทยไม่ได้มีความพยายามดำเนินการใดๆ และเมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่กัมพูชากับไทยได้เจรจาร่วมกันมา ทางกัมพูชาได้ยื่นข้อเสนอขอเปิดจุดผ่านแดนช่องตาเฒ่า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทางกัมพูชาเตรียมไว้สำหรับเปิดศูนย์การค้า แหล่งบันเทิงและกาสิโน

ชี้แผนที่เขมรลากเส้นยึดเกาะกรูด-JDA

นอกจากนั้น เมื่อตนย้อนกลับไปดูการจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชาทางทะเลที่ลากจากหลักกิโลเมตรที่ 73 จ.ตราด ได้พบแผนที่ของกัมพูชาที่มีการเขียนหลักเขตแดนทางทะเลผ่านเกาะกูดของไทย และกินพื้นที่พัฒนาร่วม หรือ JDA ซึ่งเป็นจุดที่มีทรัพยากรธรรมชาติขนาดใหญ่ และเป็นเส้นเขตแดนทางทะเลที่แตกต่างจากเส้นเขตแดนของไทย โดยกินพื้นที่ของไทยเข้ามาด้วย

ที่สำคัญคือแผนที่ดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำหนังสือถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุด เรื่อง เรียกร้องขอให้ทหารหาญของชาติแสดงจุดยืนปกป้องผลประโยชน์ชาติ กรณีเร่งรัดแบ่งเขตแดนทางทะเลไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 14 ก.ย.2549

“เส้นเขตแดนทางทะเลมีเส้นเขตแดนเดิมตามสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศสที่เกาะกรูดจะต้องเป็นของไทย และในปี 2544 รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้บรรลุข้อตกลงกับทางกัมพูชา ด้วยการทำบันทึกความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งน่าสงสัยว่า ทำไมการปักปันเขตแดนซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและเป็นอธิปไตยของชาติ เหตุใดจึงไม่มีการเปิดเผยข้อมูลในวงกว้าง หรือผ่านกระบวนการรับรองการเปลี่ยนเส้นเขตแดนที่ไม่ใช่ฝ่ายบริหารรับรู้แต่เพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น จึงเชื่อว่าเขาพระวิหารเกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตแดน และเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพื้นที่ JDAด้วย”

เชื่อกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลัง

ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวอีกว่า ในนามของคณะวิจัย สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขอแถลงการณ์ว่า 1.ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ที่แท้จริงมิใช่ราชอาณาจักรไทยหรือราชอาณาจักรกัมพูชา แต่เป็นรัฐบาลไทยกับประชาชนไทย ดังนั้น ข้าราชการประจำทั้งทหารและพลเรือนทุกคนจะต้องตัดสินใจแล้วว่า ตนกำลังปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือไม่ หรือของใคร 2.สิ่งที่รัฐบาลทำวันนี้ คือ รัฐบาลไปยอมให้ราชอาณาจักรกัมพูชาขึ้นทะเบียนแต่ฝ่ายเดียวและยอมรับแผนที่ของกัมพูชาที่ไม่ยอมรับอธิปไตยตามมติคณะรัฐมนตรี 2505 และยังยอมไปทำแถลงการณ์ร่วมในการพัฒนาพื้นที่ร่วมกันโดยยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องเขตแดนแม้แต่น้อย ผลเสียตามกฎหมายปิดปากก็จะเกิดขึ้น

“เมื่อรัฐบาลไทยไม่ยับยั้งหรือคัดค้าน ประชาชนคนไทยควรร่วมกันยับยั้งหรือคัดค้านโดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิชุมชน และส่งเรื่องไปตามขั้นตอนและเวลาอย่างเร่งด่วนผ่านองค์การยูเนสโกในประเทศไทย ไปยังคณะกรรมการมรดกโลก จึงขอความร่วมมือของนักวิชากร ข้าราชการประจำองค์กรภาคประชาชน สื่อและประชาชนทุกคนมาร่วมกัน ศึกษาพิจารณาดูข้ออ้างที่จะมาใช้เพื่อให้มีการเลื่อนการพิจารณาประสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก หน่วยงานที่มีหน้าที่ทุกหน่วยให้สอดส่องบันทึกการกระทำที่ไม่ยอมรับมติคณะรัฐมนตรี 2505 เรื่องเขตแดนไทยตามวิธีการในระบอบประชาธิปไตย ในทางคู่ขนานต้องนำเข้าเจรจาในคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา ส่งเรื่องเข้ารัฐสภา และดำเนินการทางการทูตอื่น ๆ ที่สำคัญคณะวิจัยมองเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องความต้องการเปลี่ยนเส้นเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเลของไทย เพื่อหวังผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มการเมือง โดยมีเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นสื่อบังหน้า”

ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวเพิ่มเติมว่า หากไม่ยืนยันเขตอธิปไตยหรือเส้นเขตแดนตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2505 ไทยจะเสียดินแดนให้กัมพูชา ซึ่งแผนที่ใหม่ของกัมพูชามีนัยเป็นการยืนยันท่าทีของกัมพูชาที่ไม่ยึดถือเขตอธิปไตยหรือเส้นเขตแดนตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2505 เมื่อไม่มีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนให้ชัดเจนเสียก่อน แต่เลือกแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ร่วมและออกแถลงการณ์ร่วม ไทยจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเสียดินแดนให้กัมพูชาในที่สุด

“รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาไม่มีความไม่โปร่งใสในเรื่องดังกล่าว ซึ่งการขึ้นทะเบียนประสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกของโลกเป็นเรื่องดี ดังนั้น รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศควรจะทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส ไม่ควรทำเพื่อประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง หรือเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สำหรับนักวิชาการที่ต้องการร่วมกันระดมความเห็นเพื่อยื่นข้อเสนอส่งให้ยูเนสโกชะลอการประกาศเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกให้ทันวันที่ 2 ก.ค.ที่จะถึง ซึ่งจะมีการประชุมเรื่องดังกล่าว สามารถติดต่อได้ทาง walwipha2000@yahoo.com และขอให้นักวิชาการออกมาช่วยกัน เพราะขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว และการที่ดิฉันไม่ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย เพราะรัฐบาลไทยเพิกเฉย จึงจำเป็นต้องยื่นข้อเสนอไปถึงยูเนสโกแทน”ม.ล.วัลย์วิภากล่าว

ไทยเสี่ยงเสียดินแดนรอบ 2

ด้าน นายประกาสิทธิ์ แก้วมงคล ผู้ช่วยนักวิจัย สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารต่อยูเนสโกเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2550 ซึ่งฝ่ายไทยได้เตรียมกำหนดท่าทีที่เหมาะสมต่อกรณีดังกล่าว โดยเสนอให้มีการจดทะเบียนร่วมกัน ต่อมาเมื่อวันที่ 12-13 ม.ค.2551 ผลการประชุมที่เมืองเสียมราฐอย่างไม่เป็นทางการโดยฯพณฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แสดงท่าทีไม่ยอมรับข้อเสนอของฝ่ายไทย โดยย้ำเส้นเขตแดนที่ปรากฎในแผนที่ของฝรั่งเศส และจะเสนอเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว และในวันที่ 15 พ.ค.2551 นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ได้หารือกับนายสก อัน รองนายก และรมต.ประจำสำนักนายกฯของกัมพูชา

"จากนั้นวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา กัมพูชาร่างแผนที่แนบท้ายคำขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกขึ้นมาใหม่ โดยไม่เกินขอบเขตพื้นที่ของไทยตามมติ ครม.ไทย พ.ศ.2505 และเสนอให้รัฐบาลไทยพิจารณา การกระทำดังกล่าวเห็นได้อย่างชัดเจนว่า กัมพูชาไม่ยอมรับการปักปันเขตแดนของไทย และในการประชุมครม.ของไทยเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2551 ครม.มีมติยอมรับการรับรองแผนที่แนบท้ายการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชา โดยนายนพดลยืนยันว่าไทยไม่เสียดินแดนอย่างแน่นอน แต่ยังไม่มีใครเห็นแผนที่ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การที่ไทยไม่ยืนยันหลักเขตแดนของไทยตามมติครม.ปี 2505 กลับไป แต่ยอมรับแผนที่ของกัมพูชานั้น นายนพดลกล่าวจะกล่าวอ้างว่าไทยจะไม่เสียดินแดน แต่การยอมรับดังกล่าวจะมีผลทำให้หลักปักปันเขตแดนไทยเลือนลงเกิดความไม่แน่นอน ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลไทยยอมรับอธิปไตยของฝ่ายกัมพูชา อันจะทำให้เกิดช่องว่างของเส้นเขตแดนไทยขึ้น"

นายประกาสิทธิ์ กล่าวว่า คณะวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าขณะนี้เรื่องพื้นที่ทับซ้อนเป็นประเด็นทางมิติความคิด ไทยมีแผนที่ L7017 และมติครม.พ.ศ.2505 ที่แสดงเส้นอาณาเขตชัดเจน แต่รัฐบาลไทยพยายามบิดเบือนความเข้าใจของสังคมไทยเสมอมาว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ในขณะที่กัมพูชามีความชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชาโดยสมบูรณ์ ยึดถือตามแผนที่ฝรั่งเศส และหากไม่มีการจัดทำหลักเขตแดน แต่เลือกแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ร่วม ไทยก็จะเสียเปรียบ และอาจถึงขั้นต้องเสียสิทธิ์ในการบริหารจัดการพื้นที่ร่วมให้กับกัมพูชา เนื่องจากการขาดอำนาจต่อรอง และอ่อนเรื่องหลักฐานการครอบครองสิทธิ์ เพราะรัฐบาลไทยปล่อยปละละเลยให้กัมพูชากระทำการละเมิดอธิปไตยของไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างชุมชน ร้านค้า ชุมชนวัด การตัดถนนรุกล้ำเข้ามาในไทย โดยที่ไทยไม่พยายามต่อต้านอย่างแข็งขัน ต่อเนื่อง ถือว่าเป็นการยอมรับอธิปไตยของกัมพูชาเหนือพื้นที่ของไทยโดยพฤตินัย และเข้าหลักเกณฑ์ของกฎหมายปิดปาก ซึ่งเสี่ยงต่อการที่ไทยจะต้องสูญเสียดินแดน

"การที่นายนพดล ออกมาระบุว่า กัมพูชายอมถอย ให้ตามข้อเรียกร้องของไทย และเรากำลังอยู่ในฐานะได้เปรียบกัมพูชานั้น จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด แต่เป็นการสร้างภาพให้คนไทยทั้งประเทศหลงดีใจและตกหลุมพรางที่กัมพูชาสร้างขึ้น อาจทำให้ไทยต้องเสียดินแดนให้กับกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง" นายประกาสิทธิ์ กล่าว

เปิดหนังสือ “สนธิ”ร้องผบ.ส.ส.

ทั้งนี้ รายละเอียดหนังสือที่นายสนธิทำถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมื่อปี 2549 ตอนหนึ่งได้ระบุว่า

“พื้นที่ไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาอันเป็นปมปัญหาที่ต้องเจรจากันดังกล่าวนี้มีพื้นที่ประมาณ 25,789 ตารางกิโลเมตร เป็นที่รับรู้กันทั่วว่าเป็นแหล่งที่คาดว่าจะมีทรัพยากรก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแหล่งหนึ่งในเอเชียอาคเนย์

พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร รักษาการณ์นายกรัฐมนตรี(ขณะนั้น)มีความพยายามจะเจรจาเรื่องเขตแดนทางทะเลดังกล่าวมาแล้วอย่างต่อเนื่อง พร้อมๆ กับการเตรียมการจะหาประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรดังกล่าวพร้อมกันไป ดังจะเห็นได้จากข่าวที่นายโมฮัมเหม็ด อันฟาเยด มหาเศรษฐีชาวอียิปต์เจ้าของห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์และสโมสรฟุตบอลฟุตบอลฟูแลมในประเทศอังกฤษ เดินทางมาประเทศไทยในฐานะแขกส่วนตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2543 ในชั้นแรกก็อ้างว่าเพื่อสังเกตการณ์พัฒนาการฟุตบอลไทยโดยได้ร่วมมือกับโครงการของพรรคไทยรักไทย ส่งนักฟุตบอลเยาวชนไปฝึกที่ประเทศอังกฤษ แต่ในชั้นต่อมาก็มีข่าวว่า นายโมฮัมเหม็ดมีความสนใจที่จะร่วมลงทุนในกิจการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในอ่าวไทย และเขตทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชาด้วย

รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาปัญหาเขตทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชาด้วยการมีบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ไทยกับกัมพูชา อ้างสิทธิ์ในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.44 ยังผลให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา ประชุมกันครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม 2544 นับจากนั้นมา การเจรจาด้านเขตแดนทางทะเลไทย-กัมพูชาได้รับการจับตาอย่างใกล้ชิด จากผู้ที่รักชาติรักแผ่นดิน เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายได้มีข้อเสนอที่ชัดเจนของตนเองโดยเฉพาะฝ่ายไทยยืนยันที่จะดำรงสิทธิ์และอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะกูดซึ่งมีหลักฐานที่พิสูจน์ชัด ทั้งทางประวัติศาสตร์และหลักฐานทางวัฒนธรรมว่า ดินแดนตรงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทยโดยสมบูรณ์ จนทำให้ต้องมีการกันพื้นที่ในการเจรจา”
กำลังโหลดความคิดเห็น