1. “พันธมิตรฯ”ยกระดับชุมนุม “ขับไล่ รบ.หุ่นเชิด”หลัง “พปช.”เล่นเล่ห์แก้ รธน. ด้าน “สมัคร”ประกาศ จัดการพันธมิตร!
หลังจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 9 เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ว่า จะชุมนุมใหญ่ต่อต้านการล้มล้าง รธน.2550 เพื่อหนีความผิดคดียุบพรรคและลบล้างความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้องไม่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในวันที่ 25 พ.ค.ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งแต่เวลา 15.00น. ปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนด ได้มีประชาชนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเดินทางมาร่วมชุมนุมจำนวนมาก ประมาณว่าน่าจะเกือบ 2 หมื่นคน อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ จะชุมนุมและฟังการปราศรัยด้วยความสงบ แต่กลุ่มต่อต้านพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วย กลุ่ม นปก. ,กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ และกลุ่มมหาประชาชนเพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตยของนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชาชนที่ชุมนุมอยู่บริเวณท้องสนามหลวงประมาณ 100 คน ได้เคลื่อนพลมาปักหลักใกล้กับจุดที่กลุ่มพันธมิตรชุมนุม ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้ประกาศก่อนหน้านี้ว่า จะไม่ให้กลุ่มที่ต่อต้านพันธมิตรฯ ที่สนามหลวงมาป่วนกลุ่มพันธมิตรฯ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยจะตั้งแนวกั้นหรือกันชนไว้บริเวณสี่แยกคอกวัว แต่เมื่อถึงเวลา เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับปล่อยให้กลุ่มต้านพันธมิตรรุกล้ำเข้ามาก่อกวนกลุ่มพันธมิตรถึงจุดที่ชุมนุม และแม้ว่ากลุ่มต้านพันธมิตรจะพยายามยั่วยุ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มิได้ห้ามปราม โดยอ้างว่า ยังไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา จากนั้นกลุ่มต้านพันธมิตรได้ขว้างปาขวดน้ำและถุงใส่ปัสสาวะเข้าใส่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตร จนเกิดการขว้างปาขวดน้ำใส่กันและตะลุมบอนกันเล็กน้อย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย ต่อมาช่วงหัวค่ำ แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขอมติจากผู้ชุมนุมว่า จะเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลหรือไม่ เมื่อผู้ชุมนุมเห็นพ้อง พันธมิตรฯ จึงได้มีมติจะเคลื่อนขบวนในเวลา 21.00น. จากนั้นพันธมิตรฯ ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 10 เพื่อยืนยันการเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือแจ้งความจำนงต่อประธานวุฒิสภาในการถอดถอน ส.ส.-ส.ว.ที่ล้มล้าง รธน.ในเช้าวันที่ 26 พ.ค. แต่นอกจากกลุ่มพันธมิตรจะไม่สามารถเคลื่อนพลไปยังทำเนียบรัฐบาลได้ เพราะถูกเจ้าหน้าที่สกัดไว้บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์แล้ว ปรากฏว่า ทางกลุ่มต้านพันธมิตรยังได้ก่อเหตุใช้ก้อนหินขว้างปาผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ อีกครั้ง ทำให้ผู้มีบาดเจ็บหลายราย รวมทั้งพิธีกรเอเอสทีวีที่อยู่ท้ายขบวน คือ นายยุทธยง ลิ้มเลิศวาที โดยถูกก้อนหินปาเข้าที่ศีรษะ เป็นแผลลึก ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่กลุ่มต้านพันธมิตรจะมาก่อเหตุทำร้ายร่างกายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ระหว่างเคลื่อนขบวนนั้น ทางแกนนำกลุ่มต้านพันธมิตรได้พูดปลุกระดมม็อบตนที่สนามหลวงให้ใช้กำลังกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยบอกให้เตรียมขวด ก้อนอิฐหรือไม้ติดตัวมาด้วย หากเผชิญหน้า ก็ตีได้เลย กระทืบได้เลย ไม่ต้องกลัวตำรวจจับ ถ้าจับ ไม่ต้องบอกว่าอยู่ฝ่ายไหน ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่า ได้พยายามอย่างเต็มความสามารถแล้วที่จะไม่ให้เกิดการปะทะกัน ส่วนที่มีการมองว่า ตำรวจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้มีการปะทะกัน ไม่พยายามระงับเหตุนั้น ทางเจ้าหน้าที่อ้างว่า หลังจากนี้จะมีตรวจสอบเหตุการณ์ย้อนหลังจากสื่อต่างๆ เพื่อดำเนินการกับผู้ก่อความวุ่นวายเป็นรายบุคคลต่อไป พร้อมชี้แจงเหตุที่เจ้าหน้าที่ไม่ให้กลุ่มพันธมิตรเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบฯ ว่า เพราะเมื่อมีการเคลื่อนที่ ประสิทธิภาพในการควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมของแกนนำจะลดลง อาจเปิดช่องให้มีผู้ฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์และก่อความวุ่นวายได้ ขณะที่กลุ่ม นปก.(นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายสุชาติ นาคบางไทร ,นายชินวัฒน์ หาบุญพาด) ได้ใช้รัฐสภาเป็นที่เปิดแถลงข่าวปฏิเสธว่าพวกตนไม่เกี่ยวข้องกับคนที่ไปป่วนและทำร้ายร่างกายกลุ่มพันธมิตรเมื่อคืนวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างแถลงข่าว นายสุชาติ ได้แสดงความไม่พอใจที่ผู้สื่อข่าวทราบว่านายสุชาติขึ้นเวทีปราศรัยต่อต้านพันธมิตรที่สนามหลวง นายสุชาติจึงได้หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปผู้สื่อข่าวหลายคนที่ตั้งคำถาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะถ่ายไปทำไม นายสุชาติ สวนกลับว่า “ถ่ายแค่นี้ คุณก็กลัวแล้วหรือ ผมแค่ถ่ายรูปเพื่อดูหน้าพวกคุณคือใคร ผมจะได้ไปศึกษา และมันเป็นสิทธิของผม...” ด้านผู้สื่อข่าวได้พากันเข้าแจ้งความต่อ สน.ดุสิต เพื่อเป็นหลักฐานว่านายสุชาติมีเจตนาคุกคามสื่อ ส่วนทางด้านผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตร หลังถูกสกัดไม่ให้เคลื่อนพลไปทำเนียบฯ ก็ได้ปักหลักชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ตลอดวันตลอดคืน โดยทุกวันจะมีข่าวลือว่าเจ้าหน้าที่เตรียมสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรบ้าง ,เตรียมจับ 5 แกนนำพันธมิตรฯ บ้าง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงของกระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งให้ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเตรียมมวลชนเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร แต่ทาง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย และนายพงศ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย รีบออกมาปฏิเสธว่าไม่มีคำสั่งดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ได้พยายามทุกทางที่จะสกัดการเคลื่อนไหวในนามแกนนำพันธมิตรฯ ของนายสนธิ โดยได้ให้ทนายความไปยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเชียงราย เพื่อขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวนายสนธิ(ในคดีหมิ่นประมาทข้าราชการกรมอุทยานและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) แต่ในที่สุด ร.ต.อ.เฉลิมก็หน้าแตก เพราะศาลยกคำร้อง เนื่องจากนายสนธิยังไม่มีพฤติการณ์ขัดต่อเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวแต่อย่างใด สำหรับการรวบรายชื่อประชาชน 2 หมื่นเพื่อยื่นถอดถอน ส.ส.-ส.ว.ที่ลงชื่อยื่นญัตติแก้ไข รธน.นั้น ทางกลุ่มพันธมิตรฯ สามารถรวบรวมรายชื่อได้กว่า 3 หมื่นชื่อและยื่นต่อประธานวุฒิสภาแล้วเมื่อวันที่ 30 พ.ค. ขณะที่ทาง ส.ส.-ส.ว.ที่ร่วมลงชื่อยื่นญัตติแก้ไข รธน.ได้ทยอยขอถอนชื่อ ทำให้ยอดผู้ร่วมลงชื่อลดลงจาก 164 คน เหลือไม่ถึง 126 คน หรือ 1 ใน 5 ของสมาชิกทั้ง 2 สภาตามที่ รธน.กำหนด ส่งผลให้ญัตติแก้ไข รธน.ของ ส.ส.-ส.ว.ดังกล่าวเป็นอันตกไป อย่างไรก็ตาม ส.ส.พรรคพลังประชาชนยังไม่ละความพยายามที่จะแก้ไข รธน.โดยได้มีการประชุม ส.ส.พรรคฯ นัดพิเศษ(30 พ.ค.) หลังประชุม นายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม ในฐานะรองโฆษกพรรค แถลงว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ให้เสนอญัตติแก้ไข รธน.อีกครั้ง โดยได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อล่ารายชื่อ ส.ส.ในสภาให้ได้เสียง 1 ใน 5 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด(96 คน) แล้วยื่นญัตติต่อประธานสภาต่อไป ขณะเดียวกันก็ให้มีการทำประชามติไปพร้อมกันด้วย ทั้งนี้ การที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนส่งสัญญาณจะยื่นญัตติแก้ไข รธน.รอบใหม่หลังญัตติรอบแรกตกไป นับเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ส่งผลให้กลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศยกระดับการชุมนุมต่อต้านการล้ม รธน.มาเป็นการ “โค่นระบอบทักษิณ ไล่รัฐบาลอันธพาลหุ่นเชิด”เมื่อคืนนี้(30 พ.ค.) เนื่องจากพันธมิตรเห็นว่า การที่ ส.ส.ถอนชื่อจากญัตติแก้ไข รธน.เป็นเพียงเล่ห์เพทุบายของนักการเมืองในระบอบทักษิณ เพื่อลดกระแสความไม่พอใจของประชาชน และหลอกให้ประชาชนตกหลุมพรางหลงประเด็นและยุติการโค่นระบอบทักษิณในที่สุด อย่างไรก็ตาม นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว ในแถลงการณ์ฉบับที่ 11 ของพันธมิตรยังได้ยกเหตุผลที่ต้องยกระดับการชุมนุมครั้งนี้อีก 11 ข้อด้วย ได้แก่ รัฐบาลหุ่นเชิดภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช นอกจากจะเป็นหุ่นเชิดภายใต้การชี้นำและบงการของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ยังสานต่อพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบต่อจากรัฐบาลในระบอบทักษิณ เช่น การสมยอมให้กลุ่มธุรกิจผูกขาดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติกอบโกยผลกำไรมหาศาลด้วยวิธีฉ้อฉลทุกรูปแบบ หลังจากรัฐบาลทักษิณได้แปรรูป ปตท.และขายหุ้นส่วนหนึ่งในราคาถูกให้กับพวกพ้องของตัวเองไปแล้ว ,รัฐบาลหุ่นเชิดสมคบกับผู้นำระบอบทักษิณร่วมมือกับนายทุนต่างชาติเข้ายึดครองทรัพยากรของชาติและผลประโยชน์ต่างๆ จนอาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติอย่างมีเงื่อนงำ เช่น การเปิดให้ชาวตะวันออกกลางเข้ามาศึกษาและลงทุนผูกขาดการทำการขนส่งทางบกเชื่อมต่อระหว่างชายฝั่งทะเลตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก(แลนด์บริดจ์) รวมทั้งเปิดช่องให้ทุนขนาดใหญ่จากประเทศตะวันออกกลางเข้ามาทำนาซึ่งเป็นอาชีพสงวนของคนไทย ทั้งยังจะให้เข้ามาทำธุรกิจข้าวแบบครบวงจรเพื่อครอบงำและเอาเปรียบชาวนาไทยให้ไม่มีวันลืมตาอ้าปากได้อีกต่อไป ,เครือข่ายระบอบทักษิณอยู่เบื้องหลังขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีเจตนาปล่อยให้คนที่มีทัศนคติอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาร่วมบริหารบ้านเมืองเป็นเวลานาน เมื่อนักการเมืองบางคนถูกจับได้ไล่ทัน ก็ใช้วิธีตัดตอนเพื่อไม่ให้สาวถึงต้นตอผู้นำความคิดและขบวนการทำลายการปกครองฯ นี่ยังไม่รวมกรณีที่รัฐบาลหุ่นเชิดได้โยกย้ายข้าราชการเพื่อตัดตอนมิให้คดีความของตัวและพวกพ้องเข้าสู่การพิจารณาของศาล ,การแทรกแซงสื่อมวลชน-การให้พวกพ้องของตัวเองได้สัมปทานจัดรายการในสื่อของรัฐอย่างฉ้อฉล และการปล่อยให้คนที่มีมลทิน-คนทำผิดกฎหมายเข้ามาบริหารบ้านเมืองทั้งในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ฯลฯ ด้วยปัจจัยต่างๆ ข้างต้น พันธมิตรจึงเห็นว่า ระบอบทักษิณได้ใช้พรรคการเมืองและนักการเมืองหุ่นเชิดเพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐบาลทุนนิยมสามานย์และเผด็จการรัฐสภาอีกครั้ง เพื่อขยายอำนาจทุนและสร้างความมั่งคั่งให้กับเองและพวกพ้องอีกครั้ง พันธมิตรจึงขอฉันทามติจากผู้ชุมนุมเพื่อยกระดับการต่อสู้ไปสู่การขับไล่รัฐบาลทุนนิยมสามานย์ ขับไล่เผด็จการรัฐสภา ตลอดจนล้มล้างระบบทักษิณ ณ บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงที่สุด ซึ่งผู้ร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรจำนวนหลายหมื่นต่างลุกขึ้นยืนสนับสนุนการยกระดับการต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรอย่างพร้อมเพรียง ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ไม่พอใจการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร จึงได้ใช้สื่อของรัฐ(เอ็นบีที)แถลงโจมตีพันธมิตรเมื่อเช้าวันนี้(31 พ.ค.)โดยประกาศ วันนี้จะเอาให้แตกหัก จะจัดการพันธมิตรตามกฎหมาย ทั้งนี้ หลังนายสมัครส่งสัญญาณสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ปรากฏว่าตั้งแต่ช่วงบ่าย ได้มีการระดมตำรวจจากหน่วยต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเข้ากรุง เพื่อเตรียมสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรภายในวันนี้ ขณะที่แกนนำพันธมิตรและผู้ชุมนุมเรือนหมื่นไม่หวั่นถูกสลายการชุมนุม โดยพันธมิตรได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 12 ประกาศจุดยืนต่อกรณีที่รัฐบาลจะสลายการชุมนุม โดยยืนยันว่า การชุมนุมของประชาชนครั้งนี้เป็นการใช้สิทธิพิทักษ์ รธน.ตาม รธน.2550 มาตรา 69 และยังเป็นการทำหน้าที่ของปวงชนชาวไทยตามมาตรา 70 ในการปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมย้ำว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา พันธมิตรได้ชุมนุมอย่างสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ อันเป็นสิทธิเสรีภาพตาม รธน.มาตรา 63 ดังนั้นรัฐบาลไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะสลายการชุมนุม เว้นแต่เป็นการสลายการชุมนุมในภาวะสงครามหรือมีการประกาศกฎอัยการศึก หาไม่แล้วจะเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพการชุมนุมดังที่ศาลปกครองได้เคยมีคำพิพากษาก่อนหน้านี้ แถลงการณ์พันธมิตร ยังระบุด้วยว่า หากมีการสลายการชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมาย พันธมิตรขอเรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันต่อสู้กับความไม่ถูกต้องต่อไป และดำเนินภารกิจศักดิ์สิทธิ์ในการขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดให้สำเร็จจนถึงที่สุด หากมีการจับกุมแกนนำพันธมิตร ก็จะมีตัวแทนแกนนำประชาชนเพื่อสานต่อภารกิจในการต่อสู้ต่อไป ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล 1 ในแกนนำพันธมิตร ซึ่งมีอาการไม่สบายและเป็นไข้ได้ขึ้นเวทีประกาศว่า แกนนำพันธมิตรทั้ง 5 จะไม่มีวันทิ้งพี่น้อง ถึงตายก็ยอมตาย และถ้าตาย ขอให้พี่น้องจำชื่อคน 3 คนนี้เอาไว้ คือ ทักษิณ-สมัคร-เฉลิมและลูกๆ แล้วล้างแค้นให้ด้วย
พันธมิตรฯ ลั่น! ยกระดับชุมนุมไล่รัฐบาล “หุ่นเชิด”
“หมัก”ลุอำนาจ!ประกาศแตกหัก ส่ง ตร.-ทหารจัดการ“พันธมิตรฯ” วันนี้
ทนายพันธมิตรฯ เตือน"หมัก"สั่งสลายชุมนุมขัด รธน.เป็นจำเลยทันที
2. “ตร.”ชี้ “จักรภพ”หมิ่นสถาบัน ด้าน “เจ้าตัว”ยอมลาออก แต่ยังปากแข็ง ไม่ผิด!
หลังนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และอดีตแกนนำ นปก.ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นสถาบันจากกรณีไปบรรยายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2550 ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มองว่า คำบรรยายของนายจักรภพสะท้อนถึงการมีทัศนคติที่อันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พรรคฯ จึงได้มอบคำแปลคำบรรยายของนายจักรภพให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ พิจารณาจัดการนายจักรภพไปแล้วนั้น ปรากฏว่า หลังเก็บตัวเงียบเป็นเวลาวัน นายจักรภพได้เปิดแถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 26 พ.ค.โดยได้แจกเอกสารคำบรรยายภาษาอังกฤษพร้อมคำแปลเป็นภาษาไทยที่นายจักรภพแปลเองให้ผู้สื่อข่าว พร้อมแนบคำแปลฉบับที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้แปลและมอบให้นายสมัครก่อนหน้านี้ รวมทั้งคำแปลฉบับที่ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี ที่เข้าแจ้งความดำเนินคดีตน โดยนายจักรภพ อ้างว่า คำแปลฉบับของ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์มีการบิดเบือนจำนวนมาก และว่า ตนรู้สึกโกรธที่ถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี จนสร้างความเสื่อมเสียกับตัวเอง รัฐบาล และครอบครัว จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ พร้อมยืนยันว่า ตนและครอบครัวจงรักภักดีเป็นที่ประจักษ์มาหลายชั่วอายุคน นายจักรภพ ยังอ้างด้วยว่า การที่ตนถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมหมิ่นเบื้องสูง เกิดจากการกล่าวหาแล้วผสมด้วยการขยายประเด็นอย่างบิดเบือนโดยพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรผ่านสื่อมวลชน ซึ่งตนได้สั่งให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินคดีกับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ทั้งนี้ ในการแถลงดังกล่าว นายจักรภพไม่ได้ประกาศลาออกตามที่มีบางฝ่ายคาดการณ์ โดยนายจักรภพยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องลาออกเพราะเรื่องนี้ แต่ได้ขออนุญาตนายกฯ ลากิจ 7 วัน เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาคำแปลแล้วตัดสินด้วยตัวเอง และว่า เมื่อตนกลับมาทำงาน จะได้พิจารณากระแสตอบรับจากประชาชนอีกครั้งว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดแถลงตอบโต้นายจักรภพ(27 พ.ค.)ว่า นายจักรภพพยายามเบี่ยงเบนประเด็นที่ตัวเองได้พูดและทำอะไรไว้ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ให้กลายเป็นเรื่องเล็กเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างพรรคและบุคคล ซึ่งไม่ใช่ นายอภิสิทธิ์ ยังย้ำด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังคงยืนยันความเห็นเดิมที่ว่า คำบรรยายของนายจักรภพเป็นทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และนายจักรภพไม่มีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอีกต่อไป ทั้งนี้ ไม่เพียงพรรคฝ่ายค้านจะจี้ให้นายสมัครจัดการนายจักรภพ แม้แต่ ส.ส.ในรัฐบาลเองก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้เช่นกัน โดยนายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ ส.ส.สุพรรณบุรี และรองเลขาธิการพรรคชาติไทย ได้ทำหนังสือเปิดผนึกถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ (28 พ.ค.) เรียกร้องให้นายจักรภพแสดงความบริสุทธิ์ใจและแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่เกิดขึ้น ด้วยการลาออก หรือไม่ก็ให้นายสมัครปรับนายจักรภพออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่านายกฯ ไม่ได้พยายามปกป้องนายจักรภพ เนื่องจากพฤติกรรมของนายจักรภพกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างยิ่ง ส่วนความคืบหน้าด้านคดีที่มีผู้แจ้งความดำเนินคดีนายจักรภพนั้น ในที่สุด เมื่อวันที่ 29 พ.ค.พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก็ได้นำทีมแถลงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสอบสวนคดีนายจักรภพถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีมติสรุปว่า นายจักรภพมีพฤติกรรมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 (ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุก 3-15 ปี) พล.ต.ท.อดิศร บอกด้วยว่า สัปดาห์หน้าจะออกหมายเรียกนายจักรภพมารับทราบข้อกล่าวหา หากไม่มา จะขอศาลอนุมัติออกหมายจับ และว่า หลังจากนี้ไม่เกิน 10 วัน จะสามารถเสนอเรื่องนี้ให้คณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นสถาบันของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณามีความเห็นอีกครั้งได้ ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชี้ว่านายจักรภพมีพฤติกรรมหมิ่นสถาบัน วันต่อมา(30 พ.ค.)นายจักรภพ ได้เปิดแถลงประกาศลาออก โดยอ้างว่า การลาออกครั้งนี้เป็นการถอดตัวเองออกจากเกมอำนาจที่มีการวางกันไว้แล้วของคนภายนอก เป็นการลาออกเพื่อรักษาขุนเอาไว้ให้รอด นายจักรภพ ยังยืนยันด้วยว่า ตนไม่ได้มีความคิดที่จะลาออก เพราะตนไม่ได้ทำอะไรผิด และว่า นี่ไม่ใช่การถอยเพราะถอดใจ แต่เป็นเพียงขั้นตอนทางการเมือง ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และอดีตแกนนำ นปก.ประกาศ พร้อมจะยืนเคียงข้างนายจักรภพ และรับชะตากรรมด้วยกัน และว่า วันใดที่นายจักรภพไปพบพนักงานสอบสวน ตนจะใช้ตำแหน่ง ส.ส.ช่วยประกันตัว
“เจ๊เพ็ญ” ชะตาขาด! ตร.ชี้ชัดหมิ่นเบื้องสูง
“เพ็ญ” แถลงลาออกแล้ว อ้างเพื่อ “รักษาขุนให้อยู่รอด”
3. “คตส.”ส่ง “อสส.”ฟัน “ทักษิณ”อีก 2 คดี “ใช้อำนาจเอื้อธุรกิจตัวเองและคดีซีทีเอ็กซ์”!
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ประชุมใหญ่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ตามที่คณะอนุกรรมการไต่สวนคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบในการเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจของตนเองและพวกพ้อง(ที่มีนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ คตส.เป็นประธาน)เสนอให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ยึดทรัพย์สินกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท(76,621,603,061.05 บาท) ที่คนในครอบครัวชินวัตรได้รับจากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือชินคอร์ป จากเทมาเส็ก ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 เนื่องจากพบหลักฐานชัดเจนว่า ระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกฯ ยังคงถือครองหุ้นชินคอร์ปไว้ และใช้อำนาจหน้าที่สั่งการมอบนโยบาย อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือ คตส.ยังชี้ด้วยว่า เมื่อรัฐบาลทักษิณประกาศใช้บังคับ พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 ครอบครัวชินวัตรก็ได้ขายหุ้นให้แก่กลุ่มเทมาเส็กกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท ดังนั้นเงินจำนวนนี้จึงถือเป็นทรัพย์สินที่ได้มาเนื่องจากการกระทำที่ขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม และถือเป็นการได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการและเลขานุการ คตส.ได้นำสำนวนการไต่สวนและพยานเอกสารหลักฐานในคดี พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของตนและพวกพ้องรวม 7 ลัง 43 แฟ้ม เสนอต่ออัยการสูงสุดแล้วเมื่อวันที่ 29 พ.ค. โดยนายแก้วสรร เผยว่า จากการไต่สวนพบพยานหลักฐานมีมูลเพียงพอที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานยังคงถือหุ้นชินคอร์ป และช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้ออกมาตรการเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของชินคอร์ปรวม 6 มาตรการ ทั้งเรื่องดาวเทียม ,โทรศัพท์เคลื่อนที่ ,ภาษีสรรพสามิต ,ระบบบัตรเติมเงิน ,การซุกหุ้นชินคอร์ป และการปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า(เอ็กซิมแบงก์) คตส.จึงเห็นว่า มาตรการดังกล่าวทำให้เกิดทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ส่วนที่ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณพยายามอ้างว่า ทรัพย์สินต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณมีมาก่อนเป็นนายกฯ นั้น นายแก้วสรร บอกว่า พฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.นั้นมีอยู่ 2 ชนิด คือชนิดที่ดูแล้วสงสัยว่าได้ทรัพย์สินมาจากไหน กับชนิดที่เห็นและระบุได้เลยว่ามีการได้ทรัพย์สินใดมาโดยไม่สมควร ซึ่งกรณี พ.ต.ท.ทักษิณจัดอยู่ในชนิดหลัง ทั้งนี้ นอกจาก คตส.จะส่งสำนวนและพยานหลักฐานคดี พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตนและพวกพ้องแล้ว คตส.ยังได้ส่งมอบสำนวนและพยานหลักฐานคดีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 สนามบินสุวรรณภูมิ ต่ออัยการสูงสุดด้วยเมื่อวันที่ 28 พ.ค.เพื่อสั่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยผู้ที่ถูก คตส.ชี้มูลความผิดในคดีนี้มี 25 ราย ประกอบด้วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ,นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีคมนาคม รวมทั้งคณะกรรมการและพนักงานบริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่(บทม.) ,คณะกรรมการและพนักงานบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ ทอท. ตลอดจนกลุ่มกิจการร่วมค้าไอทีโอ ซึ่งเป็นนิติบุคคลภาคเอกชน ทั้งนี้ คตส.ระบุว่า ผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหลายมาตรา ได้แก่ มาตรา 83 ,86 ,90 ,149 ,157 นอกจากนี้ยังผิดกฎหมายเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือ พ.ร.บ.ฮั้ว โดยพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาได้ร่วมกันเสนอค่าจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงและติดตั้งเครื่องตรวจวัตถุระเบิดแพงกว่าความเป็นจริงกว่า 1,700 ล้านบาท เป็นเหตุให้ บทม.ได้รับความเสียหาย ส่วนกรณีที่นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ด้วยในฐานะกรรมการ บทม.นั้น คตส.จะแยกฟ้องคดีเป็นอีกสำนวนหนึ่ง
คตส.ยัน “แม้ว-อ้อ” ร่ำรวยผิดปกติ ส่งอัยการยึดทรัพย์ชินฯ 7.6 หมื่นล้าน
คตส.หอบสำนวนคดีซีทีเอ็กซ์ให้อัยการสั่งฟ้อง!
4. “รถร่วม ขสมก.”นับหมื่นประท้วงหยุดวิ่ง หลังศาลสั่งไม่ให้ขึ้นราคา ด้าน “รบ.”บีบโรงกลั่นลดราคาลิตรละ 3 บ.!
เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวคดีที่นายบุญชัย รุ่งเรืองไพศาลสุข ประธานเครือข่ายคัดค้านการขึ้นค่าโดยสารรถสาธารณะ ที่ยื่นฟ้องคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ,นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยคมนาคม และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีคมนาคม ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการออกคำสั่งโดยมิชอบ กรณีที่คณะกรรมการขนส่งทางบกกลางไฟเขียวให้ขึ้นค่าโดยสาร 1 บาท ซึ่งให้ประโยชน์กับผู้ประกอบการ โดยไม่ได้นำจำนวนรถที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีจำนวนมากมาพิจารณาประกอบการขึ้นค่าโดยสาร ถือว่าไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้บริการรถโดยสาร ทั้งนี้ ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งให้ระงับการปรับขึ้นค่าโดยสารตามมติของคณะกรรมการขนส่งทางบกกลางที่มีผลบังคับไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 พ.ค.โดยให้ระงับเฉพาะในส่วนของรถ ขสมก.ยกเว้น บ.ข.ส.โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค.เป็นต้นไป จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งศาลให้เหตุผลที่มีคำสั่งระงับการขึ้นค่าโดยสารดังกล่าวว่า เนื่องจากมติขึ้นค่าโดยสารดังกล่าวเป็นการออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่มีข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาอย่างเพียงพอที่จะทำให้การปรับอัตราค่าโดยสารเป็นไปอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครอง ส่งผลให้บรรดาผู้ประกอบการรถร่วม ขสมก.นับหมื่นคันไม่พอใจอย่างมากที่ไม่ได้ขึ้นค่าโดยสาร จึงได้ประท้วงด้วยการหยุดเดินรถเมื่อวันที่ 29 พ.ค.ส่งผลให้ประชาชนทั่วกรุงเทพฯ เดือดร้อนอย่างมาก แม้ทาง ขสมก.จะพยายามนำรถ ขสมก.มาวิ่งเสริมในบางเส้นทางแล้วก็ตาม ขณะที่ผู้ประกอบการรถร่วม ขสมก.ได้นำรถประมาณ 200 คันไปจอดประท้วงที่หน้ากระทรวงคมนาคม พร้อมยื่นข้อเรียกร้องให้กระทรวงคมนาคมช่วยลดผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครอง 4 ข้อ 1.ขอให้รัฐอุดหนุนค่าน้ำมันดีเซลส่วนที่เกินจากลิตละ 27.34 บาท หรืออุดหนุนลิตรละกว่า 10 บาท 2.ให้ยกเลิกเก็บค่าตอบแทนเงินส่วนแบ่งรายได้ของ ขสมก.ทั้งที่เป็นหนี้ค้างชำระและที่ต้องจ่ายรายวัน 3.ให้ระงับการนำรถโดยสารใหม่ 6 พันคันมาให้บริการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 4.ให้ทบทวนระเบียบว่าด้วยการบริหารจัดการและการกำกับดูแลรถร่วมบริการ พ.ศ.2550 โดยนายฉัตรชัย ชัยวิเศษ นายกสมาคมพัฒนารถร่วมเอกชน ขู่ว่า หากกระทรวงคมนาคมไม่ยอมช่วยเหลือ ผู้ประกอบการรถร่วมก็จะจอดรถปิดถนนไม่มีกำหนด และจะเข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรและยื่นถอดถอนรัฐมนตรีคมนาคมต่อไป ทั้งนี้ หลังรัฐมนตรีคมนาคมรับปากจะช่วย ผู้ประกอบการรถร่วม ขสมก.ได้สลายตัวชั่วคราวและกลับมาวิ่งบริการอีกครั้งระหว่างรอความชัดเจน ซึ่งวันต่อมา(30 พ.ค.)พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ได้เรียกประชุมโรงกลั่นน้ำมัน 4 บริษัท คือ ปตท.,ไทยออยล์ ,บางจาก และไออาร์พีซี เพื่อหารือเรื่องการลดค่าการกลั่น หลังประชุม พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ แถลงว่า โรงกลั่นน้ำมันทั้ง 4 แห่งได้ข้อสรุปว่า จะช่วยเหลือด้วยการจัดสรรน้ำมันดีเซล 732 ล้านลิตร โดยจะขายปลีกในราคาถูกกว่าหน้าสถานีบริการลิตรละ 3 บาท เป็นเวลา 6 เดือนตั้งแต่เดือน มิ.ย.-พ.ย. รวมแล้วเป็นส่วนลดจากการขายปลีกน้ำมันดีเซลกว่า 2,200 ล้านบาท ส่วนสาขาอาชีพที่จะได้รับการจัดสรรน้ำมันราคาถูกนั้น พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ บอกว่า จะหารือร่วมกับคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.)อีกครั้ง โดยเบื้องต้น กระทรวงพลังงานเตรียมประสานขอจัดสรรน้ำมันจำนวน 30 ล้านลิตรมาเติมให้กับปั๊มของ ปตท.ทั้ง 24 จุดในอู่ของ ขสมก. โดยจะให้รถร่วม ขสมก.เฉพาะหมวด 1 และ 4 กว่า 14,000 คันเข้าไปเติมน้ำมันร่วมกับรถของ ขสมก.ได้ แต่ต้องรอผลประชุมของ กบง.ในวันที่ 2 มิ.ย.อีกครั้งว่า จะเริ่มจำหน่ายน้ำมันดีเซลราคาถูกได้เมื่อใด ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากการจำหน่ายน้ำมันราคาถูกดังกล่าวแล้ว ขสมก.ยังจะลดการเก็บค่าตอบแทนจากรถมินิบัสลงจาก 100 บาท/วัน เหลือ 35 บาท/วันเท่ากับอัตราที่ ขสมก.เก็บจากรถร้อนขนาดใหญ่ รวมทั้งจะยกเว้นการเก็บผลตอบแทนรายได้จากรถร่วมและรถมินิบัส จนกว่าศาลปกครองจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งด้วย ขณะที่ผู้ประกอบการรถแท็กซี่ เริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องที่จะขอขึ้นค่าโดยสารบ้างเช่นกัน โดยนายวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยและสหกรณ์แท็กซี่สยาม และสมาชิก ได้เข้ายื่นหนังสือถึงนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยคมนาคม(30 พ.ค.) ขอปรับขึ้นค่าโดยสารแท็กซี่มิเตอร์ขึ้น 20% หรือกิโลเมตรละ 1 บาท พร้อมขู่ว่า หากไม่ได้รับการพิจารณา จะรวมตัวกันหน้ากระทรวงคมนาคมวันที่ 2 มิ.ย.นี้