xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 16-22 มี.ค.2551

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ


1. โผทหารคลอดแล้ว “ตท.10 พรึ่บ”-“สมเจตน์”เข้ากรุ ด้าน“สนธิ”ถกด่วน คมช.!

เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ได้มีประกาศสำนักนายกฯ เรื่อง ให้นายทหารรับราชการจำนวน 383 อัตรา โดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ โดยบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารกลางปีดังกล่าว จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้เป็นต้นไป สำหรับตำแหน่งที่มีการปรับย้ายที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผอ.สำนักงบประมาณกระทรวงกลาโหม และอดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. คนสนิทของ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหมและเลขาธิการ คมช. และเป็น 1 ในผู้ที่มีบทบาทในการดำเนินคดีนายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชนในคดีทุจริตเลือกตั้ง ถูกเด้งตามคาด โดยถูกย้ายไปเป็นประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม(อัตราจอมพล) แล้วให้ พล.อ.รังสาทย์ แช่มเชื้อ ที่ปรึกษาพิเศษกองบัญชาการทหารสูงสุด ตท.10 เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาสวมตำแหน่ง ผอ.สำนักงบประมาณกระทรวงกลาโหมแทน นอกจากนี้ยังมี ตท.10 อีกหลายนายได้กลับเข้ามาในกองทัพ เช่น พล.อ.ท.สุเมธ โพธิ์มณี ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพอากาศ มาเป็นหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม(อัตราพลเอก) ,พล.ต.พฤณฑ์ สุวรรณทัต อดีตผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ เป็นผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม ,พล.ต.มนัส เปาริก อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหมเช่นกัน(อัตราพลโท) ส่วน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต (ตท.10) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพอากาศ(ทอ.) ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณเคยวางตัวให้เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ แต่ถูกปรับย้ายพ้น 5 เสือ ทอ.หลังรัฐประหาร 19 ก.ย. แม้ในการโยกย้ายครั้งนี้จะมีข่าวว่า ฝ่ายการเมืองพยายามผลักดันให้ พล.อ.อ.สุกำพลได้กลับเข้ามาอยู่ใน 5 เสือ ทอ.อีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะมีความขัดแย้งกับ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. จึงมีการปรับย้าย พล.อ.อ.สุกำพล พ้นกองทัพอากาศ ไปนั่งที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมแทน ขณะที่ พล.อ.อ.พุฑฒิ มังคละพฤกษ์ ผู้บัญชาการกองบัญชาการยุทธทางอากาศ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นมงฟอร์ตกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ดิบได้ดีเป็นผู้ช่วย ผบ.ทอ. ส่วน พล.อ.พรชัย กรานเลิศ อดีตผู้ช่วย ผบ.ทบ.ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณเคยวางตัวให้เป็น ผบ.ทบ. ปรากฏว่า ในการโยกย้ายครั้งนี้ พล.อ.พรชัยยังอยู่ในตำแหน่งเดิม คือผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แต่คาดว่า ในการปรับย้ายใหญ่เดือน ต.ค. พล.อ.พรชัยอาจจะได้รับพิจารณาให้กลับเข้ามาในตำแหน่ง 5 เสือ ทบ.ของกองทัพอีกครั้ง เป็นที่น่าสังเกตว่า การโยกย้ายนายทหารกลางปีครั้งนี้ ไม่เพียง ตท.10 เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณจะได้ดีหลายตำแหน่ง แต่ยังมีการเด้งนายทหารที่ใกล้ชิด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.ออกจากตำแหน่งสำคัญด้วย เช่น พล.ท.สุนัย สัปปัตตะวนิช ซึ่งถูกโยกจากผู้บัญชาการหน่วยสงครามพิเศษ ไปเป็นที่ปรึกษากองทัพบก แล้วให้ พล.ท.ภุชงค์ รัตนวรรณ จเรทหาร ตท.10 เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณมาสวมตำแหน่งแทน เป็นต้น ทั้งนี้ วันเดียวกัน(20 มี.ค.) มีข่าวว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.ได้นัดอดีตสมาชิก คมช.ร่วมรับประทานอาหารเย็นที่บ้านพักรับรองผู้บัญชาการทหารอากาศ เพื่อหารือเรื่องบัญชีโยกย้ายนายทหารกลางปี โดยเฉพาะกรณีที่ ตท.10 ได้รับการแต่งตั้งกลับเข้ามาในกองทัพหลายตำแหน่ง ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า อดีตสมาชิก คมช.ที่มาพบกันครั้งนี้ ขาดเพียงคนเดียว คือ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ

โผทหารกลางปีเด้งคน คมช. “เพื่อนแม้ว” ตท.10 รอใหญ่ปลายปี

2. “ศาลฎีกา”รับฟ้องคดีใบแดง“ยงยุทธ”แล้ว ขณะที่“เจ้าตัว”ล้างแค้น- แจ้งความ 3 กกต.!

เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ได้มีคำสั่งประทับรับคำฟ้องกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง)นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน ฐานทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 ด้วยการแจกเงินซื้อเสียงผ่านกลุ่มกำนัน อ.แม่จัน จ.เชียงราย เพื่อให้มีการลงคะแนนเลือกผู้สมัครของพรรคพลังประชาชน พร้อมกันนี้ กกต.ยังได้ขอให้ศาลสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่(ใบเหลือง)นางละออง ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส.เขต 3 จ.เชียงราย น้องสาวนายยงยุทธ เนื่องจากมีหลักฐานเชื่อได้ว่า การเลือกตั้งในเขตดังกล่าวไม่สุจริต ด้าน พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็น 1 ในทีมทนายของนายยงยุทธ มั่นใจว่า พยานหลักฐานฝ่ายตนที่มีจะสามารถต่อสู้คดีในชั้นไต่สวนของศาลได้ พร้อมเผย ในบรรดาพยานบุคคลที่ตนจะยื่นต่อศาลนั้น มีนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.เสียงข้างน้อยที่เห็นว่านายยงยุทธไม่ควรได้ใบแดง และนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ที่งดออกเสียง และเห็นว่า กกต.ควรสอบพยานนายยงยุทธเพิ่มเติมด้วย พ.ต.ท.กานต์ ยังหลุดไอเดียให้พรรคพลังประชาชนรอดพ้นจากการถูกยุบพรรคหากศาลตัดสินให้ใบแดงนายยงยุทธด้วย โดยเสนอให้นายกฯ ประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ก่อนที่จะมีการยุบพรรค โดย พ.ต.ท.กานต์ อ้างว่า แนวคิดนี้ตนได้หารือกับ ส.ส.ภาคเหนือของพรรคแล้ว อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาได้มีแกนนำพรรคและ ส.ส.ภาคเหนือของพรรคออกมาปฏิเสธว่า ไม่รู้เรื่องด้วย นั่นเป็นความคิดของ พ.ต.ท.กานต์คนเดียว ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้าที่ศาลจะมีคำสั่งรับคำร้องของ กกต.3 วัน(17 มี.ค.)นายยงยุทธ ได้ส่งทนายเข้าแจ้งความต่อตำรวจกองปราบฯ ให้ดำเนินคดี 3 กกต.ที่มีมติให้ใบแดงตน คือ นายอภิชาต สุขัคคานนท์,นายสุเมธ อุปนิสากร และนายประพันธ์ นัยโกวิท โดยอ้างว่า กกต.ทั้งสามสมคบกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานกระทำการเพื่อแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องได้รับโทษทางอาญา พร้อมกันนี้นายยงยุทธ ยังได้แจ้งความดำเนินคดี พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธุ์กุล รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ที่เป็นหัวหน้าชุดสอบกรณีทุจริตเชียงรายชุดแรก ที่สรุปผลว่า นายยงยุทธซื้อเสียงผ่านกำนันเชียงราย 10 คน โดยนายยงยุทธอ้างว่า พล.ต.ต.ชัยยะ ไม่เป็นกลางและทำผิดกฎหมายอาญาหลายมาตรา ข้อหาสนับสนุนเจ้าพนักงานในการกระทำความผิด ทั้งนี้ ไม่เพียง พล.ต.ต.ชัยยะ จะถูกนายยงยุทธแจ้งความดำเนินคดี แต่เขายังถูกผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลในยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชนอย่าง พล.ต.ท.ระพีพัฒน์ ปาละวงศ์ สั่งย้ายไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า จ.ยะลาแบบไม่มีกำหนดอีกด้วย โดยคำสั่งลงวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ยังมีคำสั่งให้ พ.ต.อ.สุวรรณ เอกโพธิ์ รองผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 1 ซึ่งร่วมอยู่ในทีมสอบนายยงยุทธกรณีทุจริตเลือกตั้งเช่นกัน ไปช่วยราชการที่ จ.ยะลาแบบไม่มีกำหนดเช่นกัน

กฎแห่งกรรม!! “ทั่นยุทธ” สิ้นสภาพทางการเมือง
“พันธมิตรฯ” ตอกหุ่นเชิดเด้ง “ชัยยะ” สังเวยคดี “ยุทธ ใบแดง”
กกต.แนะ “ชัยยะ” ร้องเรียนหากถูกเด้งไม่เป็นธรรม
เด้ง “ชัยยะ” มือปราบ “ทั่นยุทธ” ตกเก้าอี้ ปธ.สภาฯไปชายแดนใต้!


3. “กฎหมาย”มัดคอ“กกต.”ส่อต้องยุบ“ชท.-มฌ.” ด้าน “รบ.”สบช่อง แก้ รธน.ปิดทางยุบ 3 พรรค!

เมื่อวันที่ 18 มี.ค. คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้ประชุมพิจารณาผลสอบกรณียุบ-ไม่ยุบพรรคชาติไทย(ชท.)และพรรคมัชฌิมาธิปไตย(มฌ.)ของคณะกรรมการสอบสวนที่มีนายบุญทัน ดอกไธสง เป็นประธาน หลังประชุม นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.แถลงว่า ที่ประชุม กกต.ยังไม่สามารถลงมติได้ เนื่องจาก กกต.มีปัญหาเกี่ยวกับเนื้อความมาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญ และมาตรา 103 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.ว่า กรณีที่กรรมการบริหารพรรคกระทำการซื้อเสียง โดยที่กรรมการบริหารพรรคคนอื่นหรือหัวหน้าพรรคไม่มีส่วนรู้เห็น จะนำไปสู่การพิจารณาสั่งยุบพรรคได้หรือไม่ ดังนั้นเพื่อความรอบคอบและเพื่อให้เกิดความชัดเจน ที่ประชุมจึงมีมติส่งเรื่องให้ที่ปรึกษากฎหมายของ กกต.ที่มีนายสุพล ยุติธาดา เป็นประธาน พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน หากได้รับคำปรึกษาแล้ว ถ้ามีมติยุบพรรค ก็ต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาอีกครั้ง นายสุทธิพล ยังยืนยันด้วยว่า ที่ประชุม กกต.ยังไม่ได้พิจารณาผลสอบของคณะกรรมการชุดนายบุญทัน ที่สรุปให้ทราบว่า จากการสอบพยานหลายปาก รวมทั้งดูข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน มองได้ว่า กรรมการบริหารพรรครายอื่นไม่มีส่วนรู้เห็นการกระทำของกรรมการบริหารพรรคที่โดนใบแดง คณะกรรมการสอบฯ จึงเห็นว่าไม่เข้ากรณียุบพรรค อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสอบฯ ได้ทำความเห็นมายัง กกต.ว่า ยังไม่ชัดเจนในข้อกฎหมายว่า เมื่อกรรมการบริหารพรรคคนหนึ่งกระทำการทุจริต โดยที่กรรมการบริหารพรรคคนอื่นไม่มีส่วนรู้เห็น จะสามารถนำไปสู่กระบวนการยุบพรรคได้หรือไม่ วันต่อมา(19 มี.ค.) นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวถึงกรณีที่ กกต.ต้องมีมติขอความเห็นจากที่ปรึกษากฎหมายในคดียุบ-ไม่ยุบพรรคชาติไทย-มัชฌิมาธิปไตยว่า กกต.ไม่มีทางเลือก เพราะกฎหมายรัดคอ กกต.ไว้ ไม่ให้เห็นเป็นอย่างอื่น เพราะแม้ กกต.จะเชื่อว่า กรรมการบริหารพรรคหรือหัวหน้าพรรคไม่มีส่วนรู้เห็นการซื้อเสียงของกรรมการบริหารพรรคที่โดนใบแดง แต่รัฐธรรมนูญมาตรา 237 วรรค 2 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 103 วรรค 2 ที่บอกว่า กรณีหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคทำผิดกฎหมาย “ให้ถือว่า”พรรคการเมืองได้อำนาจการปกครองโดยวิถีทางที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งความผิดดังกล่าวจะไปเข้ากฎหมายมาตรา 94(1) ที่ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค เมื่อกฎหมายเขียนเช่นนี้ กกต.จึงทำอย่างอื่นไม่ได้ ดังนั้น เพื่อความมั่นใจ จึงต้องขอให้ที่ปรึกษากฎหมายพิจารณา ด้านทีมที่ปรึกษากฎหมายทั้ง 7 คนของ กกต.(ส่วนใหญ่เป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ) ได้เปิดประชุม(เมื่อ 20 มี.ค.)เพื่อพิจารณาข้อกฎหมายที่ กกต.ถามมา แต่ปรากฏว่า ประชุมได้แค่ 30 นาที ก็ต้องยุติ เนื่องจากทางอาคารศรีจุลทรัพย์(ซึ่งเป็นที่ตั้ง กกต.ด้วย)จำเป็นต้องดับไฟเพื่อซ่อมแซมเครื่องปรับอากาศ ทีมที่ปรึกษากฎหมายดังกล่าวจึงได้เลื่อนการพิจารณาออกไปเป็นวันที่ 26 มี.ค.แทน(เวลา 16.00น.) อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวว่า ที่ประชุมทีมที่ปรึกษากฎหมายมีมติเอกฉันท์ 7 เสียง ให้ กกต.ใช้ดุลพินิจส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคได้ เนื่องจาก รธน.มาตรา 237 วรรค 2 และมาตรา 103 วรรค 2 ของ พ.ร.บ.ประกอบ รธน.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.กำหนดไว้ชัดเจนว่า เมื่อมีการกระทำผิดของ กก.บห.พรรคและถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง) จะต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(21 มี.ค.)นายสุพล ยุติธาดา ประธานคณะที่ปรึกษากฎหมายของ กกต.ได้ออกมาปฏิเสธว่า ที่ปรึกษากฎหมายยังไม่ได้ลงมติตามที่มีข่าวแต่อย่างใด และว่า ในการประชุมวันที่ 26 มี.ค.นี้ น่าจะได้ข้อยุติและนำเสนอความเห็นต่อ กกต.ได้ ทั้งนี้ หลังมีข่าวว่า คณะที่ปรึกษากฎหมายของ กกต.มีมติให้ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ปรากฏว่า น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา ส.ส.สัดส่วนและรองหัวหน้าพรรคชาติไทย ได้ออกมาร้องขอความเป็นธรรมให้พรรค(20 มี.ค.) พร้อมอ้างว่า “เคยได้ยินข่าวว่ามีใบสั่งให้มีการยุบพรรคทั้ง 2 พรรค จึงรู้สึกท้อใจ และขอให้ทุกฝ่ายให้ความเป็นธรรม เพื่อให้ประเทศชาติดำเนินต่อไปได้” ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม ก็รีบออกมาเพิ่มน้ำหนักคำพูดของ น.ส.กัญจนาเรื่องใบสั่งยุบพรรค โดยบอก มีความพยายามยุบพรรคชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตย เพื่อโยงไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน นายสมัคร ยังพูดทำนองว่า มีคนต้องการให้ยุบพรรครัฐบาลทั้ง 3 พรรค ซึ่งหากทำเช่นนั้นเท่ากับเป็นการฆ่าประเทศไทย

“...จะเอากันให้ตายกันตรงนี้ก็เอาสิ เอากันไหม เอากันให้ตายไปเลยไอ้พรรคการเมืองให้มันตายกันไป ไอ้พรรคการเมืองตายมันไม่เป็นไร แต่ประเทศชาติมันตาย กว่าจะล้มลุกคลุกคลาน กว่าจะเงยหัวขึ้นมาได้ พอเงยหน้าไปคบค้าสมาคมกับใครเขาได้ ก็จะกลับอย่างเดิม จะเอากันให้ตายอีก อย่างนี้พอใจหรือยัง”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คนที่นายสมัครอ้างว่าจะเอาพรรคการเมืองให้ตายคือใคร? นายสมัคร ก็ไม่ยอมเผย โดยอ้างว่า “ไม่ต้องระบุหรอก เพราะคนไทยทั้งประเทศรู้” ด้านนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ได้กล่าวระหว่างประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคที่อิมแพค เมืองทองธานี(21 มี.ค.) ทำนองว่า เหตุที่พรรคชาติไทยส่อโดนยุบพรรค เป็นเพราะพรรคเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งเคยมีเสียงเตือนตนตั้งแต่หลังเลือกตั้งแล้ว อย่างไรก็ตาม นายบรรหาร อ้างว่า ตนยังไม่อยากเชื่อว่ามีใบสั่งยุบพรรคจากผู้ใหญ่ เพราะถ้าเหลืออยู่พรรคเดียว การเมืองจะไปได้มั้ย ถ้าใครคิดแบบนั้นตนถือว่าเป็นความคิดที่วิปริต ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า แกนนำพรรคพลังประชาชน เช่น นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรค กำลังสบช่องที่ กกต.บอกว่า กฎหมายรัดคอให้ กกต.ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตย โดย นพ.สุรพงษ์ ได้นำประเด็นดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างว่า สมควรแก้ รธน.มาตรา 237 เพื่อคลายล็อกเรื่องการยุบพรรค ไม่ให้ทำได้ง่ายเกินไป และว่า การแก้ รธน.จุดนี้ควรเร่งดำเนินการอย่างรวดเร็วก่อนที่คดีจะถึงมือศาล ส่วนกรณีที่คดีใบแดงนายยงยุทธถึงมือศาลแล้ว ซึ่งอาจนำไปสู่การยุบพรรคได้เช่นกันนั้น นพ.สุรพงษ์ บอกว่า คดีดังกล่าว แม้เรื่องจะถึงศาลแล้ว แต่ก็ยังมีขั้นตอนพิจารณาที่ต้องใช้เวลาอีกพอสมควร

“เติ้ง” อัด “สุเมธ” ไร้มารยาทชี้นำใบแดงพ่วงยุบพรรค
มฌ.-ชท.เข้าขั้นตรีทูต กม.ผูกมัดส่งศาล รธน.ชี้ขาด


4. “ป.ป.ช.”เปิดทรัพย์สิน “รมต.-ส.ส.”พบ “บรรหาร”รวยสุด ขณะที่นายทุน “พปช.”หนี้ท่วม!

เมื่อวันที่ 20 มี.ค. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ ส.ส.ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 22 ม.ค.จำนวน 480 คน โดยการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ ส.ส.ต่อสาธารณะครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นไปตาม รธน.2550 มาตรา 261 ขณะที่ก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยเฉพาะบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ และรัฐมนตรีเท่านั้น สำหรับบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ ส.ส.ที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้จำนวน 21 คน ที่น่าสนใจ ได้แก่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม แจ้งว่า มีทรัพย์สินกว่า 9 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน ขณะที่คู่สมรส คือ คุณหญิงสุรัตน์ มีทรัพย์สินเกือบ 17 ล้านบาท มีหนี้สิน 6 ล้านบาทเศษ ด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีศึกษาธิการ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ มีทรัพย์สินกว่า 54 ล้านบาท ขณะที่คู่สมรส คือนางเยาวภา มีทรัพย์สินเกือบ 40 ล้านบาท ขณะที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง มีทรัพย์สินกว่า 27 ล้านบาท ส่วนคู่สมรส คือ นางปราณี มีทรัพย์สินมากกว่าหลายเท่าเกือบ 121 ล้านบาท ด้านนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ มีทรัพย์สินกว่า 142 ล้านบาท ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย มีทรัพย์สินเกือบ 153 ล้านบาท ส่วนคู่สมรส คือนางเพชรี อมรวิวัฒน์ มีทรัพย์สินกว่า 73 ล้านบาท ด้านนายทุนคนสำคัญของพรรคพลังประชาชนอย่างนายสันติ พร้อมพัฒน์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีคมนาคม แจ้งว่า มีทรัพย์สินแค่ 7 ล้านกว่า แต่มีหนี้สินจากการค้ำประกันกว่า 121 ล้านบาท ขณะที่คู่สมรส คือนางวันเพ็ญ ก็มีทรัพย์สินแค่ 11 ล้านกว่า แต่มีหนี้สินกว่า 101 ล้านบาท ด้านนายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีสาธารณสุข มีทรัพย์สินเกือบ 6 ล้านบาท ส่วนคู่สมรส คือนางจุไร มีทรัพย์สินกว่า 80 ล้านบาท ส่วนนายวุฒิพงศ์ ฉายแสง รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี น้องชายนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย มีทรัพย์สินที่หักหนี้สินแล้วกว่า 106 ล้านบาท ด้านนายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน มีทรัพย์สินที่หักหนี้สินแล้วแค่ 3 ล้านกว่า ส่วนคู่สมรส คือนางสลักจฤษดิ์ มีทรัพย์สินกว่า 6 ล้านบาท ขณะที่นายชัย ชิดชอบ ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน บิดานายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย มีทรัพย์สินกว่า 72 ล้านบาท ส่วนคู่สมรส คือนางละออง มีทรัพย์สินกว่า 78 ล้านบาท ด้านแกนนำในการปลุกม็อบให้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณหลายคนก็มีทรัพย์สินไม่น้อยเช่นกัน เช่น นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ และโฆษกกลุ่มมหาประชาชนร่วมพิทักษ์ประชาธิปไตย มีทรัพย์สินกว่า 25 ล้านบาท ขณะที่คู่สมรสมีทรัพย์สินเกือบ 154 ล้านบาท ส่วนนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ อดีตแกนนำกลุ่มคนรักทักษิณ มีทรัพย์สินกว่า 53 ล้านบาท ไม่แจ้งบัญชีคู่สมรส แต่แจ้งบัญชีบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะว่ามีทรัพย์สินกว่า 26 ล้านบาท ส่วนทางด้านพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชีชีวะ ส.ส.สัดส่วนและหัวหน้าพรรค มีทรัพย์สินกว่า 36 ล้านบาท ขณะที่คู่สมรส คือนางพิมพ์เพ็ญ มีทรัพย์สินกว่า 14 ล้านบาท ส่วนบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 2 คนมีทรัพย์สินกว่า 4 แสนบาท ด้านนายชวน หลีกภัย ส.ส.สัดส่วนและประธานสภาที่ปรึกษาพรรค มีทรัพย์สินแค่ 3 ล้านกว่า ส่วนพรรคชาติไทยนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า นายบรรหาร ศิลปอาชา ส.ส.สุพรรณบุรีและหัวหน้าพรรค เป็นนักการเมืองที่มีทรัพย์สินมากที่สุด โดยมีเกือบ 3 พันล้านบาท ขณะที่คู่สมรส คือคุณหญิงแจ่มใส มีทรัพย์สินกว่า 455 ล้านบาท ส่วนผู้ที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุดในสภา คือ นายณัฐวุฒิ สุขเกษม ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคมัชฌิมาธิปไตย(อายุ 31 ปี) โดยมีเงินฝากแค่ 3,500 บาท แถมยังเป็นหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาอีกแสนกว่าบาท

ป.ป.ช.เปิดบัญชีฯ 480 ส.ส. 2551 ดูจะๆ ใครรวย-ยาจก มีทรัพย์สิน-หนี้สินอะไร!

5. “พันธมิตรฯ”ยัน กิจกรรม 28 มี.ค.นี้ เน้นสันติวิธี ด้าน “พปช.”ขู่ขนม็อบชนทุกเวที!

หลังจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกแถลงการณ์“เคลื่อนไหวครั้งที่ 1 : ต้านเผด็จการทุนนิยมสามานย์และรัฐตำรวจ” โดยประเดิมด้วยการจัดสัมมนารายการ“ยามเฝ้าแผ่นดินภาคพิเศษ” ในวันศุกร์ที่ 28 มี.ค.นี้ ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปรากฏว่า ส.ส.พรรคพลังประชาชนหลายคน นำโดยนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ ก็ได้ออกมาเปิดตัวกลุ่มของตน ชื่อ“กลุ่มมหาชนร่วมพิทักษ์ประชาธิปไตย” โดยประกาศจะเคลื่อนไหวชุมนุมต้านพันธมิตรฯ ในวันที่ 28 มี.ค.เช่นกัน เนื่องจากไม่ต้องการให้แกนนำพันธมิตรฯ เหิมเกริมและก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นายประชาได้ประกาศเพิ่มเติมว่า ทางกลุ่มจะเปิดแถลงรายละเอียดกิจกรรมที่จะจัดขึ้นเพื่อตอบโต้กลุ่มพันธมิตรฯ ในวันที่ 26 มี.ค.นี้ ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ และว่า ไม่ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะจัดกิจกรรมขึ้นที่ไหน ทางกลุ่มก็จะไปจัดกิจกรรมที่นั่นด้วย เช่นเดียวกับที่พันธมิตรฯ จะจัดกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทางกลุ่มก็ได้ขอใช้หอประชุม ของธรรมศาสตร์เพื่อจัดกิจกรรมเช่นกัน นายประชา ยังเผยด้วยว่า ขณะนี้ทางกลุ่มได้เปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว เป็น “กลุ่มมหาประชาชนร่วมพิทักษ์ประชาธิปไตย” มีสโลแกนว่า “เวทีคู่ขนาน สร้างสรรค์สังคม” ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย ในฐานะผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ยืนยันว่า การจัดกิจกรรมในวันที่ 28 มี.ค.นี้จะไม่ยืดเยื้อ และจะไม่มีการเคลื่อนขบวนหรือนำมวลชนไปกดดันที่ไหนทั้งสิ้น เพราะกิจกรรมยึดหลักสันติวิธีและอยู่ในกรอบของ รธน.จะไม่ยั่วยุหรือสร้างเงื่อนไขให้เกิดการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่และประชาชนอีกฝ่าย ด้าน พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 เชื่อ การจัดสัมมนาของกลุ่มพันธมิตรฯ ในวันที่ 28 มี.ค.นี้ ไม่น่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น เพราะขณะนี้บ้านเมืองอยู่ในความสงบเรียบร้อย และไม่น่าจะมีมือที่สาม จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมแผนปฐพี 149 แต่อย่างใด และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ก็ไม่ได้สั่งการอะไร ขณะที่นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนตั้งกลุ่มมหาประชาชนร่วมพิทักษ์ประชาธิปไตยเพื่อต่อต้านพันธมิตรฯ ว่า เป็นการแสดงออกว่ารัฐบาลกลัวการตรวจสอบของภาคประชาชน นายสมศักดิ์ ยังยืนยันด้วยว่า การสัมมนาทางวิชาการของพันธมิตรฯ ครั้งนี้ ไม่ใช่ม็อบหรือการชุมนุม แต่เป็นการสัมมนาที่อยู่บนเหตุและผล มีขึ้นเพื่อให้ประชาชนตรวจสอบการบริหารของรัฐบาลที่เห็นว่ามีลักษณะในทางละเมิดสิทธิเสรีภาพในด้านต่างๆ ของประชาชน ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไยขู่จะใช้กฎหมายเอาผิดพันธมิตรฯ ฐานโค่นล้มรัฐบาลนั้น นายสมศักดิ์ ยืนยันว่า ไม่กังวล เพราะพันธมิตรฯ ทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แม้แต่เรื่องสถานที่จัดสัมมนา ก็ขออนุญาตทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เรียบร้อยแล้ว ด้านนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไม่ขวางการชุมนุมต้านพันธมิตรฯ ของกลุ่ม ส.ส.พรรคพลังประชาชน โดยชี้ การแสดงความคิดทางการเมืองเป็นสิทธิอย่างเต็มที่ที่สามารถทำได้ พร้อมอ้าง ยิ่งพันธมิตรฯ มีการเคลื่อนไหวมากเท่าไหร่ รัฐบาลยิ่งมีความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อแก้ปัญหา เพราะประชาชนจะสิ้นหวังลงไปเรื่อยๆ หากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้บริหารประเทศ.

มธ.ไฟเขียว “พันธมิตรฯ” เปิดเวทีชำแหละหุ่นเชิด 28 มี.ค.
ม็อบถ่อยท้าชน “พันธมิตรฯ” ยันพลังแม้วลงขันกันเองไม่เกี่ยวพรรค
ลิ่วล้อ “นอมินี” เหิมหนักแจ้งจับ “กลุ่มพันธมิตร” ฐาน “ซ่องโจรอั้งยี่-ก่อกบฏ”

กำลังโหลดความคิดเห็น