1.“กกต.”รับรองผลเลือกตั้ง ส.ว.แล้ว 70 จว.- ยังถูกแขวนอีก 6 !
การเลือกตั้ง ส.ว.เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ผ่านพ้นไปด้วยดี แต่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งค่อนข้างบางตา โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)แถลงยอดผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ว.ทั่วประเทศมีจำนวนเกือบ 25 ล้านคน จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดเกือบ 45 ล้านคน หรือคิดเป็น 55.61% โดยในส่วนของ กทม.ปรากฏว่า น.ส.รสนา โตสิตระกูล ผู้มีบทบาทในการคัดค้านการแปรรูป กฟผ.โดยไม่ชอบและตรวจสอบกรณีทุจริตยาของกระทรวงสาธารณสุข ได้รับเลือกเป็น ส.ว.กทม.ด้วยคะแนนสูงถึง 7 แสนกว่าคะแนน ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดของทั้งประเทศ โดยทิ้งห่างคู่แข่งอย่างนายนิติพงษ์ ห่อนาค ที่ได้คะแนนตามมาเป็นอันดับสองแบบไม่เห็นฝุ่น ที่ได้เพียง 2 แสนกว่าคะแนน ขณะที่นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ซึ่งตามมาอันดับ 3 ได้เกือบ 2 แสนคะแนน ทั้งนี้ น.ส.รสนา เปิดใจหลังทราบผลเลือกตั้ง ส.ว.ว่า จะตั้งใจทำงาน และทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลให้มีความโปร่งใสมากขึ้น ด้านที่ประชุม กกต.ได้มีมติ(เมื่อ 4 มี.ค.)รับรองผลการเลือกตั้ง ส.ว.ล็อตแรกแล้ว 70 คน 70 จังหวัด ส่วนอีก 6 จังหวัดที่ยังไม่ประกาศรับรอง เนื่องจากมีเรื่องร้องคัดค้านผลเลือกตั้ง ได้แก่ 1.นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธุ์ ว่าที่ ส.ว.ขอนแก่น 2.นางพรทิพย์ จันทร์รัตนปรีดา ว่าที่ ส.ว.ชัยภูมิ 3.นายธวัชชัย บุญมา ว่าที่ ส.ว.นครนายก 4.นางอรพินธ์ มั่นศิลป์ ว่าที่ ส.ว.นครสวรรค์ 5.นางสมพร จูมั่น ว่าที่ ส.ว.เพชรบูรณ์ 6.นายพายัพ ทองชื่น ว่าที่ ส.ว.สระแก้ว ทั้งนี้ กกต.เผยว่า ประเด็นที่มีการร้องคัดค้านผลการเลือกตั้ง ส.ว.ส่วนใหญ่เป็นเรื่องให้ทรัพย์สินแก่เจ้าหน้าที่ และหาเสียงผิดกฎหมายเลือกตั้ง จึงได้ให้ กกต.จังหวัดเร่งดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงและส่งมายัง กกต.กลางภายในสัปดาห์หน้า จึงคาดว่า กกต.จะสามารถประกาศรับรอง ส.ว.ให้ครบ 95% หรือจำนวน 143 คนได้ เพื่อให้ทันเปิดประชุมสภาภายในสัปดาห์หน้า ด้านสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้มีหนังสือเรียกประชุมวุฒิสภานัดแรกแล้วในวันที่ 14 มี.ค.นี้ โดยจะมีวาระพิจารณาเลือกตำแหน่งประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภาอีก 2 คน อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า กลุ่ม ส.ว.บางส่วนได้เข้าหารือกับนางสุวิมล ภูมิสิงหราช เลขาธิการวุฒิสภา เพื่อขอให้เรียกประชุม ส.ว.นอกรอบในวันที่ 12 มี.ค.นี้(เวลา 9.00น.)ที่รัฐสภา เพื่อให้สมาชิกได้ทำความรู้จักกัน ก่อนจะตัดสินใจเลือกประธานวุฒิสภา จะได้ไม่เกิดปัญหาความวุ่นวายหรือไม่เข้าใจข้อบังคับในวันประชุมจริง สำหรับผู้ที่อยู่ในข่ายอาจถูกเสนอชื่อจากกลุ่ม ส.ว.ให้เป็นประธานวุฒิสภา ได้แก่ นายประสพสุข บุญเดช ส.ว.สรรหา อดีตประธานศาลอุทธรณ์ ,พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งทั้งคู่ถูกเปิดชื่อมาโดยกลุ่ม ส.ว.สายสรรหา ส่วนทางฟาก ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเสนอชื่อใครเข้าชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภา
ส.ว.สายศาลพร้อมนั่ง ปธ.วุฒิฯ เชื่อสรรหา-เลือกตั้งไม่แตกแยก
กกต.รับรองผล ส.ว.แล้ว 63 ราย เชื่อเปิดสภาทันสัปดาห์หน้า
เสธ.อู้ แทงกั๊กนั่ง ปธ.วุฒิ ปัดสนิท “แม้ว” แค่คนเคยรู้จัก
2. “ทักษิณ”เตรียมขอศาลออกนอก ปท.13 มี.ค.นี้ และยังไม่มีกำหนดกลับ!
หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับประเทศเมื่อวันที่ 28 ก.พ.และถูกสังคมวิจารณ์ว่าเป็นนายกฯ ตัวจริง ทำให้อาจเกิดปัญหานายกฯ ซ้อนกับนายสมัคร สุนทรเวช ประกอบกับหวั่นเกรงเรื่องความปลอดภัยและต้องการความเป็นส่วนตัว ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเพนนินซูล่าเมื่อวันที่ 1 มี.ค. และไม่เปิดเผยว่าที่พักใหม่คือที่ใด แม้จะดูเหมือนพยายามเก็บตัวดังที่ พ.ต.ท.ทักษิณย้ำว่า ไม่ยุ่งการเมือง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้หยุดให้ข่าว โดยได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศอย่างหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ ของอังกฤษประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อวันที่ 3 มี.ค.โดยได้โจมตี คมช.ว่า การรัฐประหารและความไม่แน่นอนทางการเมืองได้ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างร้ายแรง รัฐบาลจากการเลือกตั้งชุดใหม่ของไทยจะเผชิญความยากลำบากในการเรียกความมั่นใจของนักลงทุนกลับคืนมา พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวถึงกรณีที่ประชาชนลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชนด้วยว่า “เพราะผมถูกรังแกเยอะเหลือเกิน และพวกเขาไม่เชื่อว่า คนคนหนึ่งจะแลวได้ขนาดนั้น ไม่คิดว่าคนที่พวกเขาเคารพรักจะเลวได้ขนาดนั้น พวกเขาแค่ต้องการให้ผมได้รับความยุติธรรมแค่นั้นเอง” พ.ต.ท.ทักษิณ ยังใช้คำพูดที่อาจทำให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเกิดความสับสนด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังกล่าวหาหรือโจมตีสถาบันเบื้องสูงในประเทศหรือไม่ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวตอนหนึ่งว่า “ผมพยายามจะสร้างประเทศจากฐานรากจากรากหญ้า แต่พวกที่อยู่บนยอด พวกนี้มักจะสนุกสนานกับผลประโยชน์ที่ได้จากรัฐบาลที่อ่อนแอ พวกเขาไม่เคยสร้างพื้นฐานหรือรากฐานอะไรเลย...” ทั้งนี้ หลังให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศดังกล่าวแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณได้เริ่มทำกิจกรรมด้วยการเป็นประธานประชุมสมาคมกอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย(เมื่อ 6 มี.ค.)ที่มูลนิธิไทยคมของตระกูลชินวัตร โดยหลังประชุม พ.ต.ท.ทักษิณเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า หลังชี้แจงคดีที่ดินรัชดาฯ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในวันที่ 12 มี.ค.แล้ว ตนจะเดินทางไปประเทศอังกฤษในวันที่ 13 มี.ค. โดยจะทำเรื่องขออนุญาตต่อศาล เพราะตนต้องเดินทางบ่อยอยู่แล้ว ส่วนจะกลับเมื่อไหร่นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ บอก “ยังไม่ได้วางแผน เพราะตอนนี้มีเรื่องต้องทำเยอะ ปีกว่าไม่ได้อยู่ในประเทศไทย มีคนสร้างเรื่องให้เยอะ ต้องมานั่งแก้เรื่องที่ตัวเองถูกสร้างอีกเยอะ...” ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ติดต่อเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า ตนทำเรื่องคดีของตนอยู่ เรื่องคดียังมีเยอะเลย ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ถ้ามีโอกาสจะไปพบ พล.อ.เปรมหรือไม่ เพื่อทำความเข้าใจกัน พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า “แน่นอน ท่านเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เราให้ความเคารพ” ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณดังกล่าวที่อ้างว่า ตนให้ความเคารพ พล.อ.เปรมนั้น ขัดแย้งกับสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณเคยพูดอย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่อวันที่ 10 ก.พ.2550 พ.ต.ท.ทักษิณได้พูดกล่าวหา พล.อ.เปรมต่อคนไทยในนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ที่บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมโฟร์ ซีซันว่า “คนเขาก็คิดว่า...คือวันนั้น สร้าง..โกหกขึ้นมา แล้ววันนั้นผมจะจับสนธิ จะฟ้องสนธิ คุณเปรมก็ไปเที่ยวสั่งศาล ไม่ให้ดำเนินคดี สั่งอัยการไม่ให้ฟ้อง สั่งตำรวจไม่ให้ฟ้อง ผมเป็นนายกฯ ผมยังไม่มีอำนาจเลย เพราะคุณเปรม แอบสั่งหรือแอบพูด แล้วก็ไปสั่งหนังสือพิมพ์ให้ตีผมทุกฉบับ โดยผูกผมให้เป็นประเด็น คนก็เลยกลายเป็นว่าโกหกทั้งหมด” ทั้งนี้ คำพูดดังกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เพียงเคยลงเป็นข่าวในสื่อมวลชนไทยก่อนหน้านี้ แต่เอเอสทีวีได้เคยนำภาพเหตุการณ์และคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบมาก่อนแล้วเช่นกัน
“แม้ว”เผยกลับอังกฤษ 13 มี.ค.ชี้มีโอกาสจะขอพบ “ป๋าเปรม”
“แม้ว”จ้อสื่อนอกโบ้ย คมช.-ขิงแก่บริหารห่วยวางยารัฐบาล หมัก”
3. ลือสะพัด “ทักษิณ”ช่วยดูโผโยกทหารกลางปี ด้าน“ตท.10”ได้ดี ขณะที่ “สมเจตน์”เข้ากรุ!
เมื่อวันที่ 6 มี.ค.นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม ได้เรียกประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพเพื่อหารือถึงการย้ายนายทหารกลางเดือน เม.ย.นี้ โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส. ,พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ,พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ.และ พล.ร.อ.สถิรพันธ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. รวมทั้ง พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งถือว่าเป็นการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการปรับย้ายนายทหารตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดระเบียบกระทรวงกลาโหมเป็นครั้งแรก ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาโดยยืนยันว่า ไม่มีการปรับตำแหน่งใน 5 เสือ ทบ.แต่อย่างใด ผู้สื่อข่าวถามว่า จะปรับเตรียมทหารรุ่น 10(รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ)เข้ามาในตำแหน่งหลักหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ บอกว่า การประชุมไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเอารุ่นไหนมาพิจารณาดู แต่จะดูตามหลักการว่าตำแหน่งใดที่จะต้องหมุนเวียน ขณะที่ พล.อ.บุญสร้าง บอกว่า รายชื่อเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้ปรับย้ายอะไรมาก และว่า รายชื่อขณะนี้เรียบร้อยกว่า 90% แล้ว เจ้าหน้าที่จะนำรายชื่อไปตรวจสอบความถูกผิดของรายชื่ออีกครั้ง และต้องส่งให้รัฐมนตรีกลาโหมก่อนวันที่ 15 มี.ค.นี้ ทั้งนี้ มีข่าวลือว่า สำเนารายชื่อโยกย้ายนายทหารดังกล่าวได้มีการจัดส่งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ช่วยพิจารณาด้วยก่อนหน้านี้ โดยได้มีการปรับแก้หลายตำแหน่ง ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า โผโยกย้ายนายทหารกลางปีครั้งนี้ มี ตท.10 เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณได้ดีหลายตำแหน่ง สำหรับตำแหน่งที่จะมีการปรับย้าย ได้แก่ พล.อ.อนุพงษ์ ได้ขยับให้ พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.12) ขึ้นมาเป็น เสธ.ทบ.เนื่องจากมีความสนิทสนม เพราะเป็นทหารเสือราชินีมาด้วยกัน และนำกำลังมาร่วมปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ขณะที่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผอ.สำนักงบประมาณกระทรวงกลาโหม และอดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. (ตท.8) คนสนิทของ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล จะถูกเด้งไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แล้วโยกอดีตประธาน ตท.10 พล.อ.อภิชัย ทรงศิลป์ มานั่งแทน โดยเป็นการสลับตำแหน่งกัน ขณะที่ พล.อ.พรชัย กรานเลิศ แกนนำ ตท.10 และอดีตผู้ช่วย ผบ.ทบ.ที่เคยถูกวางตัวให้เป็น ผบ.ทบ.ในสมัยรัฐบาลทักษิณ จะได้มาเป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา(ผบ.นทพ.) ส่วน พล.ต.ทวนชัย พันธุ์เพิ่มศิริ รองเจ้ากรมทหารช่าง (ตท.10) ได้ขึ้นเป็นเจ้ากรมทหารช่าง ขณะที่ พล.ท.กิตติทัศน์ บำเหน็จพันธุ์ ผอ.ททบ.5 (ตท.10) ได้เป็นเจ้ากรมการสื่อสารทหารบก(จก.สส.ทบ.) นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่า นายสมัคร ได้แต่งตั้ง ตท.10 เป็นทีมนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหมด้วย เช่น พล.ต.พฤณฑ์ สุวรรณทัต อดีตผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์(ผบ.พล.1 รอ.) ปัจจุบันเป็นผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ,พล.ต.มนัส เปาริก อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นต้น
“บิ๊กบัง”ไม่สนรุ่น 10 ผงาด-มุ่งชมความงามธรรมชาติ
ผบ.ทบ.ย้ำโผกลางปี 5 เสือ ทบ.อยู่ครบ แย้ม ตท.10 รั้ง ผบ.พลบ้าง
“หมัก” ถกผบ.เหล่าทัพกางโผย้ายกลางปี คาด “เพื่อนแม้ว”พรึบ
4. “พันธมิตรฯ”ชี้ อาจเกิด“กลียุค” เพราะ“รบ.”อาจรัฐประหารตัวเองเพื่อ “ทักษิณ”!
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประชุมร่วมกันเพื่อประเมินสถานการณ์บ้านเมือง จากนั้นได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เรื่อง “กลียุคมาแล้ว” โดยแถลงการณ์ได้ยกตัวอย่างพฤติกรรมของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่นอกจากจะทำเหมือนยั่วยุและดูถูกภาคประชาชนแล้ว ยังเป็นบทพิสูจน์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงอยู่หลังฉากบงการทางการเมืองในพรรคพลังประชาชนต่อไป ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงเป็นปัญหาร้ายแรงของแผ่นดินอยู่เช่นเดิม โดยพฤติกรรมของรัฐบาลดังกล่าวได้แก่ เร่งรัดโยกย้ายข้าราชการเพื่อแทรกแซงตัดตอนกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว เช่น การโยกอธิบดีดีเอสไอ ,การโยกย้ายข้าราชการตำรวจเพื่อล้างแค้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ-อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย และแกนนำพรรคพลังประชาชน เช่น ย้าย ผบ.ตร. เพื่อปูทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ให้มาเป็นผู้คุมรัฐตำรวจในอนาคตอันใกล้นี้ นอกจากนี้ยังมีการย้ายข้าราชการอย่างอุกอาจ เช่น เลขาธิการ อย. ,อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ อันเป็นการใช้อำนาจโยกย้ายแบบเผด็จการทุนนิยมสามานย์อย่างโจ่งแจ้ง ทั้งยังมีการแทรกแซงสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ด้วยการยิงสัญญาณก่อกวนเพื่อปิดกั้นไม่ให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริงอีกด้าน ฯลฯ จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้พันธมิตรฯ เล็งเห็นเป้าหมายของระบอบทักษิณที่จะทำให้เกิดกลียุคต่อชาติบ้านเมือง 2 เป้าหมาย 1.จะมีกระบวนการยั่วยุทางการเมืองและสังคมเพิ่มขึ้น แล้วอาศัย พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพื่อโยกย้ายทหารและสร้างเงื่อนไขในการรัฐประหารตัวเอง แล้วล้มล้างคำสั่งของ คมช.ทั้งหมด อันจะส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการในศาลสถิตยุติธรรมทั้งหมด หรือ 2.จะมีการแก้ไขกฎหมายและ รธน.เพื่อทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว ไม่ต้องไปพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น แกนนำพันธมิตรฯ จึงขอแสดงจุดยืนต่อภาวะที่อาจเกิดกลียุคดังกล่าว โดย 1.ขอให้กระบวนการยุติธรรมใช้ความกล้าหาญและความรวดเร็วในการดำเนินคดีความ เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤตที่สุดในโลกกลับมาสู่ชาติบ้านเมืองอีกครั้ง 2.ขอเรียกร้องให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ รักษาการ ผบ.ตร.อย่าเห็นแก่ลาภสักการะด้วยการรับใช้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง 3.เพิ่มบทบาทของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยการจัดเวทีสื่อสารสร้างความเข้าใจและการรู้เท่าทันในสถานการณ์บ้านเมืองใหม่ที่สลับซับซ้อนและซ่อนเงื่อน โดยเบื้องต้น พันธมิตรฯ จะจัดประชุมใหญ่แกนนำพันธมิตรฯ ทุกจังหวัดทุกเครือข่ายทั่วประเทศในเร็วๆ นี้ เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์-ร่วมสร้างพลังถ่วงดุลตรวจสอบและสร้างทางเลือกใหม่ให้สังคมการเมืองไทยต่อไป นอกจากนี้ยังจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและองค์กรต่างๆ เช่น คณะกรรมการตรวจสอบความคืบหน้าการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณและเครือข่าย ,คณะกรรมการติดตามตรวจสอบการคุกคาม กลั่นแกล้ง และการละเมิดศักดิ์ศรีของข้าราชการ และคณะกรรมการติดตามตรวจสอบการจัดระเบียบสื่อสารมวลชน เป็นต้น ทั้งนี้ แกนนำพันธมิตรฯ ยังแนะให้จับตาด้วยว่า ในเดือน มี.ค.นี้ อาจมีเหตุการณ์หรือการเคลื่อนไหวบางอย่างที่สำคัญเกิดขึ้น
พันธมิตรฯแฉเล่ห์ “แม้ว” ชิ่งหนีคดีโกง ชี้เดือนนี้มีเหตุการณ์สำคัญ
พันธมิตรฯแถลง “กลียุค” กลับมาแล้ว ลั่นฟื้นกลไก “ต้านระบอบทักษิณ”
พันธมิตรฯถกประเมินสถานการณ์รับมือ “เหลี่ยมแม้ว”
5. “31 ดีเอสไอ”ถูกโยกอีก “สมพงษ์” อ้าง ไม่ได้ล้างบาง ด้าน“จักรภพ”สั่ง ขรก.ห้ามตั้ง“สหภาพ”!
หลังรัฐบาลสั่งโยกย้ายข้าราชระดับสูงถึง 4 คนภายในสัปดาห์เดียว ประกอบด้วย นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีดีเอสไอ-นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการ อย.-นายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปรากฏว่า ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า รัฐบาลใช้อำนาจโยกย้ายโดยไม่ชอบธรรม โดยอาจารย์คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านและเตือนสติรัฐบาลถึงการโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่ชอบธรรมเมื่อวันที่ 4 มี.ค. ขณะที่ประธานชมรมแพทย์ชนบท นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ ผอ.โรงพยาบาลหลังสวน จ.ชุมพร ก็ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ให้ปลดนายไชยา สะสมทรัพย์ พ้นตำแหน่งรัฐมนตรีสาธารณสุข เนื่องจากสั่งโยกย้ายเลขาฯ อย.โดยไม่ชอบ ส่วนทางด้านเครือข่ายประชาชนและผู้ป่วยที่ไม่พอใจการใช้อำนาจของนายไชยา ก็ได้ตั้งโต๊ะล่าชื่อเพื่อถอดถอนนายไชยาพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่หน้ากระทรวงสาธารณสุข พร้อมเตรียมตั้งโต๊ะเพิ่มในจุดอื่นๆ ต่อไป เชื่อ ภายในสิ้นเดือน มี.ค.นี้ ได้ครบ 2 หมื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้ยื่นถอดถอนรัฐมนตรีได้ ด้านรัฐมนตรีไชยา กล่าวถึงกรณีที่แพทย์ชนบทร่วมเคลื่อนไหวล่าชื่อเพื่อถอดถอนตนว่า เป็นสิทธิของแพทย์ชนบทที่สามารถทำได้ แต่นายไชยาก็ไม่วายส่งสัญญาณขู่ไปยังผู้บังคับบัญชาของแพทย์ชทบทว่า หากไม่ดำเนินการอะไรกับแพทย์ดังกล่าว ตนคงต้องเรียกผู้บังคับบัญชาเหล่านั้นมาเตือนด้วยตัวเอง ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ออกมาสวนกลับผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การโยกย้ายข้าราชการว่า รัฐบาลได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนมาเป็นรัฐบาล ทำไมจะโยกย้ายข้าราชการไม่ได้ ทีช่วงรัฐประหารก็มีการโยกย้าย หุบปากกันหมด นี่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งเพิ่งย้ายแค่ 4 คน แหกปากพูดกัน จะเป็นจะตาย ขณะที่ความเคลื่อนไหวในหมู่ข้าราชการ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค.นายจาดุร อภิชาตบุตร รองปลัดสำนักนายกฯ ในฐานะนายกสมาคมข้าราชการพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า จะมีการตั้ง “สหภาพข้าราชการ”ขึ้นภายใน 1 ปี เพื่อสร้างระบบคุณธรรมและป้องกันการแต่งตั้งโยกย้ายโดยไม่เป็นธรรม โดยเป็นไปตาม พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2550 ทั้งนี้ ทันทีที่มีข่าวข้าราชการเตรียมตั้งสหภาพ ปรากฏว่า รัฐมนตรีในรัฐบาลได้ออกอาการไม่พอใจ โดยเฉพาะนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้ออกมาประกาศกร้าวว่า ประเทศนี้ไม่ใช่ของข้าราชการ แต่เป็นของประชาชนที่ไม่ได้รับราชการ และว่า ขณะนี้ประเทศไม่ได้อยู่ในระบอบอำมาตยาธิปไตย แต่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง นายจักรภพ ยังอ้างด้วยว่า การออกกฎหมายเพื่อตั้งสหภาพข้าราชการ จะเป็นการสื่อสารกับสังคมว่า ได้เกิดสงครามขึ้นแล้วระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายราชการ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า หลังนายจักรภพออกมาแสดงความไม่พอใจการตั้งสหภาพข้าราชการ รวมทั้งได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการทำงานของสำนักปลัดสำนักนายกฯ(เมื่อ 6 มี.ค.) ได้ส่งผลให้ท่าทีของนายจาดุร รองปลัดสำนักนายกฯ ที่ให้ข่าวเรื่องการเตรียมตั้งสหภาพข้าราชการ ต้องออกมาเปลี่ยนท่าทีใหม่ โดยยืนยันว่า จะไม่มีการตั้งสหภาพข้าราชการ จะเป็นเพียงแค่สมาคมใหญ่ๆ สมาคมหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการสั่งย้ายข้าราชการอีกระลอกที่น่าจับตา โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ได้สั่งให้ข้าราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)จำนวน 31 คน ไปช่วยราชการที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ(ป.ป.ท.)ที่นายสมพงษ์ ได้โยกให้นายสุนัยไปเป็นเลขาธิการหน่วยงานดังกล่าวก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ใน 31 คนดังกล่าว มีรองอธิบดีดีเอสไอถึง 2 คน คือ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ และนายพรชัย อัศววัฒนาพร ที่ดูแลคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ที่ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานเป็นจำเลยอยู่ ด้านนายสมพงษ์ ยืนยัน การโยก 31 ดีเอสไอดังกล่าว ไม่ใช่ล้างบางข้าราชการ แต่เพราะนายสุนัยร้องขอมา และข้าราชการดังกล่าวก็เต็มใจไป
“เพ็ญ” เลิกกร่าง ผวาพลังสหภาพ ขรก.โบ้ย “ขิงแก่” ตัวปัญหา
ถึงคิว “บัวแก้ว” เด้งทูตประจำลอนดอน! จับตาดันเพื่อน “พี่เมีย”ใหญ่
ขรก.ผนึกกำลังตั้งสหภาพสู้ “พลังแม้ว” มั่วเด้งรายวัน
“เพ็ญ” โวจูบปากสหภาพ ขรก.เหน็บสื่อนอมินีพันธมิตรฯ
คณาจารย์นิด้าอัดรัฐบาลย้าย ขรก.ไม่เป็นธรรม เปิดล่ารายชื่อปลุกสำนึก “รัฐบาลสมัคร”
ไล่ “ไชยา” 2 วันลงชื่อกว่าพันราย เตรียมเปิดโต๊ะ 5 จังหวัด
6. “รบ.”เตรียมฟื้นหวยบนดิน แถมเล็งผุด“บ่อนเสรี”ภายใน 4 ปี!
เมื่อวันที่ 4 มี.ค.หลังกลับจากการเยือนประเทศกัมพูชา นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม ได้ผุดแนวคิดให้มีการเปิดคาสิโนหรือบ่อนการพนันถูกกฎหมายในเมืองไทย โดยอ้างว่า ประเทศอื่นหลายประเทศก็มี และว่า เมื่อมีคาสิโนที่ถูกกฎหมายแล้ว บ่อนที่ผิดกฎหมายทั้งหลายจะได้ปิดตัวลง ใครอยากเล่นก็ให้มาเล่นแบบถูกกฎหมาย ตำรวจจะได้ไม่ต้องไปตามจับ ผู้สื่อข่าวถามว่า การเปิดคาสิโนจะเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดีให้แก่เยาวชนหรือไม่ นายสมัคร โต้กลับว่า เด็กที่ไหนมีเงินแสนไปซื้อบัตรเข้าไปเล่น นายสมัคร ยังยืนยันด้วยว่า ถ้าตนอยู่ครบ 4 ปี จะได้เห็นคาสิโนแน่นอน และว่า จริงๆ ปีเดียวก็ตั้งได้แล้ว ทั้งนี้ หลังนายสมัครผุดไอเดียเปิดบ่อนถูกกฎหมาย ปรากฏว่า รัฐมนตรีบางคนในรัฐบาลรีบออกมาหนุน เช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย โดยบอก เห็นด้วยกับแนวคิดของนายกฯ ที่จะให้เปิดบ่อนเสรี และว่า ถ้านายกฯ มอบหมาย ก็พร้อมดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ได้มีหลายฝ่ายออกมาคัดค้าน เช่น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) โดยบอก การพนันเป็นอบายมุข และทุกศาสนาต่อต้าน จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนออกมาคัดค้านเรื่องนี้ เพราะการเปิดบ่อนเสรีหรือบ่อนถูกกฎหมายจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างมาก ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ก็ไม่เห็นด้วยกับการเปิดบ่อนถูกกฎหมายเช่นกัน โดยบอก รัฐบาลอย่าคิดง่ายๆ ว่าเปิดบ่อนถูกกฎหมายแล้วจะสกัดกั้นเงินไหลออกนอกประเทศ เพราะหากคนไทยเข้าไปเล่นได้ ก็ต้องคิดด้วยว่า จะมีคนไทยเข้าไปเล่นเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ และต้องดูด้วยว่า ในหลายประเทศที่เมื่อมีธุรกิจแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นแหล่งของอาชญากรรมที่ไปซ่อนตัวหรือฟอกเงิน ดังนั้นต้องคิดถึงแง่มุมนี้ด้วย ทั้งนี้ ไม่เพียงรัฐบาลจะมีแนวคิดเปิดบ่อนถูกกฎหมาย แต่รัฐบาลยังได้เตรียมฟื้นหวยบนดินขึ้นมาอีกครั้งด้วย โดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง บอก สัปดาห์หน้าจะหารือเรื่องนี้กับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล คาดว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องหวยบนดินภายในเดือน มี.ค.นี้
“เหลิม” หนุนเปิดบ่อนเสรีอ้างแนวคิด “หมัก” อินเตอร์
“หมัก” ฟิวส์ขาด ลั่นไม่บ้าพอแก้ รธน.ตั้งกาสิโน