คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
1. เสียงร่ำไห้ทั่วไทย สุดอาลัย “พระพี่นางฯ”สิ้นพระชนม์!
หลังคณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราชได้พยายามถวายการรักษาพระอาการประชวรของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มาตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2550 แต่พระอาการโดยรวมก็ทรุดลงตามลำดับ ดังจะเห็นได้จากแถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 38 เมื่อเย็นวันที่ 1 ม.ค.ที่ระบุว่า พระอาการโดยรวมทรุดลง ไม่รู้สึกพระองค์ หายพระทัยอ่อนลง พระวักกะ(ไต)ไม่ทำงานนั้น ปรากฏว่า กลางดึกคืนวันเดียวกัน พระอาการประชวรของพระองค์ได้ทรุดตามลำดับ แม้คณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถประคับประคองพระอาการประชวรต่อไปได้ โดยพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ลงอย่างสงบเมื่อเวลา 02.54 น.วันที่ 2 ม.ค.รวมพระชันษา 84 พรรษา ทั้งนี้ ก่อนที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ จะสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จฯ เยี่ยมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ เฝ้าพระอาการประชวรของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ อย่างใกล้ชิดตั้งแต่เย็นวันที่ 31 ธ.ค.แล้ว ด้านสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์แจ้งให้ประชาชนทราบถึงการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ในเวลา 05.30น.วันที่ 2 ม.ค. ปรากฏว่า ทันทีที่ประชาชนที่เฝ้าติดตามพระอาการประชวรที่โรงพยาบาลศิริราชได้อ่านแถลงการณ์ดังกล่าว ต่างพากันร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ โดยเสียงร่ำไห้ดังระงมทั่วบริเวณอาคารเฉลิมพระเกียรติ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังจัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี โดยประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระพิธีธรรมตามโบราณราชประเพณี โดยมีพระพิธีธรรมประจำทั้งกลางวันและกลางคืน รับพระราชทานฉันเช้าจำนวน 8 รูป เย็น 8 รูป กำหนด 100 วัน พร้อมกันนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย 100 วัน ตั้งแต่วันสิ้นพระชนม์เป็นต้นไป นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนได้เข้าถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ณ ศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวังด้วยเมื่อบ่ายวันที่ 2 ม.ค. และเนื่องจากมีประชาชนเฝ้ารอเพื่อถวายน้ำสรงพระศพจำนวนมาก สำนักพระราชวังจึงได้ขยายเวลาให้ประชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระศพได้อีก 1 วันคือ วันที่ 3 ม.ค. นอกจากนี้สำนักพระราชวังยังได้ออกประกาศเรื่อง การถวายสักการะพระศพ โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกตั้งแต่วันที่ 3-9 ม.ค.จะเปิดศาลาสหทัยสมาคมให้ประชาชนได้เข้าถวายสักการะหน้าพระฉายาลักษณ์ ตั้งแต่เวลา 09.00น.-17.00น. ส่วนช่วงที่สองคือตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.เป็นต้นไป ประชาชนสามารถเข้าถวายสักการะพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ระหว่างเวลา 09.00น.-16.00น. ด้านรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ นอกจากได้ประกาศให้สถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสาเพื่อเป็นการไว้อาลัยแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เป็นเวลา 15 วันแล้ว ยังได้มีมติให้ ครม.ไว้ทุกข์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เป็นเวลา 100 วัน นอกจากนี้ยังให้หน่วยราชการทั้งหมดเลื่อนหรือยกเลิกการจัดงานมหรสพหรืองานรื่นเริงต่างๆ ในช่วง 15 วันนี้และในช่วง 100 วันด้วย ขณะที่บรรยากาศในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศต่างเป็นไปด้วยความโศกเศร้าหลังทราบว่าสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯสิ้นพระชนม์ โดยประชาชนพร้อมใจกันใส่ชุดดำเพื่อไว้ทุกข์และแสดงความอาลัยต่อพระองค์ เช่นเดียวกับบรรยากาศที่บริเวณศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ที่ประชาชนต่างใส่ชุดดำและขาวไปเข้าถวายสักการะพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ อย่างไม่ขาดสาย โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความเศร้าโศก ขณะที่หลายคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ทั้งนี้ นอกจากคนไทยทั้งประเทศจะโศกเศร้าอาดูรต่อการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ แล้ว ประมุขและผู้นำประเทศต่างๆ ได้พร้อมใจกันส่งสาส์นแสดงความเสียใจมายังประเทศไทยกว่า 30 ประเทศแล้ว อาทิ สาส์นจากประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาโกซี แห่งฝรั่งเศส ที่ไม่เพียงแสดงความเสียใจและให้กำลังใจพระบรมวงศานุวงศ์และประชาชนชาวไทยที่อยู่ในช่วงโศกาอาดูร แต่ยังยืนยันว่า ประเทศฝรั่งเศสจะไม่ลืมบทบาทที่สำคัญยิ่งของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่ทรงเผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมฝรั่งเศสในประเทศไทย พร้อมกันนี้ประธานาธิบดีฝรั่งเศสยังแสดงความชื่นชมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสตลอดช่วงที่ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ นอกจากสาส์นจากประธานาธิบดีฝรั่งเศสแล้ว ยังมีสาส์นจากสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ แห่งญี่ปุ่น และสาส์นจากสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคซาร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน เป็นต้น
“พระพี่นางฯ” ไม่รู้สึกพระองค์ หายพระทัยอ่อนลง-พระวักกะไม่ทำงาน
ในหลวง-พระราชินีเสด็จฯ ประกอบพระราชพิธีพระราชทานน้ำสรงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ
ปชช.แต่งชุดดำแน่นศิริราช อาสาฯพอ.สว.ประกาศแต่งดำไม่มีกำหนด
สถานทูต-สถานกงสุลใหญ่ 90 แห่งลดธงครึ่งเสา 15 วัน ไว้อาลัย “สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ”
2. “ในหลวง”ทรงให้พรปีใหม่คนไทย พร้อมเตือนสติทุกฝ่าย ช่วยกันประคองบ้านเมือง-อย่าก่อปัญหา!
เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพรปีใหม่และ ส.ค.ส.พระราชทานปี 2551 แก่ปวงชนชาวไทย โดยทรงขอบใจในน้ำใจไมตรีของประชาชนทุกคนที่แสดงความห่วงใยพระองค์ในคราวที่เจ็บป่วย และจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบ 80 พรรษาแด่พระองค์ ทั้งนี้ นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานพรปีใหม่ให้ประชาชนปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย มีความสุขสบาย สุขใจ และประสบแต่สิ่งที่พึงประสงค์ตลอดปีใหม่นี้แล้ว ยังทรงมีพระราชดำรัสถึงสถานการณ์บ้านเมืองด้วยว่า เราได้มีรัฐธรรมนูญและมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นับว่า ประเทศได้ผ่านหัวเลี้ยวสำคัญอีกขั้นหนึ่ง จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันประคับประคองกิจการของบ้านเมืองให้ดำเนินไปด้วยดี ให้มีความเป็นปึกแผ่นและร่มเย็นเป็นปกติสุข
“ทางที่เราจะช่วยกันได้ก็คือ การทำความคิดให้ถูกต้องและแน่วแน่ ในอันที่จะยึดถือชาติบ้านเมืองเป็นที่หมาย แต่ละคนแต่ละฝ่ายจะต้องเพลาการคิดถึงประโยชน์เฉพาะตัว พยายามโอนอ่อนผ่อนปรนเข้าหากันด้วยไมตรีจิตและความเมตตากรุณา อย่าก่อปัญหาและก่อเงื่อนไข อันเป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบและความแตกแยก ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใดก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงไป ให้ทันการณ์ทันเวลา ผลงานของทุกคนทุกฝ่ายจักได้ประกอบส่งเสริมกัน ให้ประเทศชาติอันเป็นที่อยู่อาศัยของเรา ดำรงมั่นคงอยู่ด้วยความผาสุกร่มเย็นตลอดไป”
สำหรับ ส.ค.ส.พระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ประชาชนในปี 2551 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ โดยฉายพระรูปกับคุณทองแดง สุวรรณชาด และเหลนจำนวน 4 สุนัข ขณะที่ด้านล่างของ ส.ค.ส.พระราชทาน มีข้อความเป็นตัวหนังสือสีเหลืองว่า สวัสดีปีใหม่ ขอจงมีความสุขความเจริญ
3. “กกต.” ประกาศรับรอง ส.ส.ล็อตแรกแล้วเกือบ 400 คน –ว่าที่ ส.ส.”พปช.”ถูกแขวนมากสุด!
เมื่อวันที่ 3 ม.ค. คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ทั้ง 5 ได้แถลงประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.ล็อตแรกแล้ว โดยมีมติรับรองว่าที่ ส.ส.ที่ไม่มีเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 397 คน โดยแบ่งเป็น ส.ส.แบบสัดส่วน 76 คน และ ส.ส.แบบแบ่งเขต 321 คน ส่วนว่าที่ ส.ส.ที่ กกต.ยังไม่ประกาศรับรองมี 83 คน โดยแบ่งเป็นว่าที่ ส.ส.แบบสัดส่วน 4 คน ประกอบด้วย ว่าที่ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชน 3 คน และพรรคประชาธิปัตย์ 1 คน โดยในส่วนของพรรคพลังประชาชน ได้แก่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 1 ,นายชวลิต วิชยสุทธิ์ และนายธนเทพ ทิมสุวรรณ ว่าที่ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 2 ส่วนว่าที่ ส.ส.สัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ กกต.ยังไม่ประกาศรับรอง 1 คนคือ นายไพฑูรย์ แก้วทอง ว่าที่ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 2 เหตุที่ กกต.ยังไม่ประกาศรับรองว่าที่ ส.ส.ทั้ง 4 คนดังกล่าวเนื่องจากโดนข้อหาแจกทรัพย์สินและแจกเงิน สำหรับว่าที่ ส.ส.แบบแบ่งเขตที่ กกต.ยังไม่ประกาศรับรองจำนวน 79 คนนั้น แบ่งเป็นว่าที่ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชน 62 คน ,พรรคเพื่อแผ่นดิน 6 คน ,พรรคประชาธิปัตย์ 5 คน ,พรรคชาติไทย 4 คน ,พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 1 คน และพรรคมัชฌิมาธิปไตย 1 คน ทั้งนี้ กกต.ให้ว่าที่ ส.ส.ที่ กกต.ได้มีมติประกาศรับรองทั้ง 397 คนมารับหนังสือรับรองจาก กกต.ได้ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.เป็นต้นไป นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ยืนยันด้วยว่า การประกาศรับรองผลเลือกตั้งว่าที่ ส.ส.ดังกล่าว กกต.ไม่ได้กลั่นแกล้งหรือจ้องที่จะไม่ประกาศรับรองใครเป็นการเฉพาะ กกต.ไม่ได้คำนึงว่าพรรคไหนจะเป็นอย่างไร แต่พิจารณาเป็นรายบุคคล และว่า กกต.มีเวลาพิจารณาสำนวนว่าที่ ส.ส.ที่ถูกร้องเรียน 79 คนจนถึงกลางเดือน ม.ค.นี้ หากไม่แล้วเสร็จก็อาจจะต้องประกาศรับรองไปก่อน ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีของนายบรรหาร ศิลปอาชา ว่าที่ ส.ส.เขต 1 สุพรรณบุรี พรรคชาติไทย ที่มีผู้ร้องเรียนว่ากรรมการประจำหน่วยวางตัวไม่เป็นกลาง และ กกต.มีมติให้สอบเพิ่ม เหตุใดจึงมีการรับรองผล นายอภิชาต กล่าวว่า ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติเอกฉันท์ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ จึงให้รับรองไปก่อน แต่หากผลการสอบออกมาพบว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตเที่ยงธรรม ก็สามารถสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้
กกต.รับรองว่าที่ ส.ส.ล็อตแรกได้ 397 คน - กั๊ก 83 รวม"ยุทธตู้เย็น"
กกต.ปล่อยผีอีก 6 วอนม็อบ"ยี้บุรี"ยุติชุมนุมให้รอกฤษฎีกาชี้ 7 ม.ค.
4. “พปช.”ผวา “ใบแดง”รีบล็อค 3 พรรคเล็กประกาศจัดตั้ง รบ. 254 เสียง!
ความคืบหน้าการแจกใบเหลืองใบแดงของ กกต.หลัง กกต.ได้แจกใบเหลืองว่าที่ ส.ส.นครราชสีมา เขต 3 พรรคพลังประชาชนไป 3 คน(เมื่อ 25 ธ.ค.)จากกรณีเตรียมจ่ายค่ารถขนไปฟังปราศรัย ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.กกต.ได้มีมติให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง)ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชนทั้ง 3 คน ประกอบด้วย นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน ,นายรุ่งโรจน์ ทองศรี และนายประกิจ พลเดช เนื่องจากสอบสวนพบว่า หัวคะแนนของบุคคลทั้งสามได้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยเกณฑ์คนไปฟังการปราศรัยของว่าที่ผู้สมัครทั้งสาม รวมทั้งสัญญาว่าถ้าไปฟังปราศรัยแล้ว จะให้เงินค่ารถค่าน้ำมัน ซึ่งเมื่อชุดสืบสวนของ กกต.ไปตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.หัวคะแนนของพรรคพลังประชาชนได้นำเงินไปให้ประชาชนที่ไปฟังปราศรัยจริง เท่ากับพิสูจน์ได้ถึงความสัมพันธ์ของหัวคะแนนกับผู้สมัคร กกต.จึงมีมติเอกฉันท์ 4 เสียงให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.ทั้งสาม สำหรับเสียง กกต.ที่หายไป 1 คน คือ นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ที่แม้จะมาร่วมประชุม กกต.ในวันที่ 29 ธ.ค.แต่ไม่ยอมอยู่ร่วมในการลงมติให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ทั้งนี้ หลังกกต.เริ่มแจกใบแดง ได้เกิดปฏิกิริยา 2 อย่างจากพรรคพลังประชาชนและผู้สนับสนุน โดยในส่วนของพรรคพลังประชาชนนั้น นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค ได้เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นการด่วน(31 ธ.ค.)หลัง กกต.ให้ใบแดงได้เพียง 1 วัน จากนั้นได้รีบประสานแกนนำพรรคเล็ก 3 พรรคเพื่อประกาศจัดตั้งรัฐบาลผสม ประกอบด้วย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาที่มีนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคมาร่วมแถลง ,พรรคมัชฌิมาธิปไตยที่มีนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน เลขาธิการพรรคมาร่วมแถลง และพรรคประชาราชที่มีนางอุไรวรรณ เทียนทอง มาร่วมแถลง ทั้งนี้ นายสมัคร แถลงเหตุผลที่ต้องรีบแถลงจัดตั้งรัฐบาล 4 พรรครวม 254 เสียงก่อนกำหนดเดิมที่ตั้งไว้ในวันที่ 4 ม.ค.ว่า เพราะบรรยากาศไม่สู้ดี มีคนที่อยู่นอกวงการเมืองต้องการจะยื่นมือเข้ามาทำให้วงการเมืองที่กำลังจะจัดตั้งรัฐบาลได้รับความกระทบกระเทือน ตนจึงไม่ต้องการทิ้งวันไว้ นายสมัครยังอ้างด้วยว่า มือสกปรกที่อยู่ข้างนอกได้พยายามเข้ามาแทรกแซงและบีบคั้น กกต.และทำให้การเลือกตั้งล้มเหลว หลังจากที่เคยทำสำเร็จมาแล้วกับการยุบพรรคไทยรักไทย ด้านนายประดิษฐ์-นางอุไรวรรณและนางอนงค์วรรณ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหตุที่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน เพราะประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ลงฉันทามติแล้วว่า เลือกให้พรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคชาติไทยและพรรคเพื่อแผ่นดินที่ได้แสดงท่าทีก่อนหน้านี้ว่าพร้อมจะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนหากยอมรับจุดยืน 5 ข้อที่พรรคชาติไทยและเพื่อแผ่นดินได้ประกาศออกไป โดยตอนแรกมีข่าวว่าแกนนำพรรคชาติไทยและเพื่อแผ่นดินจะเปิดแถลงถึงการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนในวันที่ 2 ม.ค. แต่ปรากฏว่า ได้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ของคนไทยขึ้นก่อน จากกรณีสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ สิ้นพระชนม์ ทางแกนนำทั้งสองพรรคดังกล่าวจึงได้เลื่อนการแถลงออกไปก่อน ทั้งนี้ นอกจากการแจกใบแดงของ กกต.ที่ประเดิมให้กับว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน จะส่งผลให้พรรคพลังประชาชนต้องรีบประกาศจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ปรากฏว่า ได้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านการให้ใบแดงดังกล่าวจากว่าที่ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนทั้งสามที่โดนใบแดง รวมทั้งชาวบุรีรัมย์บางส่วนที่หนุนพรรคพลังประชาชนได้ออกมาชุมนุมประท้วง ที่หน้าศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมเรียกร้องให้ย้ายนายเกษม วัฒนธรรม ประธาน กกต.บุรีรัมย์ออกจากพื้นที่ โดยกล่าวหาว่านายเกษมวางตัวไม่เป็นกลาง ไม่เท่านั้น ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคพลังประชาชนทั้ง 4 เขต รวม 9 คนยังได้เข้าแจ้งความต่อ สภ.เมืองบุรีรัมย์(4 ม.ค.) ให้ดำเนินคดีนายเกษม วัฒนธรรม ประธาน กกต.บุรีรัมย์ และ พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล ประธานฝ่ายสืบสวน กกต.บุรีรัมย์ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยว่าที่ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนดังกล่าว อ้างว่า นายเกษมและ พ.ต.อ.สังวรณ์ ใส่ร้ายและนำหลักฐานเท็จเสนอ กกต.กลางให้พวกตนถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง) ด้านประธาน กกต.บุรีรัมย์ ได้ยืนยันตั้งแต่ก่อนหน้านี้(30 ธ.ค.)ว่า หลังมีการร้องเรียนว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน กกต.บุรีรัมย์ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนถึง 2 ชุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมที่สุด และผลการสอบก็ปรากฏการกระทำผิดที่ชัดเจน กกต.บุรีรัมย์จึงได้ส่งผลสอบไปยัง กกต.กลางเพื่อพิจารณา ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง วอนม็อบยุติการชุมนุมกดดัน กกต.บุรีรัมย์ โดยบอก ขั้นตอนการให้ใบแดงดังกล่าวยังไม่ยุติ ขอให้รอฟังผลจากคณะกรรมการกฤษฎีกาอีกครั้งในวันที่ 7 ม.ค.นี้ ทั้งนี้ นอกจาก กกต.กลางจะมีมติให้ใบเหลืองไป 3 ใบและใบแดงไป 3 ใบแล้ว ล่าสุด เมื่อวันที่4 ม.ค. กกต.ยังได้มีมติ 4 : 1 ให้ใบเหลืองอีก 1 ใบแก่นายธนธร โล่ห์สุนทร ว่าที่ ส.ส.ลำปาง เขต 1 พรรคพลังประชาชน จากกรณีหัวคะแนนแจกเงินซื้อเสียง สำหรับ กกต.เสียงข้างน้อย 1 เสียงที่ไม่ได้ลงมติให้ใบเหลืองครั้งนี้ ก็คือ นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม โดยนายสุเมธเห็นว่า ควรให้ใบแดงนายธนธร เพราะเห็นว่ากรณีดังกล่าวหลักฐานน่าจะถึงตัวว่าที่ ส.ส.ขณะที่ กกต.เสียงข้างมากเห็นว่าหลักฐานไม่ถึง
5. “ศาลฎีกาฯ”รับฟ้องคดี”พปช.”เป็นนอมินี”ทรท.”แล้ว นัดพิจารณา 15 ม.ค.นี้!
เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้มีคำสั่งรับฟ้องคดีที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นฟ้อง กกต.ทั้งคณะ รวมทั้งพรรคพลังประชาชน ,นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค และผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 3 ของพรรคพลังประชาชนจำนวน 2 คน คือ นายสนอง เทพอักษรณรงค์ และประสิทธิ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ทั้งนี้ นายไชยวัฒน์ ได้ขอให้ศาลวินิจฉัย 4 ข้อ 1.ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าการส่งผู้สมัครในนามพรรคพลังประชาชนเป็นโมฆะ เพราะพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย 2.นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนของอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย(พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ดังนั้นการลงนามส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งของนายสมัครจึงเป็นโมฆะ 3.การเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลฯ เพิกถอนการเลือกตั้งดังกล่าว ตลอดจนเพิกถอนการนับคะแนนเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ และ 4.ขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่า การแจกซีดีให้แก่ประชาชนเป็นการผิดกฎหมาย และห้าม กกต.ประกาศรับรองผลเลือกตั้งทั่วประเทศหรือเพิกถอนการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งของผู้สมัครพรรคพลังประชาชน ด้านศาลได้มีคำสั่งรับคำฟ้องดังกล่าวไว้พิจารณา โดยนัดพิจารณาคดีในวันที่ 15 ม.ค.นี้(เวลา 10.00น.) พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กกต. ,นายสมัคร และผู้สมัครพรรคพลังประชาชนยื่นคำคัดค้านคำฟ้องดังกล่าวได้ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำฟ้อง หากพ้นกำหนดจะถือว่าไม่ติดใจคัดค้าน ทั้งนี้ ในวันเดียวกัน(3 ม.ค.) ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งยังได้รับฟ้องคดีที่นายเทพพนม ศิริวิทยารักษ์ ประธานเครือข่ายประชาชนภาคอีสานพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ยื่นฟ้องให้ศาลวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค.เป็นโมฆะ โดยศาลนัดพิจารณาคดีในวันที่ 16 ม.ค.(เวลา 10.00น.) อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้(เมื่อ 28 ธ.ค.)ได้มีผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคความหวังใหม่ร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งให้สั่งให้การเลือกตั้งล่วงหน้าเป็นโมฆะเช่นกัน ซึ่งศาลได้นัดพิจารณาคดีในวันที่ 11 ม.ค.นี้
ศาลฎีการับฟ้องเลือกตั้งโมฆะ
ศาลรับฟ้องคดีล้มเลือกตั้ง - “ออหมัก” เป็นนอมินี
6. “7 วันอันตราย”ปีนี้ อุบัติเหตุเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่ยอดเจ็บ-ตายลดลงเล็กน้อย!
เมื่อวันที่ 4 ม.ค.นายบัญญัติ จันทน์เสนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรอง ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน(ศปถ.) แถลงยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 7 วันอันตราย(28 ธ.ค.2550-3 ม.ค.2551)ว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นทั้งหมด 4,475 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี’50 จำนวน 19 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตจำนวน 401 คน น้อยกว่าปี’50 จำนวน 48 คน ส่วนผู้บาดเจ็บมีจำนวน 4,903 คน น้อยกว่าปี’50 จำนวน 40 คน สำหรับจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุมากสุดและมีผู้บาดเจ็บมากสุดในช่วง 7 วันอันตราย คือ เชียงราย ส่วนจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตมากสุด คือ กรุงเทพฯ สำหรับจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตมี 3 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอน-ปัตตานี-นราธิวาส ส่วนสาเหตุของอุบัติเหตุใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วง 7 วันอันตราย ส่วนใหญ่เกิดจากรถกระบะหรือรถปิคอัพบรรทุกผู้โดยสารเกินอัตรา หรือมีการดัดแปลงกระบะหลัง ขณะที่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลมีการขับเร็วเกินอัตราที่กำหนด หรือขับด้วยความประมาท ตัดหน้ากระชั้นชิดหรือแซงในที่คับขัน
ราวศึกสงคราม “7 วัน” ตาย 401 ศพ - กทม.แชมป์ดับสูงสุด