ท่านผู้อ่านที่เคารพ ถ้าท่านกำลังจะหาว่าผมสติแตก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง โปรดกลับไปอ่านเรื่อง “หมาๆ” ของผมที่เขียนไว้หลายตอน ภายใต้หัวเรื่อง “เรื่องหมาๆ ของทักษิณ” “นายกฯ หมาๆ" และ “ประธานาธิบดีหมาๆ” เป็นต้น
แรงบันดาลใจที่ผมเขียนเรื่องการเมืองหมาๆแบบนี้ มิได้เกิดจากการย้ายข้าราชการของท่านรัฐมนตรี สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ท่านรัฐมนตรี ไชยา สะสมทรัพย์ ท่านรัฐมนตรี จักรภพ เพ็ญแข หรือท่าน (นายก) รัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช หามิได้ ที่ไหนกระผมจะกล้าว่าท่านเหล่านี้สู้หมาไม่ได้ ท่านเลิศกว่ามนุษย์ทั่วไปอย่างเราๆ ด้วยซ้ำ และท่านต่างก็เป็นปริญญาชนตามรัฐธรรมนูญไทยกันทุกคน
ปฐมเหตุที่ผมเขียนก็เพราะผมบังเอิญได้อ่านหนังสือการเมืองเรื่องสนุกเล่มหนึ่งของอเมริกันแต่งโดย Molly Irwin เรื่อง “ใครปล่อยหมาพวกนี้เข้ามา” กล่าวถึงพฤติกรรมและผลงานของบรรดาผู้นำการเมืองยุคปัจจุบันที่กำลังจะปิดฉากลงของอเมริกัน
ผมว่าคนไทยเรานิยมบูชาฝรั่งมากเกินไป จึงชอบลอกเลียนฝรั่งกันจนเกร่อ ตัวอย่างเช่น หมู่บ้านจัดสรรและคอนโดฯ ถ้าจะให้เด่นก็ต้องใช้ชื่อฝรั่ง สินค้าและยี่ห้อสินค้าของฝรั่งก็เห่อกันกว่าของไทย แม้กระทั่งรายการฮิตต่างๆ ในทีวี ถึงจะไม่ใช้ชื่อฝรั่งก็ลอกรูปแบบและเนื้อหามาจากเขาโดยตรง ที่จะคิดประดิษฐ์เอาโดยภูมิปัญญาของเราเองแทบจะไม่มี
การเขียนหนังสือเป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญาอย่างมาก เรื่องแบบ “ใครปล่อยหมาพวกนี้เข้ามา” เป็นสไตล์การเขียนแบบขำขันหลอกล้อแบบหยิกเล็บเจ็บเนื้อ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ทรงพยายามแนะนำ แต่จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีแบบอย่างหรือคนไทยที่จะเขียนแบบนี้ได้สักกี่คน หากจะมีคนเขียนเรื่องการเลือกตั้งและจัดรัฐบาลไทย โดยใช้ชื่อว่า “ใครปล่อยหมาพวกนี้เข้ามา” ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีคนอ่านหรือไม่ ที่แน่ใจได้ก็คือคงถูกด่าจม ดีไม่ดีจะถูกฟ้องหมิ่นประมาท และศาลก็คงจะตัดสินแบบไทยๆ
ในขณะที่หนังสือของ Molly Irwin ขายดี และไม่มีใครแม้แต่คิดว่าจะฟ้องเธอ ประธานาธิบดีบุช ซึ่งเป็นตัว (ตลก) เอกในเรื่อง ก็ไม่กล้าปริปาก บังเอิญ Molly Irwin กับบุชเป็นชาวเท็กซัสทั้งคู่ เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองเท็กซัส จนกระทั่งบุชต้องระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะกล่าวอะไรในทางลบเกี่ยวกับเธอ
นี่คงจะต่างกับผู้นำการเมืองไทยโดยสิ้นเชิง เราคงจะได้ยินอะไรในทางตรงกันข้ามมากขึ้นๆจากนายกฯ สมัคร ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นนักการเมืองปาก..ชั้นหนึ่ง
ในโลกยุคโลกาภิวัตน์อย่างปัจจุบันนี้ หากระบบการศึกษาและสื่อไทยไม่ผลิตนักเขียนแบบ Molly Irwin ขึ้นมาบ้าง ก็จะกลายเป็นความเสียเปรียบ ขาดทุนหรือความจนของสังคมไทยเอง
ทำไมผมจึงยกเรื่องนี้มาพูด โดยไม่กลัวมือรับจ้างจะโพสต์เข้ามาด่าว่าเขียนแบบหมาๆ หรือเป็น คอลัมนิสต์หมาๆ นอกจากผมจะน้อมใจรับได้ทั้งสองอย่างแล้ว ผมยังอยากจะท้าทายท่านผู้อ่าน อยากจะกระตุกต่อมความคิดของท่าน ให้ช่วยกันคิดอย่างมีเหตุผล มีตรรกะให้ได้ว่า ทำไมหมาจึงเข้ามามีส่วนในวาทกรรมทางการเมือง ทั้งในเมืองฝรั่งและเมืองไทย ในทัศนะเทศและทัศนะไทยนั้น หมามีที่ไปที่มา มีฐานะ มีเกียรติหรือมีความอัปยศเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ผมอยากจะได้คำตอบว่า ท่านผู้อ่านเข้าใจหัวข้อของผม “รัฐมนตรีไม่มีการศึกษา สู้หมาไม่ได้” ว่าอย่างไร ต่างกับความมุ่งหมายที่ผมเขียนเรื่องนี้หรือไม่
ก่อนอื่น เรามาพูดเรื่อง “หมา” กับ “คน” ในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนๆ กันเสียก่อน ในเรื่องนี้ทัศนะของไทยกับทัศนะของฝรั่งมีความแตกต่างกันมาก ไทยเรามองหมาในทัศนะเบื้องต่ำมากกว่าเบื้องสูง เพราะเห็นว่าหมาเป็นสัตว์หรืออย่างดีก็เป็นสัตว์เลี้ยง เพราะฉะนั้นการที่คนไทยปฏิบัติต่อหมาจึงจำกัดอยู่แค่นั้น ในขณะที่ฝรั่งจำนวนมากเลี้ยงและปรนนิบัติหมาเสมือนหนึ่งเพื่อน ปรนเปรอสารพัดถึงขั้นทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ก็มี การดูแลรักษาพยาบาลหมาจนกระทั่งตำราการฝึกและใช้หมาตลอดจนธุรกิจเกี่ยวกับหมาจึงก้าวหน้าไปไกล เป็นอานิสงส์ตกถึงหมาและธุรกิจไทยส่วนหนึ่งอย่างที่เห็นกัน จะเห็นได้ว่า หมาที่ถูกฝึก เช่น หมาดูแลคนตาบอด หมาจับยาเสพติด หมาตรวจกับระเบิด หมารักษาความปลอดภัย ฯลฯ มีความเก่งกล้าสามารถกว่าคนทั่วไปหรือแม้แต่คนที่เป็นครูฝึกก็ตาม
สำหรับคนนั้น ฝรั่งถือว่าสูงและต่างกว่าสัตว์อื่นทั้งหมด ตรงที่ “ความรู้จักคิด” อาจจะพูดก็ได้ว่า “ความเป็นคนอยู่ที่คิดเป็น” และมีความแตกต่างกันตามฐานะทางชนชั้น ถึงแม้จะมีความนับถือในความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ตามปรัชญาการเมืองประชาธิปไตยก็ตาม ของไทยเราแบ่งคนตามความเข้าใจที่มีทั้งผิดและถูกตามปรัชญาของศาสนาพุทธ โดยถือกรรมเป็นหลัก ศาสนาพุทธถือว่าสัตว์ต่างๆ เป็นเดรัจฉานซึ่งเป็นภาวะชั่วคราวในชาติๆ หนึ่ง ความดีหรือเลวของสัตว์นั้นก็ขึ้นกับกรรมเช่นเดียวกับคน แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็เคยเสวยชาติเป็นสุนัขหรือพูดง่ายๆ ว่าเคยเกิดเป็นหมา ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่คติทางพุทธศาสนาจะเห็นคนบางจำพวก (โดยกรรมหรือพฤติกรรมของคนนั้นๆ) เลวกว่าหมา มนุษย์ที่ดีกว่าหมานั้นได้แก่ มนุสสมนุสโส และมนุสสเทโว ส่วนมนุษย์ที่เท่ากับหมาหรือเลวกว่าหมาได้แก่ มนุสสดิรัจฉาโน กับมนุสสเปโต หรือมนุษย์ที่รูปกายเป็นมนุษย์ แต่ใจหรือการกระทำเป็นเปรตหรือเดรัจฉาน
ผมหวังว่าท่านผู้อ่านทั้งหลายคงเคยอ่านเรื่องคุณทองแดง หรือเคยได้รับหรือเห็น ส.ค.ส.ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉบับ “สี่ขาดีกว่าสองขา” แล้ว ทั้งหมดมิใช่เรื่องของอารมณ์ขัน แต่เป็นเรื่องปรัชญาที่ลึกซึ้งชวนให้คิด
ผมคิดว่าคนที่เกิดมาได้เป็นรัฐมนตรีนั้นน่าจะเป็นคนมีบุญ ได้สั่งสมความดี และผ่านการสั่งสอนอบรมมามาก โอกาสที่จะเป็น มนุสสดิรัจฉาโน กับ มนุสสเปโต น่าจะยาก หรือท่านผู้รู้อาจจะค้านว่า ไม่แน่ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือหนทางของการมาสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีนั้นเป็นหนทางวิบาก ต้องผ่านสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันสังคม สถาบันเศรษฐกิจ ฯลฯ มาอย่างโชกโชนกันทุกคน กว่าจะมาเป็นรัฐมนตรีได้คงต้องยากกว่าหมาที่ถูกฝึกมาใช้งานต่างๆ ที่ผมบรรยายมาข้างต้นเป็นแน่
ผมเสียดายที่สื่อและมหาวิทยาลัยของเรามิได้ศึกษาวิเคราะห์ชีวิตของคุณไชยา คุณสมพงษ์ คุณจักรภพ และคุณสมัคร ให้ละเอียดเหมือนกับในประเทศประชาธิปไตยที่เขาให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้นำของเขาอย่างละเอียดเป็นระบบ เรื่องนี้คนไทยเอง ก็ไม่ค่อยจะสนใจ กลับลุ่มหลงแต่ข่าวเล่าลือซุบซิบเรื่องในมุ้งหรือเรื่องส่วนตัวเสียมากกว่า เมื่อเราไม่มีข้อมูลเช่นนี้ จะถาม จะตอบอะไร ให้เป็นแก่นสารตามหัวข้อเรื่องของผมก็คงไม่ได้
เอาเป็นว่าถ้าเปลี่ยนชื่อซะหน่อย แล้วถามว่า นายปราโมทย์ สู้หมาได้หรือไม่ ผมก็คงตอบว่า เรื่องรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้านายคนเดียว เรื่องดมกลิ่นตรวจยาเสพติด เรื่องช่วยคนจมน้ำ คนตาบอด และอีกหลายเรื่องนายปราโมทย์สู้หมาไม่ได้แน่ๆ
ในคติตะวันตกเขาเปรียบเทียบนักการเมืองกับหมาเป็นสองนัย ส่วนใหญ่ด้วยความยกย่องนับถือในความซื่อสัตย์และกัดไม่ปล่อย เช่น การให้สมญา วินซตัน เชิชชิล รัฐบุรุษอังกฤษว่า บุลดอก เป็นต้น ส่วนนัยที่สอง คือ การด่านักการเมืองว่าเป็นหมาในทางลบเป็นปรากฏการณ์ใหม่ เริ่มต้นจากประธานาธิบดีบุช ก่อน แล้วก็ลามปามมาถึงโทนี่ แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กับจอน โฮเวิร์ด อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สองรายหลังนี้ถูกขนานสมญาว่า ลูกหมาพูเดิ้ลของบุช พูเดิ้ลเป็นหมาพันธุ์เล็กๆ ที่ชอบวิ่งตามเอาใจเจ้านาย แบลร์และโฮเวิร์ดจึงเสียคะแนนเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นสมุนของบุช โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องบุกเข้าไปทำสงครามอิรัก
สุนัขทั้งสามตัวที่กล่าวมาเกิดในวันที่ที่ลงท้ายด้วยเลข 6 ทั้งหมด เหมือนกับอดีตนายกฯ ทักษิณของเรา เลข 666 ถือว่าเป็นเลขมหากาลกิณีในคติของคริสต์ จึงมีผู้ทำนายว่าชีวิตและอนาคตของสุนัขทั้งสามจะไม่จบลงด้วยดี
อย่าลืมว่า ทักษิณพาไทยกระโดดขึ้นรถด่วนสายอิรักเป็นประเทศแรก เพราะหวังว่าจะได้งานก่อสร้างค้าขายบูรณะประเทศอิรัก โดยนึกไม่ถึงว่าทุนนิยมสามานย์นั้นมีการแบ่งประโยชน์กันตามฐานันดร กว่าจะโยนอะไรมาให้สุนัขรับใช้ก็เหลือแต่กระดูกที่แทะเนื้อหมดสิ้นแล้ว ในกรณีอิรักนี้แม้แต่กระดูกเราก็ยังมิได้อยู่ดี
และอย่าลืมว่า ครั้งหนึ่งยังไม่นานเกินจำ ประเทศที่ประณามผู้นำของเราว่าเป็นสุนัขรับใช้อเมริกัน ก็คือ ประเทศจีน มิตรที่แสนดีของเรานี่เอง
ผมคงจะไม่นำเรื่องหมาๆ มาเขียนอีก ถ้าหากไม่นานมานี้ ผมมิได้ยินพรรคการเมืองพรรคหนึ่งซึ่งเข้มแข็งลำพองที่สุดในภาคอีสาน บ้านของผม คนของพรรคนั้นอวดอ้างว่า อีสานนะเหรอ พรรคผมเอาเสาไฟฟ้าหรือหมามาติดเบอร์ แข่ง ก็ยังชนะเลือกตั้ง
สาธุ จะทำอะไรก็ทำเถิด แต่ขอให้คิดถึงบ้านเมืองบ้าง อย่าเผลอเอาหมาติดเบอร์มาเป็นรัฐมนตรีก็แล้วกัน
มีหมาอีกประเภทหนึ่ง มิใช่สัตว์เดรัจฉาน คือหมาที่เรียกว่า Watchdog หรือหมาเฝ้าบ้าน ในทางการเมืองหมาเฝ้าบ้านเหล่านี้ ก็คือสื่อ นักวิชาการ และองค์กรทั้งภาคเอกชนและภาครัฐที่จะต้องเฝ้าติดตามตรวจสอบนักการเมือง
ถ้าสี่รัฐมนตรีของเรา (ซึ่งเป็นผู้มากด้วยการศึกษา) สู้หมาประเภทนี้ได้ ก็เห็นจะไม่เป็นคุณกับบ้านเมืองแน่นอน.
แรงบันดาลใจที่ผมเขียนเรื่องการเมืองหมาๆแบบนี้ มิได้เกิดจากการย้ายข้าราชการของท่านรัฐมนตรี สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ท่านรัฐมนตรี ไชยา สะสมทรัพย์ ท่านรัฐมนตรี จักรภพ เพ็ญแข หรือท่าน (นายก) รัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช หามิได้ ที่ไหนกระผมจะกล้าว่าท่านเหล่านี้สู้หมาไม่ได้ ท่านเลิศกว่ามนุษย์ทั่วไปอย่างเราๆ ด้วยซ้ำ และท่านต่างก็เป็นปริญญาชนตามรัฐธรรมนูญไทยกันทุกคน
ปฐมเหตุที่ผมเขียนก็เพราะผมบังเอิญได้อ่านหนังสือการเมืองเรื่องสนุกเล่มหนึ่งของอเมริกันแต่งโดย Molly Irwin เรื่อง “ใครปล่อยหมาพวกนี้เข้ามา” กล่าวถึงพฤติกรรมและผลงานของบรรดาผู้นำการเมืองยุคปัจจุบันที่กำลังจะปิดฉากลงของอเมริกัน
ผมว่าคนไทยเรานิยมบูชาฝรั่งมากเกินไป จึงชอบลอกเลียนฝรั่งกันจนเกร่อ ตัวอย่างเช่น หมู่บ้านจัดสรรและคอนโดฯ ถ้าจะให้เด่นก็ต้องใช้ชื่อฝรั่ง สินค้าและยี่ห้อสินค้าของฝรั่งก็เห่อกันกว่าของไทย แม้กระทั่งรายการฮิตต่างๆ ในทีวี ถึงจะไม่ใช้ชื่อฝรั่งก็ลอกรูปแบบและเนื้อหามาจากเขาโดยตรง ที่จะคิดประดิษฐ์เอาโดยภูมิปัญญาของเราเองแทบจะไม่มี
การเขียนหนังสือเป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญาอย่างมาก เรื่องแบบ “ใครปล่อยหมาพวกนี้เข้ามา” เป็นสไตล์การเขียนแบบขำขันหลอกล้อแบบหยิกเล็บเจ็บเนื้อ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ทรงพยายามแนะนำ แต่จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีแบบอย่างหรือคนไทยที่จะเขียนแบบนี้ได้สักกี่คน หากจะมีคนเขียนเรื่องการเลือกตั้งและจัดรัฐบาลไทย โดยใช้ชื่อว่า “ใครปล่อยหมาพวกนี้เข้ามา” ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีคนอ่านหรือไม่ ที่แน่ใจได้ก็คือคงถูกด่าจม ดีไม่ดีจะถูกฟ้องหมิ่นประมาท และศาลก็คงจะตัดสินแบบไทยๆ
ในขณะที่หนังสือของ Molly Irwin ขายดี และไม่มีใครแม้แต่คิดว่าจะฟ้องเธอ ประธานาธิบดีบุช ซึ่งเป็นตัว (ตลก) เอกในเรื่อง ก็ไม่กล้าปริปาก บังเอิญ Molly Irwin กับบุชเป็นชาวเท็กซัสทั้งคู่ เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองเท็กซัส จนกระทั่งบุชต้องระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะกล่าวอะไรในทางลบเกี่ยวกับเธอ
นี่คงจะต่างกับผู้นำการเมืองไทยโดยสิ้นเชิง เราคงจะได้ยินอะไรในทางตรงกันข้ามมากขึ้นๆจากนายกฯ สมัคร ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นนักการเมืองปาก..ชั้นหนึ่ง
ในโลกยุคโลกาภิวัตน์อย่างปัจจุบันนี้ หากระบบการศึกษาและสื่อไทยไม่ผลิตนักเขียนแบบ Molly Irwin ขึ้นมาบ้าง ก็จะกลายเป็นความเสียเปรียบ ขาดทุนหรือความจนของสังคมไทยเอง
ทำไมผมจึงยกเรื่องนี้มาพูด โดยไม่กลัวมือรับจ้างจะโพสต์เข้ามาด่าว่าเขียนแบบหมาๆ หรือเป็น คอลัมนิสต์หมาๆ นอกจากผมจะน้อมใจรับได้ทั้งสองอย่างแล้ว ผมยังอยากจะท้าทายท่านผู้อ่าน อยากจะกระตุกต่อมความคิดของท่าน ให้ช่วยกันคิดอย่างมีเหตุผล มีตรรกะให้ได้ว่า ทำไมหมาจึงเข้ามามีส่วนในวาทกรรมทางการเมือง ทั้งในเมืองฝรั่งและเมืองไทย ในทัศนะเทศและทัศนะไทยนั้น หมามีที่ไปที่มา มีฐานะ มีเกียรติหรือมีความอัปยศเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ผมอยากจะได้คำตอบว่า ท่านผู้อ่านเข้าใจหัวข้อของผม “รัฐมนตรีไม่มีการศึกษา สู้หมาไม่ได้” ว่าอย่างไร ต่างกับความมุ่งหมายที่ผมเขียนเรื่องนี้หรือไม่
ก่อนอื่น เรามาพูดเรื่อง “หมา” กับ “คน” ในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนๆ กันเสียก่อน ในเรื่องนี้ทัศนะของไทยกับทัศนะของฝรั่งมีความแตกต่างกันมาก ไทยเรามองหมาในทัศนะเบื้องต่ำมากกว่าเบื้องสูง เพราะเห็นว่าหมาเป็นสัตว์หรืออย่างดีก็เป็นสัตว์เลี้ยง เพราะฉะนั้นการที่คนไทยปฏิบัติต่อหมาจึงจำกัดอยู่แค่นั้น ในขณะที่ฝรั่งจำนวนมากเลี้ยงและปรนนิบัติหมาเสมือนหนึ่งเพื่อน ปรนเปรอสารพัดถึงขั้นทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ก็มี การดูแลรักษาพยาบาลหมาจนกระทั่งตำราการฝึกและใช้หมาตลอดจนธุรกิจเกี่ยวกับหมาจึงก้าวหน้าไปไกล เป็นอานิสงส์ตกถึงหมาและธุรกิจไทยส่วนหนึ่งอย่างที่เห็นกัน จะเห็นได้ว่า หมาที่ถูกฝึก เช่น หมาดูแลคนตาบอด หมาจับยาเสพติด หมาตรวจกับระเบิด หมารักษาความปลอดภัย ฯลฯ มีความเก่งกล้าสามารถกว่าคนทั่วไปหรือแม้แต่คนที่เป็นครูฝึกก็ตาม
สำหรับคนนั้น ฝรั่งถือว่าสูงและต่างกว่าสัตว์อื่นทั้งหมด ตรงที่ “ความรู้จักคิด” อาจจะพูดก็ได้ว่า “ความเป็นคนอยู่ที่คิดเป็น” และมีความแตกต่างกันตามฐานะทางชนชั้น ถึงแม้จะมีความนับถือในความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ตามปรัชญาการเมืองประชาธิปไตยก็ตาม ของไทยเราแบ่งคนตามความเข้าใจที่มีทั้งผิดและถูกตามปรัชญาของศาสนาพุทธ โดยถือกรรมเป็นหลัก ศาสนาพุทธถือว่าสัตว์ต่างๆ เป็นเดรัจฉานซึ่งเป็นภาวะชั่วคราวในชาติๆ หนึ่ง ความดีหรือเลวของสัตว์นั้นก็ขึ้นกับกรรมเช่นเดียวกับคน แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็เคยเสวยชาติเป็นสุนัขหรือพูดง่ายๆ ว่าเคยเกิดเป็นหมา ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่คติทางพุทธศาสนาจะเห็นคนบางจำพวก (โดยกรรมหรือพฤติกรรมของคนนั้นๆ) เลวกว่าหมา มนุษย์ที่ดีกว่าหมานั้นได้แก่ มนุสสมนุสโส และมนุสสเทโว ส่วนมนุษย์ที่เท่ากับหมาหรือเลวกว่าหมาได้แก่ มนุสสดิรัจฉาโน กับมนุสสเปโต หรือมนุษย์ที่รูปกายเป็นมนุษย์ แต่ใจหรือการกระทำเป็นเปรตหรือเดรัจฉาน
ผมหวังว่าท่านผู้อ่านทั้งหลายคงเคยอ่านเรื่องคุณทองแดง หรือเคยได้รับหรือเห็น ส.ค.ส.ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉบับ “สี่ขาดีกว่าสองขา” แล้ว ทั้งหมดมิใช่เรื่องของอารมณ์ขัน แต่เป็นเรื่องปรัชญาที่ลึกซึ้งชวนให้คิด
ผมคิดว่าคนที่เกิดมาได้เป็นรัฐมนตรีนั้นน่าจะเป็นคนมีบุญ ได้สั่งสมความดี และผ่านการสั่งสอนอบรมมามาก โอกาสที่จะเป็น มนุสสดิรัจฉาโน กับ มนุสสเปโต น่าจะยาก หรือท่านผู้รู้อาจจะค้านว่า ไม่แน่ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือหนทางของการมาสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีนั้นเป็นหนทางวิบาก ต้องผ่านสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันสังคม สถาบันเศรษฐกิจ ฯลฯ มาอย่างโชกโชนกันทุกคน กว่าจะมาเป็นรัฐมนตรีได้คงต้องยากกว่าหมาที่ถูกฝึกมาใช้งานต่างๆ ที่ผมบรรยายมาข้างต้นเป็นแน่
ผมเสียดายที่สื่อและมหาวิทยาลัยของเรามิได้ศึกษาวิเคราะห์ชีวิตของคุณไชยา คุณสมพงษ์ คุณจักรภพ และคุณสมัคร ให้ละเอียดเหมือนกับในประเทศประชาธิปไตยที่เขาให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้นำของเขาอย่างละเอียดเป็นระบบ เรื่องนี้คนไทยเอง ก็ไม่ค่อยจะสนใจ กลับลุ่มหลงแต่ข่าวเล่าลือซุบซิบเรื่องในมุ้งหรือเรื่องส่วนตัวเสียมากกว่า เมื่อเราไม่มีข้อมูลเช่นนี้ จะถาม จะตอบอะไร ให้เป็นแก่นสารตามหัวข้อเรื่องของผมก็คงไม่ได้
เอาเป็นว่าถ้าเปลี่ยนชื่อซะหน่อย แล้วถามว่า นายปราโมทย์ สู้หมาได้หรือไม่ ผมก็คงตอบว่า เรื่องรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้านายคนเดียว เรื่องดมกลิ่นตรวจยาเสพติด เรื่องช่วยคนจมน้ำ คนตาบอด และอีกหลายเรื่องนายปราโมทย์สู้หมาไม่ได้แน่ๆ
ในคติตะวันตกเขาเปรียบเทียบนักการเมืองกับหมาเป็นสองนัย ส่วนใหญ่ด้วยความยกย่องนับถือในความซื่อสัตย์และกัดไม่ปล่อย เช่น การให้สมญา วินซตัน เชิชชิล รัฐบุรุษอังกฤษว่า บุลดอก เป็นต้น ส่วนนัยที่สอง คือ การด่านักการเมืองว่าเป็นหมาในทางลบเป็นปรากฏการณ์ใหม่ เริ่มต้นจากประธานาธิบดีบุช ก่อน แล้วก็ลามปามมาถึงโทนี่ แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กับจอน โฮเวิร์ด อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สองรายหลังนี้ถูกขนานสมญาว่า ลูกหมาพูเดิ้ลของบุช พูเดิ้ลเป็นหมาพันธุ์เล็กๆ ที่ชอบวิ่งตามเอาใจเจ้านาย แบลร์และโฮเวิร์ดจึงเสียคะแนนเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นสมุนของบุช โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องบุกเข้าไปทำสงครามอิรัก
สุนัขทั้งสามตัวที่กล่าวมาเกิดในวันที่ที่ลงท้ายด้วยเลข 6 ทั้งหมด เหมือนกับอดีตนายกฯ ทักษิณของเรา เลข 666 ถือว่าเป็นเลขมหากาลกิณีในคติของคริสต์ จึงมีผู้ทำนายว่าชีวิตและอนาคตของสุนัขทั้งสามจะไม่จบลงด้วยดี
อย่าลืมว่า ทักษิณพาไทยกระโดดขึ้นรถด่วนสายอิรักเป็นประเทศแรก เพราะหวังว่าจะได้งานก่อสร้างค้าขายบูรณะประเทศอิรัก โดยนึกไม่ถึงว่าทุนนิยมสามานย์นั้นมีการแบ่งประโยชน์กันตามฐานันดร กว่าจะโยนอะไรมาให้สุนัขรับใช้ก็เหลือแต่กระดูกที่แทะเนื้อหมดสิ้นแล้ว ในกรณีอิรักนี้แม้แต่กระดูกเราก็ยังมิได้อยู่ดี
และอย่าลืมว่า ครั้งหนึ่งยังไม่นานเกินจำ ประเทศที่ประณามผู้นำของเราว่าเป็นสุนัขรับใช้อเมริกัน ก็คือ ประเทศจีน มิตรที่แสนดีของเรานี่เอง
ผมคงจะไม่นำเรื่องหมาๆ มาเขียนอีก ถ้าหากไม่นานมานี้ ผมมิได้ยินพรรคการเมืองพรรคหนึ่งซึ่งเข้มแข็งลำพองที่สุดในภาคอีสาน บ้านของผม คนของพรรคนั้นอวดอ้างว่า อีสานนะเหรอ พรรคผมเอาเสาไฟฟ้าหรือหมามาติดเบอร์ แข่ง ก็ยังชนะเลือกตั้ง
สาธุ จะทำอะไรก็ทำเถิด แต่ขอให้คิดถึงบ้านเมืองบ้าง อย่าเผลอเอาหมาติดเบอร์มาเป็นรัฐมนตรีก็แล้วกัน
มีหมาอีกประเภทหนึ่ง มิใช่สัตว์เดรัจฉาน คือหมาที่เรียกว่า Watchdog หรือหมาเฝ้าบ้าน ในทางการเมืองหมาเฝ้าบ้านเหล่านี้ ก็คือสื่อ นักวิชาการ และองค์กรทั้งภาคเอกชนและภาครัฐที่จะต้องเฝ้าติดตามตรวจสอบนักการเมือง
ถ้าสี่รัฐมนตรีของเรา (ซึ่งเป็นผู้มากด้วยการศึกษา) สู้หมาประเภทนี้ได้ ก็เห็นจะไม่เป็นคุณกับบ้านเมืองแน่นอน.