1. “ในหลวง”อวยพรปีใหม่คนไทย-ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท จะทำสิ่งใด คิดหน้าคิดหลังให้ดี!
เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพรปีใหม่แก่ประชาชนชาวไทย โดยนอกจากจะทรงขอบใจประชาชนทุกคนที่ร่วมกันจัดงานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติแล้ว ยังทรงส่งความปรารถนาดีอวยพรให้ประชาชนทุกคนให้มีความสุขความเจริญด้วย ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแนะว่า ความสุขความเจริญ ซึ่งเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างยิ่งของคนเรานั้น จะสำเร็จผลเป็นจริงได้ ก็ด้วยการที่ทุกคนตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท มีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดกำกับอยู่ตลอดเวลา คือไม่ว่าจะประพฤติปฏิบัติการใด ก็ใช้สติปัญญาพิจารณาไตร่ตรองจนถ้วนถี่ให้เห็นกระจ่างถึงผลดี ผลเสีย ทั้งใกล้ไกล ทุกแง่ทุกมุม ความรู้ความเข้าใจชัดถึงผลดีผลเสีย ย่อมจะทำให้แต่ละคนเล็งเห็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องว่า สิ่งใดควรละเว้น และสิ่งใดควรปฏิบัติ เพื่อให้บังเกิดผล เป็นประโยชน์ที่แท้จริงและยั่งยืน ทั้งแก่ส่วนตัวและส่วนรวม ปีใหม่นี้ พระองค์จึงทรงขอให้ประชาชนชาวไทยได้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท จะคิดจะทำสิ่งใด ให้คิดหน้าคิดหลังให้ดี ให้รอบคอบ ทำให้ดี ให้ถูกต้อง ผลของการคิดดี ทำดี จะได้ส่งเสริมให้แต่ละคนประสบแต่ความสุขความเจริญ และทำให้ชาติบ้านเมืองมีความเรียบร้อยและอยู่เย็นเป็นสุขดังที่ทุกคนทุกฝ่ายตั้งใจปรารถนา... สำหรับ ส.ค.ส.ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยในปี 2552 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์สากลสีน้ำตาลอ่อน ผ้าปักพระกระเป๋าสีฟ้าสดใส ฉลองพระองค์ชั้นในเป็นเชิ้ตขาว ทรงผูกเนคไทสีฟ้าอ่อน ประทับบนพระเก้าอี้ ทรงฉายกับคุณทองแดง สุวรรณชาด ที่นั่งอยู่ข้างพระเก้าอี้ และคุณนายแดง แม่ของคุณทองแดง สุวรรณชาด ที่หมอบเฝ้าอยู่อีกข้างหนึ่ง สำหรับฉากหลังของ ส.ค.ส.เป็นสนามหญ้าในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน มีต้นไม้ใหญ่ และต้นชวนชมดอกสีชมพู มีตัวหนังสือสีเหลืองเขียนว่า ส.ค.ส. ๒๕๕๒ ใต้ลงมามีข้อความภาษาอังกฤษว่า Happy New Year 2009 ส่วนมุมบนด้านขวา มีตัวหนังสือสีเหลืองเขียนว่า สวัสดีปีใหม่ ขอจงมี...ความสุข...ความเจริญ
2. “ป๋าเปรม”ชี้ โชคดีของคนไทยได้ “อภิสิทธิ์”เป็นนายกฯ ด้าน “เพื่อไทย”ไม่พอใจ รบ.ย้ายที่แถลงนโยบาย!
ในที่สุด กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ก็ได้นำม็อบเสื้อแดงหลายพันคนไปปิดล้อมรัฐสภาตั้งแต่กลางดึกคืนวันที่ 28 ธ.ค.เพื่อขัดขวางไม่ให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าแถลงนโยบายในสภาวันที่ 29 ธ.ค.ได้ พร้อมเรียกร้องให้ยุบสภา โดยอ้างว่ารัฐบาลนี้มาโดยไม่ชอบธรรม ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้พยายามเจรจากับนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.เพื่อขอให้เปิดทางให้ ส.ส.และ ส.ว.เข้าประชุมได้ แต่ไม่สำเร็จ โดยผู้ชุมนุมตั้งแง่ว่า เปิดทางให้เข้าได้ แต่ ส.ส.-ส.ว.ต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลไม่มั่นใจในความปลอดภัย เกรงจะถูกม็อบเสื้อแดงรุมทำร้ายซ้ำรอยเมื่อวันประชุมโหวตเลือกนายกฯ 15 ธ.ค. ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ชี้ การชุมนุมเคลื่อนไหวเป็นสิทธิที่ทำได้ตาม รธน.พร้อมยืนยัน รัฐบาลจะไม่เดินข้ามกองเลือดเข้าไปแถลงนโยบายแน่นอน ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ก็ยืนยัน รัฐบาลจะไม่มีการใช้กำลังหรือทำร้ายประชาชน ไม่ว่าประชาชนนั้นจะเป็นผู้ที่แสดงความเห็นในลักษณะไหนก็ตาม จะไม่มีการใช้แก๊สน้ำตาหรือน้ำฉีดสลายการชุมนุมเด็ดขาด ทั้งนี้ เมื่อการเจรจากับผู้ชุมนุมไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จ นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา จึงได้โฟนอินเข้ามายังรัฐสภา เพื่อแจ้งเลื่อนการประชุมแถลงนโยบายของรัฐบาลออกไปจากเวลา 10.00น.เป็นเวลา 14.00น.โดยบอกว่า ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย 7 ต.ค. อย่างไรก็ตาม หลังเวลา 14.00น.นายชัยได้โฟนอินเข้ามายังรัฐสภาอีกครั้ง เพื่อแจ้งเลื่อนการประชุมออกไปเป็นหลัง 17.00น. แต่ในที่สุด เมื่อถึงเวลา ม็อบเสื้อแดงก็ยังคงปิดล้อมรัฐสภา นายชัยจึงตัดสินใจสั่งเลื่อนการประชุมออกไปเป็นเช้าวันที่ 30 ธ.ค.แทน พร้อมส่งข้อความแจ้งให้สมาชิกรัฐสภาทราบทางโทรศัพท์มือถือ ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทย(พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์ ส.ส.อุดรธานี) นอกจากหนุนม็อบเสื้อแดงด้วยการลงทุนใส่ชุดสีแดงแล้ว ยังยอมรับด้วยว่าตนได้จัดม็อบมาปิดล้อมรัฐสภา โดยบอกว่า “วันนี้ต้องเปิดหน้าชกกันแล้ว ผมแดงทั้งตัวและหัวใจ พาประชาชนจากภาคอีสานมาร่วมชุมนุมที่หน้าสภาด้วย...” ขณะที่ภาคเอกชน นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อยากให้ทุกฝ่ายเปิดโอกาสให้รัฐบาลชุดนี้ทำงาน 6 เดือนเพื่อพิสูจน์ฝีมือ เพราะปัญหาของประเทศขณะนี้ค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่ปี ’52 จะเข้าขั้นเผาจริง และคาดว่าจะมีคนตกงานถึง 1 ล้านคน สำหรับการแถลงนโยบายของรัฐบาลนั้น แม้จะเลื่อนเป็นเช้าวันที่ 30 ธ.ค. แต่สุดท้ายม็อบเสื้อแดงก็ยังปิดล้อมรัฐสภาอยู่ และไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่เปิดประตูเพื่อให้ ส.ส.-ส.ว.เข้าประชุม ส่งผลให้ต้องมีการเปลี่ยนสถานที่ประชุมแถลงนโยบายไปเป็นที่กระทรวงการต่างประเทศแทน โดยเมื่อเปิดการประชุม นายชัยได้ขอบคุณสมาชิกที่มาประชุม พร้อมแจ้งให้ทราบว่า มี ส.ว.มาร่วม 103 คน ส.ส. 227 คน รวมเป็น 330 เสียง ถือว่าเกินหนึ่งคือ 292 คน จึงสามารถเปิดประชุมแถลงนโยบายรัฐบาลได้ จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ใช้เวลาแถลงนโยบายประมาณ 50 นาที โดยมี ส.ว.อภิปราย 3 คน(นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา-พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา-น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม.) ซึ่งใช้เวลาแถลงนโยบายและอภิปรายประมาณ 2 ชม. ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ยืนยันอีกครั้งว่า จะให้ความสำคัญกับทุกฝ่าย จะเป็นนายกฯ ของคนทั้งประเทศ ไม่เป็นตัวแทนภาคใดหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทุ่มเท รับผิดชอบ จะทำทุกวิถีทางให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ เดินหน้าต่อไปได้เพื่อชัยชนะของประเทศ หลังเสร็จสิ้นการประชุมแถลงนโยบาย ส.ส.-ส.ว.ยังไม่สามารถออกจากกระทรวงการต่างประเทศได้ในทันที เพราะม็อบเสื้อแดงได้ตามมาปิดล้อมที่กระทรวงฯ แต่ไม่นานม็อบดังกล่าวก็สลายตัวไป โดยอ้างว่าได้รับชัยชนะแล้ว ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ได้เรียกประชุม ครม.ต่อทันทีที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อแบ่งงานให้รองนายกฯ และอนุมัติร่างหนังสือสนธิสัญญาของกระทรวงต่างๆ ที่จะใช้ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในเดือน ก.พ. เพื่อให้สามารถนำร่างสนธิสัญญาดังกล่าวเสนอต่อรัฐสภาได้หลังปีใหม่ ด้านพรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้าน แสดงความไม่พอใจอย่างมากที่มีการเปลี่ยนสถานที่แถลงนโยบายไปที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยนอกจากจะประท้วงด้วยการไม่เข้าร่วมประชุมแล้ว ยังได้เตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการย้ายสถานที่ประชุมแถลงนโยบายจากรัฐสภาไปเป็นที่อื่นนั้น ขัดต่อ รธน.หรือไม่ โดยหวังว่าหากขัด รธน.จะส่งผลให้การแถลงนโยบายของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เป็นโมฆะ พร้อมกันนี้พรรคเพื่อไทยยังได้เตรียมเปิดเวทีซักฟอกนโยบายรัฐบาลนอกสภาในวันที่ 5 ม.ค.นี้ ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ไม่เท่านั้นยังขู่จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภาวันที่ 21 ม.ค.นี้ ขณะที่แกนนำ นปช. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เผยว่า แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงและแกนนำผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้จะประชุมกำหนดยุทธศาสตร์ในการเคลื่อนไหวใหญ่หลังปีใหม่ในวันที่ 5 ม.ค. จนกว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จะยุบสภา เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างที่แกนนำ นปช.นำม็อบเสื้อแดงไปปิดล้อมรัฐสภาตั้งแต่วันที่ 28-30 ธ.ค.นั้น ได้มีการติดตั้งเวทีและประดับฉากบนเวทีด้วยภาพและข้อความที่ส่อว่าน่าจะหมิ่นเบื้องสูง โดยมีภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมข้อความขนาดใหญ่ว่า “อภิสิทธิ์ชนโจร” ซึ่งในเวลาต่อมา ได้มีผู้เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดี 4 แกนนำ นปช.ต่อกรณีดังกล่าวแล้ว ประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ ,นายจักรภพ เพ็ญแข ,นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ทั้งนี้ นอกจากแกนนำ นปช.จะประกาศนำม็อบเสื้อแดงเคลื่อนไหวไม่ยอมรับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์แล้ว ทางด้านพรรคเพื่อไทยก็เอาด้วย โดยนายศักดา นพสิทธิ์ ส.ส.ร้อยเอ็ด อ้างว่า ขณะนี้มีประชาชนในพื้นที่เรียกร้องให้ ส.ส.ช่วยพาเข้ามายัง กทม.เพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และเอา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับคืนมา ดังนั้นจะหารือเรื่องนี้ในพรรคเพื่อกำหนดท่าทีเร็วๆ นี้ สำหรับกรณีที่พรรคเพื่อไทยอ้างว่าการเปลี่ยนสถานที่แถลงนโยบายรัฐบาลเป็นสิ่งที่ขัด รธน.นั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า หลายฝ่ายได้ออกมาการันตีว่าไม่น่าจะขัด รธน. เช่น นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ยืนยันว่า การประชุมรัฐสภาไม่จำเป็นต้องประชุมที่อาคารรัฐสภา เพราะ รธน.ไม่ได้ห้ามไว้ พร้อมชี้ว่า คำว่า “รัฐสภา”หมายถึง ประกอบด้วย ส.ส.และ ส.ว.จึงเปิดช่องให้ประชุมที่ใดก็ได้ ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ก็เชื่อว่า การเปลี่ยนสถานที่ประชุมแถลงนโยบายรัฐบาลไม่ผิด เพราะเป็นเรื่องที่รัฐบาลหารือกับสภาอย่างรอบด้านแล้ว และทำตามคำสั่งของนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา และว่า ใจจริงไม่มีใครอยากย้ายที่แถลงนโยบาย แต่รัฐบาลได้พยายามให้ตำรวจเจรจากับผู้ชุมนุมจนวินาทีสุดท้าย ก็ไม่สำเร็จ ทั้งที่คิดจะใช้วิธีรุนแรงก็ได้ แต่ก็หลีกเลี่ยง อีกทั้งไม่มีใครมั่นใจเรื่องความปลอดภัยในการเข้าสภา เพราะมีข่าวว่าอาจมีการใช้ทั้งอาวุธและน้ำกรด อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ที่ไม่สามารถจัดตั้ง “รัฐบาลเพื่อชาติ”ให้พรรคเพื่อไทยได้สำเร็จ ก็ได้ออกมาการันตีว่า การแถลงนโยบายของรัฐบาลที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นโมฆะ 100% เพราะตนไม่ได้รับแจ้งจากประธานสภาเลยว่าจะมีการย้ายที่แถลงนโยบาย พร้อมแสดงความเห็นด้วยที่จะมีการส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ จะได้เห็นกันว่าขื่อแปอยู่ที่ไหน นายเสนาะ ยังพูดดักคอศาลพร้อมโจมตีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ด้วยว่า “ต่อจากนี้ไปบั้นปลายจะเหลืออะไร เมื่อโจรมาปล้นเอารัฐบาลไป แล้วรู้ทั้งรู้ว่าเป็นโจร แต่ถ้าศาลตัดสินเข้าข้างโจรว่าการปล้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ต่อไปก็ไม่ต้องใช้กฎหมายแล้ว” ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้นำ ครม.เข้ากราบอวยพรและขอรับพรปีใหม่จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ(เมื่อ 28 ธ.ค.) โอกาสนี้ นอกจาก พล.อ.เปรมจะมอบข้อคิด 5 คำให้นายอภิสิทธิ์ คือ อดทน อดกลั้น เสียสละ ประพฤติตนเป็นแบบอย่าง และสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นแล้ว ยังได้แสดงความชื่นชมที่เมืองไทยได้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ด้วย โดยบอกว่า “บ้านเมืองเราโชคดีที่ได้ท่านมาเป็นนายกฯ ผมมั่นใจว่านายกฯ จะแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองได้ด้วยความร่วมมือของคนทั้งประเทศ ผมดีใจที่ได้นายกฯ ชื่ออภิสิทธิ์ และคิดว่าคนไทยก็ดีใจ แต่คนไทยยังคงไม่หายกลัวเท่าไหร่ คงต้องรอดูว่านายกฯ จะเอาอะไรไปมอบให้เขาได้บ้าง ในระยะเวลาที่คุณอภิสิทธิ์เป็นผู้นำรัฐบาล”
3. สลด! พลุปีใหม่ เผา “ซานติก้า ผับ”วอด-นักเที่ยวถูกไฟคลอก 62 ศพ-เจ็บอื้อกว่า 200 !
เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 31 ธ.ค.ล่วงเข้าวันที่ 1 ม.ค.เวลา 00.30น. ตำรวจ สน.ทองหล่อ ได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ซานติก้า ผับ ย่านเอกมัย จึงรุดไปที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยรถดับเพลิงกว่า 10 คัน โดยพบว่า ซานติก้า ผับ เป็นอาคารเดี่ยว ขนาดใหญ่ 2 ชั้น ซึ่งเพลิงลุกไหม้อาคารอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ขณะที่นักเที่ยวภายในผับมีอาการแตกตื่น แย่งกันหนีออกจากที่เกิดเหตุอย่างอลหม่าน บางรายหกล้มถูกเหยียบอยู่ภายใน เจ้าหน้าที่พยายามช่วยเหลือด้วยการทุบกระจกเพื่อนำตัวนักเที่ยวออกมา แต่การช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากทางออกคับแคบ ขณะที่ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้นักเที่ยวหลายรายถูกไฟคลอกเสียชีวิตต่อหน้าเจ้าหน้าที่ และกว่าเจ้าหน้าที่จะควบคุมเพลิงให้สงบได้ ก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. หลังจากเข้าตรวจสอบภายใน พบผู้เสียชีวิตจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วบริเวณภายในผับ ขณะที่บางส่วนนอนกองทับกันอยู่ เบื้องต้นพบว่า มีผู้เสียชีวิตจำนวน 59 ศพ และบาดเจ็บกว่า 200 คน โดยมีชาวต่างชาติด้วยหลายราย อย่างไรก็ตาม ภายหลังมีผู้บาดเจ็บสาหัสเสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 3 คน ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 62 ศพ ส่วนสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้ ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบ แต่จากการบอกเล่าของพยานซึ่งเป็นพนักงานของร้านรายหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ผับได้จัดให้มีการเคานท์ดาวน์ปีใหม่ ซึ่งนักเที่ยวหลายร้อยคนได้เข้ามาเที่ยวจนเต็มพื้นที่ เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ก็ได้เคานท์ดาวน์และจุดพลุ จุดดอกไม้ไฟ ไฟเย็น หลังจากนั้นไม่นานมีเสียงตะโกนว่า “ไฟไหม้” และเห็นไฟลุกไหม้อยู่ที่ฝ้าเพดานเหนือเวทีอย่างรุนแรง จากนั้นก็มีควันไฟฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว ทำให้นักเที่ยววิ่งกรูมาที่ประตูออกด้านหน้าด้านเดียว ส่วนนักเที่ยวขาประจำจะรู้ว่ามีประตูเล็กๆ สำหรับให้ออกมาสูบบุหรี่อีก 3 บาน และประตูด้านหลังอีก 1 บาน โดยตนหนีออกมาทางด้านหลังและพานักเที่ยวจำนวนหนึ่งออกมาได้ ด้าน พล.ต.ต.โชคชัย ดีประเสริฐวิทย์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 เผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า ซานติก้า ผับ ไม่มีประกัน โดยหมดประกันไป 4 เดือนก่อนเกิดเหตุ ดังนั้นประเด็นเรื่องการวางเพลิงจึงไม่น่าจะเกี่ยวข้อง สำหรับผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากไฟคลอก สำลักควัน และเหยียบกันเองขณะแย่งกันออกจากผับ โดยหลังเกิดเหตุ ได้มีการตั้งศูนย์รับแจ้งผู้สูญหายเพื่อประสานในการตรวจสอบผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินที่ สน.ทองหล่อ และว่า เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ หากพบว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้อง จะเรียกตัวมาแจ้งข้อหาและดำเนินการตามกฎหมาย ขณะที่นายวรพจน์ อินทุลักษณ์ ผอ.เขตวัฒนา บอกว่า ต้องขอตรวจสอบก่อนว่าอาคารก่อสร้างถูกแบบตามที่ขออนุญาตหรือไม่ ถ้าผิดแบบ ต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยได้ประกาศเป็นเขตห้ามเข้าแล้ว ด้าน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับพนักงานสอบสวนให้เร่งหาสาเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ พร้อมทั้งให้เรียกตัวนายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือ “เฮียขาว” หุ้นส่วนใหญ่ในซานติก้า ผับ มาให้ปากคำ โดยเบื้องต้นเตรียมแจ้งข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.สถานบริการ ฐานปล่อยให้เยาวชนอายุไม่ถึง 20 ปี เข้าไปใช้บริการ เนื่องจากมีผู้ปกครองแจ้งว่ามีบุตรหลานอายุไม่ถึง 17 ปีเข้าไปเที่ยว ด้าน พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพาณิชย์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ขณะนี้(3 ม.ค.)มีศพที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้ใด 13 ศพ อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 5 ศพ โรงพยาบาลตำรวจ 8 ศพ เนื่องจากถูกไฟไหม้ค่อนข้างมาก ทำให้ยากต่อการพิสูจน์ ส่วนสาเหตุของเพลิงไหม้นั้น พล.ต.ท.บุญเรือง บอกว่า ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด ต้องให้กองพิสูจน์หลักฐานไปตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกหลายรอบ เพื่อให้ชัดเจนมากที่สุด จากนั้นนักวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์เรื่องนี้ ด้านนายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือ “เฮียขาว” หุ้นส่วนใหญ่ซานติก้า ผับ ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ สน.ทองหล่อแล้วในวันนี้(4 ม.ค.) โดยเดินทางมาพร้อมทนายความและลูกน้องนับสิบคน เพื่อให้ปากคำเกี่ยวกับเหตุเพลิงไหม้ซานติก้า ผับ ทั้งนี้ นายวิสุข กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าพร้อมยกมือไหว้ขอโทษว่า ตนรู้สึกเสียใจอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และต้องขอโทษญาติพี่น้องผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บทุกคน ตนยังรู้สึกช็อกและเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล โดยในวันเกิดเหตุตนอยู่ด้านหลังร้าน มีพนักงานเดินมาบอกว่าเกิดไฟไหม้ ตนจึงรีบวิ่งกลับเข้าไปในผับ และได้รับบาดเจ็บจากการสูดควันไฟเข้าไปจำนวนมาก จากนั้นมีผู้นำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ด้านนายคงศักดิ์ พูลเจริญ ทนายความของนายวิสุข พูดถึงเรื่องการทำประกันภัยของซานติก้า ผับว่า เป็นไปตามที่สื่อเสนอข่าว โดยหมดสัญญาประกันเมื่อ 4 เดือนที่ผ่านมา และไม่ได้ต่อสัญญาประกัน เนื่องจากใกล้จะหมดสัญญาเช่าสถานที่ในวันที่ 31 ธ.ค.2551 นายคงศักดิ์ ยังบอกด้วยว่า ขณะนี้ทางคณะกรรมการของบริษัทและหุ้นส่วนทั้ง 31 คน จะกลับมารวมหุ้นกันอีกครั้ง และได้จัดตั้งวอร์รูมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุแล้ว โดยเบื้องต้นรวบรวมเงินได้จำนวน 2 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถตั้งวอร์รูมได้ภายในวันที่ 5 ม.ค.นี้ ด้าน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บอกว่า พนักงานสอบสวนจะพิจารณาดำเนินคดีนายวิสุขใน 2 ข้อหา คือ ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการ
4. ศาล ตัดสินประหารชีวิต “ธนู หินแก้ว” ฐานจ้างฆ่า “เจริญ วัดอักษร”แกนนำต้านโรงไฟฟ้าบ่อนอก!
เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ศาลอาญา ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีสังหารนายเจริญ วัดอักษร ประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก โดยศาลพิพากษาประหารชีวิตนายธนู หินแก้ว อาชีพทนายความ จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันใช้จ้างวานให้ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ส่วนนายมาโนช หินแก้ว สมาชิกสภาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนายเจือ หินแก้ว อดีตกำนัน ต.บ่อนอก จำเลยที่ 4 และ 5 ในความผิดฐานเดียวกันนั้น ศาลพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังนายเจือ จำเลยที่ 5 ไว้ระหว่างอุทธรณ์ สำหรับนายเสน่ห์ เหล็กล้วน และนายประจวบ หินแก้ว อาชีพรับจ้าง จำเลยที่ 1 และ 2 ที่ถูกตั้งข้อหาความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ได้เสียชีวิตลงขณะคุมขังระหว่างการพิจารณาคดี สำหรับคดีนี้ อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 9 ก.ย.2547 ว่า ประมาณต้นปีถึงกลางปี 2547 นายธนู-นายมาโนช-นายเจือ จำเลยที่ 3-5 ได้บังอาจร่วมกันใช้ จ้างวานให้นายเสน่ห์และนายประจวบ จำเลยที่ 1-2 ใช้ปืนขนาด 9 มม.และ .38 ยิงที่ศีรษะ ใบหน้า และตามร่างกายนายเจริญ ประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก ที่ต่อต้านโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก และต่อต้านการรุกล้ำที่ดินคลองชายธง รวม 9 นัด หลังจากนายเจริญเดินทางกลับจากการเข้าให้ปากคำกับ ป.ป.ช.เรื่องการบุกรุกที่ดินในเขต อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นเหตุให้นายเจริญถึงแก่ความตาย บริเวณสี่แยกบ่อนอก ต่อมาตำรวจจับกุมจำเลยได้ พร้อมแจ้งข้อหาดำเนินคดี โดยจำเลยที่ 1 และ 2 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 3 ,4 และ 5 ซึ่งเป็นพ่อลูกกัน ให้การปฏิเสธ ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1-2 เป็นคนร้ายที่ฆ่านายเจริญจริง เพราะนอกจากจะมีพยานที่เห็นเหตุการณ์และชี้รูปคนร้ายได้ถูกต้องแล้ว จำเลยที่ 1-2 ยังสารภาพเองว่าตนเป็นคนยิงนายเจริญ พร้อมพาไปชี้ที่เกิดเหตุและไปหาอาวุธปืนของกลางที่ทิ้งลงบ่อน้ำ พฤติการณ์จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1-2 มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม จำเลยที่ 1-2 เสียชีวิตระหว่างการพิจารณาคดี โทษอาญาจึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 39(1) ส่วนจำเลยที่ 3 ที่ถูกจำเลยที่ 1-2 ซัดทอดว่า เป็นผู้ใช้จ้างวานให้ฆ่านายเจริญ โดยจำเลยที่ 3 ได้ขับรถไปหาจำเลยที่ 1-2 รวมทั้งเข้าประชุมวางแผน และจัดหาอาวุธปืนให้ ซึ่งมีพยานให้การว่า สาเหตุการฆ่าก็เพราะนายเจริญเป็นแกนนำเคลื่อนไหวต่อต้านโรงไฟฟ้า โดยมีจำเลยที่ 5 ได้รับผลประโยชน์ในการก่อสร้างร่วมกับจำเลยอื่นๆ นั้น ศาลเห็นว่า แม้จำเลยที่ 3 จะถูกจำเลยที่ 1-2 ซัดทอด แต่เมื่อพิจารณาพยานอื่นๆ และการสอบสวนของพนักงานสอบสวนที่ไม่ปรากฏว่ามีการขู่เข็ญหรือบังคับจำเลยเพื่อให้การซัดทอด จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 1-2 ให้การด้วยความสมัครใจ ประกอบกับคำซัดทอดของจำเลยที่ 1-2 ก็ไม่ใช่ซัดทอดให้ตัวเองพ้นผิด นอกจากนี้จำเลยที่ 1-3 ยังมีความใกล้ชิดสนิทสนม พักอยู่ร่วมกันก่อนเกิดเหตุ และมีเหตุจูงใจในการฆ่านายเจริญ คือต้องการฆ่าผู้คัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้า แม้จำเลยที่ 1-2 จะเสียชีวิตไประหว่างการพิจารณาคดี ก็ไม่ได้ทำให้คำให้การมีน้ำหนักลดลง ส่วนที่จำเลยที่ 3 อ้างถิ่นที่อยู่ ศาลก็เห็นว่า เป็นเพียงการอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนัก จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้จ้างวานจำเลยที่ 1-2 ให้ฆ่านายเจริญจริง จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการ ต้องระวางโทษตามความผิดของจำเลยที่ 1-2 พิพากษาลงโทษประหารชีวิต ส่วนนายมาโนช หินแก้ว จำเลยที่ 4 แม้โจทก์จะมีบันทึกการโทรศัพท์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าพูดเรื่องอะไร ศาลจึงเห็นว่า ยังไม่พอฟังได้ว่า จำเลยที่ 4 ร่วมใช้จ้างวานฆ่าผู้ตาย ส่วนนายเจือ หินแก้ว จำเลยที่ 5 ศาลเห็นว่าพยานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นเจ้าของอาวุธปืน ประกอบกับจำเลยที่ 1 ไม่เคยให้การพาดพิงจำเลยที่ 5 แม้จำเลยที่ 2 จะเคยให้การถึงจำเลยที่ 5 แต่ก็กลับคำให้การกลับไปกลับมาจนน่าสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 5 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 4 และ 5 แต่ให้ขังจำเลยที่ 5 ไว้ระหว่างอุทธรณ์ ด้านนางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญ วัดอักษร เผยว่า ตนพร้อมด้วยนักกฎหมายและแกนนำสิ่งแวดล้อมระดับประเทศ จะเปิดแถลงข่าวใน กทม.กลางเดือน ม.ค.นี้ เพื่อกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เพราะนายเจริญเคยสั่งเสียว่า หากถูกยิงตาย ให้นำศพไปเผาที่หน้าทำเนียบรัฐบาล นางกรณ์อุมา ยังขอให้สังคมพิพากษาคนในตระกูลของผู้ต้องหา พร้อมติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดว่าจะมีการอุทธรณ์หรือตัดสินในศาลฎีกาอย่างไร เพราะที่ผ่านมา ชาวบ้านในกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอกต้องอยู่กับความหวาดผวากลุ่มอิทธิพลเถื่อนมานานถึง 5 ปี
5. หาเสียงผู้ว่าฯ กทม.เริ่มเดือด “สุขุมพันธุ์”เตรียมดำเนินคดี “ลีนา จังฯ”ฐานใส่ร้ายให้เสียหาย!
บรรยากาศการหาเสียงของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในช่วงก่อนโค้งสุดท้าย ไม่เพียงเป็นไปด้วยความคึกคัก แต่ยังเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดกับผู้สมัครบางรายด้วย โดยนายแก้วสรร อติโพธิ หมายเลข 12 กลุ่มกรุงเทพฯ ใหม่ บอกว่า การเลือกตั้งเป็นของประชาชน ดังนั้นประชาชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมดูแลไม่ให้มีการทุจริต พร้อมยืนยันว่า การลงสมัครครั้งนี้ ไม่ได้มาของานทำ เพราะไม่ได้ตกงาน และมีเงินเดือน อย่างไรก็ตาม นายแก้วสรร โอดครวญว่า “ผมไปแจกเอกสารแนะนำตัวที่หน้าห้างดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ถูกไล่อย่างกับหมูกับหมา ทั้งที่ขอแค่พื้นที่ทางเข้าเพื่อสื่อสารกับประชาชน” ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร หมายเลข 2 จากพรรคประชาธิปัตย์ ก็ถูกผู้สมัครอย่างนางลีนา จังจรรจา หมายเลข 3 ออกมาดิสเครดิตอย่างไม่คาดคิดเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. นางลีนา ได้กล่าวระหว่างแสดงวิสัยทัศน์ในโครงการ “รวมพลังสามัคคีเลือกคนดีเป็นผู้ว่าฯ กทม.2552” ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร โดยแฉว่า มีผู้สมัครฯ ผู้ว่าฯ กทม.ตัวเต็งรายหนึ่ง ไล่น้องชายและหลานแท้ๆ ออกจากบ้านพักย่านสุขุมวิท โดยไม่มีเหตุผล คือ พ.อ.ม.ร.ว.วโรรส ,ม.ล.วรภานัน และ ม.ล.ภูมิอาชว์ บริพัตร ทั้งนี้ นางลีนา อ้างว่าได้รับเรื่องร้องเรียนเรื่องนี้จากนางวรภาทิพย์ บริพัตร ภรรยา พ.อ.ม.ร.ว.วโรรส บริพัตร ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พร้อมครอบครัว ได้รีบเปิดแถลงตอบโต้นางลีนา จังจรรจา ทันทีในวันต่อมา(30 ธ.ค.) โดยบอกว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายในครอบครัวที่เกิดขึ้นมานาน ไม่อยากให้นำมาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง และว่า คณะทำงานได้รวบรวมข้อมูล คำกล่าวอ้างของนางลีนาเพื่อเตรียมดำเนินคดีหลังเลือกตั้งเสร็จ ด้านหม่อมดุษฎี บริพัตร ชายาในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุขุมาภินันท์ มารดาของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ซึ่งร่วมแถลงข่าวกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยืนยันว่า ไม่เคยไล่ใครออกจากบ้านพักที่สุขุมวิท และว่า ห้องของครอบครัวบุตรชายคนรองก็ยังอยู่ครบ รวมทั้งได้จ่ายเงินค่าเลี้ยงดูให้ทุกเดือนๆ ละ 1 แสนบาท หม่อมดุษฎี ยังแฉกลับฝ่ายที่ออกมาแฉก่อนด้วยว่า ก่อนหน้าที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์จะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. บุตรชายคนรองก็มาขอเงิน 50 ล้านบาท เพื่อจะได้ไม่ออกมาวุ่นวาย ส่วนการออกไปจากบ้านหลังนี้ เป็นความต้องการของบุตรชายคนรองและสะใภ้เอง และเป็นผู้จ่ายเงิน 16 ล้านบาท เพื่อซื้อบ้านหลังใหม่ให้เอง หม่อมดุษฎี ยังบอกด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนอาจตัดสินใจทำอะไรที่ไม่อยากทำ เช่น งดจ่ายเงินเดือน และตัดใจไม่พบกับหลานที่รักมาก ด้านนายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต.ด้านการมีส่วนร่วม บอกว่า ได้ส่งบันทึกคำพูดของนางลีนา จังจรรจา ที่กล่าวพาดพิงผู้สมัครรายอื่น ซึ่งอาจเข้าข่าย พ.ร.บ.เลือกตั้งมาตรา 57(5) ที่ห้ามผู้สมัครหรือผู้ใดพูดใส่ร้าย หรือหลอกลวงผู้สมัครคนอื่น ไปยัง กกต.กลางแล้ว ขั้นตอนต่อไป กกต.กลางจะต้องสืบสวนสอบสวน โดยเรียกคู่กรณีมาสอบถามข้อเท็จจริง คาดว่าจะได้ข้อสรุปในวันที่ 5 ม.ค.นี้ ขณะที่นางลีนา จังจรรจา ยืนยันว่า ได้ใช้เวทีแสดงวิสัยทัศน์พูดสิ่งที่ได้รับร้องเรียน โดยไม่ได้กล่าวอ้างชื่อผู้ใดทั้งสิ้น และไม่กังวลว่าจะถูก กกต.ตัดสิทธิ เพราะไม่ได้พูดข้อความเท็จ หรือใส่ร้ายผู้ใด แต่มีผู้มาร้องเรียนและมีข้อมูลที่เป็นความจริง ด้านนิด้าโพล ได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.โดยพบว่า อันดับ 1 ยังคงเป็น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ร้อยละ 26.7 ,อันดับ 2 ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ร้อยละ 21 ,อันดับ 3 นายยุรนันท์ ภมรมนตรี ร้อยละ 10.7 และอันดับ 4 นายแก้วสรร อติโพธิ ร้อยละ 5