ภาคเอกชนด้านการลงทุนจ่อเข้าพบ "เศรษฐา" ภายใน 1 เดือน หวังเสนอมาตรการส่งเสริมการออมให้นักลงทุน รวมถึงการเสนอกองทุนลดหย่อนภาษี ทดแทนกอง SSF ที่กำลังจะครบกำหนด ล่าสุดอุตสาหกรรมจัดการลงทุนรวมพลังเปิดตัวโครงการ “ออมเบอร์ 5” ตั้งเป้าขยายฐานผู้ถือหน่วยกองทุนรวมหน้าใหม่ตั้งเป้าเกิน 2 หมื่นราย ลงทุนสม่ำเสมออย่างน้อยเดือนละ 500 บาท
นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า การส่งเสริมการออมการลงทุนเป็นสิ่งที่ภาคเอกชนให้ความสำคัญ และมีการพูดคุยกันในส่วนขององค์กรที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะสามารถเข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ภายใน 1 เดือนต่อจากนี้เพื่อเสนอแนวทางการส่งเสริมการออมด้วยการลงทุน
ทั้งนี้ เข้าใจว่ารัฐบาลชุดใหม่ให้ความสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจมาเป็นอันดับแรก แต่การออมของคนไทยถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน โดยกองทุน SSF ที่ให้ลดหย่อนภาษีก็ใกล้จะครบกำหนดการให้สิทธิ์แล้วคงต้องมีการนำเสนอแนวทางในการส่งเสริมการออมด้วยสิทธิทางภาษีอื่นนอกจากนี้ การตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติก็ถือว่ามีความสำคัญที่ต้องส่งเสริมและดูแนวทางกันต่อไป
“อาจจะปัดฝุ่นกอง SSF หรือรูปแบบ LTF ที่ได้รับความนิยมมากกว่า เพราะมีการขายระหว่างทางได้ก็ต้องดูก่อน แต่ส่วนหนึ่งจะให้ความสำคัญต่อการลงทุนด้าน ESG ด้วยโดยเฉพาะการลงทุนในประเทศหรือทั่วโลก แต่จะไม่ตัดสิทธิ์ให้ลงทุนแต่ในประเทศ เพราะการลงทุนต้องกระจายตัวไม่งั้นเกิดตลาดไทยซึมพอร์ตนักลงทุนอาจมีปัญหาได้” นางชวินดากล่าว
** รวมพลังเปิดตัวโครงการ “ออมเบอร์ 5”**
นางวรัชญา ศรีมาจันทร์ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้กล่าวสนับสนุนโครงการออมเบอร์ 5 ว่า “ก.ล.ต.มีเป้าหมายให้ประชาชนมีสุขภาพทางการเงินที่ดี โดยการสะสมเงินออมและลงทุนในตลาดทุนเพื่อตอบสนองความต้องการใช้เงินในระยะยาว และเห็นว่า “โครงการออมเบอร์ 5” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสมาคมบริษัทจัดการลงทุน บริษัทจัดการลงทุน ตัวแทนขายหน่วยลงทุนและสมาคมธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ก.ล.ต.เป็นโครงการที่สามารถช่วยให้ผู้ลงทุนในวงกว้างสามารถเข้าถึงการลงทุนในกองทุนรวมได้ด้วยเงินลงทุนไม่มาก และมีวินัยในการลงทุนแบบสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
นางชวินดากล่าวอีกว่า จำนวนผู้ลงทุนบุคคลในกองทุนรวมมีจำนวนเพียง 1.7 ล้านคนในปี 2565 ถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของประเทศ โครงการนี้เราจึงตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ลงทุนหน้าใหม่โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน หรือคนที่ไม่เคยออมด้วยการลงทุนอายุระหว่าง 22-55 ปี และคาดว่าจะมีนักลงทุนกลุ่มนี้มาเปิดบัญชีได้เกินกว่า 2 หมื่นราย
นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า “การลงทุนระยะยาวแบบประกันชีวิตจะช่วยให้ตลาดทุนไทยพัฒนาเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ ที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญต่อการสร้างบุคลากรในธุรกิจประกันชีวิตให้มีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ตลาดทุน สามารถให้คำแนะนำและวางแผนการลงทุนใน Investment Link Insurance Products (“ILP”) ซึ่งได้แก่ กรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุน (“Unit Linked”) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการออมและลงทุน และให้โอกาสของผลตอบแทนในระยะยาวที่สูงขึ้น เชื่อมั่นว่าโครงการออมเบอร์ 5 จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการเติบโตของผลิตภัณฑ์ unit linked และช่วยให้เกิดการต่อยอดกับกลุ่มลูกค้าประกันชีวิตที่มีอยู่เดิมและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้มากขึ้น”