บลจ.อีสท์สปริงคาด AUM โต 6% แตะ 3.8 แสนล้านบาท คาดหุ้นไทยอยู่ในกรอบ 1,590-1,620 จุด รับการเมืองนิ่ง กลุ่มท่องเที่ยว เช่น โรงแรม โรงพยาบาล และการบริโภคในประเทศ น่าสนใจ ส่วนไฟแนนซ์น่าจะได้รับอานิสงส์จากการกระตุ้น ศก.จากรัฐบาลใหม่
นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยว่า ความผันผวนของตลาดการลงทุนทั่วโลกเป็นความท้าทายของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในการแสวงหาสินทรัพย์เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยในปีนี้คาดว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการสุทธิของบริษัทจะเติบโตได้ประมาณ 6% หรือประมาณ 380,000 ล้านบาท
ส่วนในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการสุทธิ (Asset Under Management หรือ AUM) อยู่ที่ 3.6 แสนล้านบาท และยังสามารถครองสัดส่วนการตลาดธุรกิจกองทุนรวมเป็นอันดับ 6 มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการอยู่ที่ 3.3 แสนล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 6.87% (ข้อมูลจาก AIMC ณ 31 ธันวาคม 2565)
ทั้งนี้ สิ่งที่โดดเด่น คือ การเป็นผู้เชี่ยวชาญในเอเชียที่มีมุมมองการลงทุนระดับโลก โดยเฉพาะการสร้างโอกาสในการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Funds หรือ FIFs) ส่งผลให้บริษัทฯ ครองสัดส่วนการตลาดอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนรวม FIF ประเภทตราสารหนี้ มีส่วนแบ่งตลาด 28% ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ มูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาทจากกองทุนรวม FIF ทั้งหมดของบริษัทฯ ซึ่งครองสัดส่วนการตลาดอันดับ 2 ของอุตสาหกรรมที่ 17% ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ 1.18 แสนล้านบาท (ข้อมูลจาก AIMC ณ 31 ธันวาคม 2565)
“เรายังเป็นหนึ่งในผู้นำด้านนวัตกรรมของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยเรามีโปรแกรมช่วยคำนวณการลงทุนสำหรับการวางแผนการเงินให้เกษียณสุข และ ลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถติดตามผลการลงทุนได้ทุกวัน 24 ชม. ตลอด 7 วัน โดยส่งผลให้มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ณ สิ้นปี 2565 กว่า 5.7 หมื่นล้านบาท (ข้อมูลจาก AIMC ณ 31 ธันวาคม 2565)” นางสาวดารบุษป์กล่าว
นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้น่าจะอยู่ในกรอบ 1,590-1,620 จุด ที่พี/อี(P/E) 17 เท่า โดยหุ้นไทยน่าจะได้รับปัจจัยบวกจากในประเทศเป็นหลักหลังการเมืองเริ่มมีความชัดเจน
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุน คือกลุ่มหุ้นใหญ่ ที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์หากมีฟันด์โฟลว์กลับเข้ามา ประกอบด้วยหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว เช่น โรงแรม โรงพยาบาล และการบริโภคในประเทศ รวมถึงกลุ่มไฟแนนซ์ ที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ
ถึงทิศทางการลงทุนในช่วงต่อจากนี้ ในมิติของเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัวแต่อาจไม่ถึงกับถดถอย ขณะที่เศรษฐกิจจีนถึงแม้จะเติบโตต่ำกว่าที่คาด แต่เริ่มเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลังเริ่มทยอยออกมา ทำให้ภาพของเศรษฐกิจโลกอาจเป็นลักษณะของการชะลอตัว ในส่วนของเงินเฟ้อที่กดดันธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกในปีที่ผ่านมา ทำให้ต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอเงินเฟ้อ ในปีนี้เงินเฟ้อเริ่มเห็นการชะลอตัวอย่างชัดเจน ส่งผลให้ปีนี้โดยเฉพาะไตรมาส 3 อาจเป็นการจบรอบของดอกเบี้ยขาขึ้นโดยเฉพาะฝั่งของสหรัฐฯ และอาจรวมถึงยุโรปด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงอีกสักระยะ ส่งผลให้การลงทุนยังมีความผันผวน
“หากไปดูภาพของการลงทุนเราเริ่มเห็นการหยุดปรับประมาณการกำไรลดลงของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรปที่เริ่มมีการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น ขณะที่ระดับมูลค่าการซื้อขาย (P/E) บางดัชนีของตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มสูงขึ้น แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยที่เป็น Fair Value เช่น ตลาดหุ้นโลก ตลาดหุ้นเอเชีย และยังมีบางตลาดที่ถือว่าอยู่ในระดับที่ยังถูกกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง เช่น ตลาดหุ้นยุโรป และตลาดหุ้นเวียดนาม เป็นต้น” นายยิ่งยงกล่าว