บลจ.กรุงไทยโชว์AUM7.8แสนล้าน คาดภาพรวมลงทุนโค้งสุดท้ายปี66ดีขึ้น หลังการขึ้นดอกเบี้ยใกล้จุดสูงสุด แนะลงทุนตราสารหนี้ล็อกผลตอบแทนก่อนปีหน้าอาจเห็นการปรับลง ขณะที่หุ้นไทยดาวน์ไซด์ต่ำ อัพไซด์น่าสนใจ ดัชนีสิ้นปี 1.640 จุดรับรับอานิสงส์ท่องเที่ยวไฮซีซั่น แถมฟันด์โฟลว์จ่อกลับไทยหลังเทขายในช่วงที่ผ่านมา ส่วนการเมืองยังไม่นิ่งต้องรอจัดรัฐบาลใหม่เรียบร้อย
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด (AUM) ภายใต้การจัดการของบริษัทอยู่ที่ที่ 789,261 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนตลาดที่ 9.2% เติบโต 3.3% YoY แบ่งเป็น กลุ่มธุรกิจกองทุนรวม (Mutual Fund) อยู่ที่ 571,197 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนตลาดที่ 11.5% เติบโต 1.6 % YoY, กลุ่มธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) อยู่ที่ 59,715 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนตลาดที่ 2.7% เติบโต 32.1% YoY และกลุ่มธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) อยู่ที่ 158,349 ล้านบาท คิดเป็น 11.4% เติบโต 1.2% YoY
ทั้งนี้ภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกจากนี้ถึงสิ้นปีว่า ภาพรวมตลาดการลงทุนของโลกมีปัจจัยที่สนับสนุน ได้แก่ การที่อัตราเงินเฟ้อน่าจะผ่านจุดสูงสุดแล้ว แต่การลดลงของอัตราเงินเฟ้อเป็นไปอย่างเชื่องช้าซึ่งส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยจะคงอยู่ในระดับสูงอีกระยะหนึ่ง แต่ก็จะไม่ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แต่จะเป็นการเติบโตอย่างช้าๆ (Soft Landing) ก่อนที่ธนาคารกลางจะทำการลดอัตราดอกเบี้ยในประมาณกลางปีหน้า อย่างไรก็ดี ยังคงมีปัจจัยที่ยังมีความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องคือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risk) ที่ยังคงต้องติดตาม
ทั้งนี้การลงทุนในตราสารหนี้ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจโดยจะต้องเพิ่มอายุตราสารหนี้ให้ยาวขึ้นเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยใกล้จุดสูงสุดแล้ว ขณะที่การลงทุนในหุ้นยังมีความน่าสนใจ และมีโอกาสเพิ่มผลตอบแทนได้ โดยหากเป็นหุ้นแนะนำให้ลงทุนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนธีมการลงทุนจะเป็นการลงทุนในกลุ่มสุขภาพ หรือ AI ที่เป็นธีมการลงทุนในระยะยาว
สำหรับสัดส่วนการลงทุนของพอร์ตที่แนะนำจะแบ่งเป็น ความเสี่ยงสูงลงทุนในหุ้น 70% และตราสารหนี้ 30% ความเสี่ยงปานกลาง ลงทุนในหุ้น 55% ตราสารหนี้ 45% และความเสี่ยงต่ำลงทุนในหุ้น 30% ตราสารหนี้ 70%
นางชวินดา กล่าวอีกว่า แนวโน้มการลงทุนในหุ้นไทยต่อจากนี้ เชื่อว่าจะได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวและการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซั่นสำหรับการท่องเที่ยว โดยคาดว่าหุ้นไทยต่อจะนี้จะมีดาวน์ไซด์จำกัดเมื่อเปรียบเทียบกับอัพไซด์ทำให้ดูน่าสนใจมากขึ้น โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนอยู่ที่ประมาณ 10-12% มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ระดับ 3.2-3.4% เป็นระดับที่ Valuation ไม่แพงนัก ซึ่งปัจจุบัน P/E อยู่ที่ประมาณ 15-16 เท่า โดยประเมิน SET Target ที่ 1,640 จุด ณ สิ้นปี 2566
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยได้สะท้อนความกลัวและความกังวลของนักลงทุนในประเด็นความเสี่ยงจากการเมือง และการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไปพอประมาณแล้ว ขณะที่สัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับต่ำจากการขายออกมาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ และคาดการณ์แนวโน้มค่าเงินบาทที่น่าจะกลับมาแข็งค่าจากปัจจัยเศรษฐกิจที่น่าจะดีขึ้น จึงคาดว่าจะเป็นปัจจัยที่จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติให้กลับเข้าตลาดตราสารทุนไทยได้
"การเมืองไทยถือเป็นอีกปัจจัยที่ต่างชาติจับตา ซึ่งถ้าต่างชาติจะกลับเข้าลงทุนคงต้องรอการเมืองนิ่งก่อน แต่ตอนนี้ทิศทางยังไม่แน่นอน ซึ่งเชื่อว่าจะชัดเจนขึ้นก็ต่อเมื่อได้เห็นการจัดตั้งรัฐบาลและพรรคร่วมทั้งหมด รวมถึงการวางตัวรัฐมนตรีที่ว่าจะมีใครเข้ามาดูแลในแต่ละกระทรวงบ้างถึงตอนนั้นน่าจะเริ่มตัดสินใจกลับเข้ามาลงทุนได้"นางชวินดากล่าว
สำหรับ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปี จะพิจารณาเลือกสรรหุ้นและอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ หุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค และภาคบริการภายในประเทศ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกประคองตัวได้ (ไม่เป็น Recession รุนแรง) และหุ้นที่ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ มองว่าให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีในปีนี้ จากทั้งเศรษฐกิจที่ไม่ได้เกิดภาวะถดถอยดังที่นักวิเคราะห์กังวลก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจมีความทนทานต่อดอกเบี้ยสูงได้ดีกว่าที่หลายฝ่ายคาด นักวิเคราะห์มีการทยอยปรับประมาณการกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น รวมถึงเงินเฟ้อที่สูงก็ส่งผลดีต่อตัวเลขรายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียน กระแสการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็ส่งผลดีต่อกลุ่มเทคโนโลยีค่อนข้างมากด้วยเช่นกัน ทั้งนี้บลจ.กรุงไทย ได้ประเมินภาพการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้นแต่ตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนสูง ดังนั้น การเลือกลงทุน (Selection) จึงมีความสำคัญมากขึ้น โดยจะเป็นลักษณะที่จะเลือกการลงทุนเป็นประเทศๆ จะไม่มีการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันทั้งโลก จากการที่ประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราเงินเฟ้อในระดับสูงกว่าในประเทศเกิดใหม่หลายประเทศซึ่งมีอัตราเงินเฟ้อต่ำและสามารถดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำได้ ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในครึ่งหลังของปี โดยหลังจากที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาพอสมควร ทำให้บางตลาดเริ่มมี Valuation ที่ “แพง” นักลงทุนจึงอาจต้องเน้นในกลุ่มประเทศ/อุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการเติบโตที่มีคุณภาพในระยะยาว รวมถึงการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดีและมีอายุเฉลี่ยที่ยาวขึ้น
ดังนั้น นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้ ก็ควรให้ความสนใจที่จะเลือกลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่สูงกว่าตราสารหนี้ เนื่องจากตลาดตราสารหนี้นั้น อัตราดอกเบี้ยอาจจะใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้วและน่าจะมีทิศทางอ่อนตัวลง ซึ่งอาจเหมาะกับการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนสูงไม่ได้
การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ
ในส่วนของการนำเสนอผลิตภัณฑ์กองทุนนั้น บริษัทได้พยายามเฟ้นหาโอกาสการลงทุนจากผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน และเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน บริษัทมีแผนจะนำเสนอกองทุนประเภท Structure Product มากขึ้น ซึ่งเป็นการลงทุนที่เน้นความปลอดภัยของเงินลงทุน และอ้างอิงกับผลตอบกับกับดัชนีต่างๆ ตามสภาวะตลาด เพื่อเปิดรับโอกาสที่จะสามารถหาผลตอบแทนได้ทั้งจากในช่วงที่ตลาดปรับขึ้นและปรับลงได้ รวมถึงจะทยอยเปิดกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นทางเลือกที่หลายหลายให้นักลงทุนยิ่งขึ้น โดยจะเน้นรายประเทศ หรือกลุ่มประเทศที่น่าสนใจ และมีโอกาสสร้างการเติบโตในระยะยาว อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงยึดหลักการบริหารจัดการอย่างรอบคอบระมัดระวัง ภายใต้กระบวนการการกำกับดูแลที่ดีโดยคำนึงถึงประโยชน์ของนักลงทุนเป็นสำคัญอยู่เสมอ
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนให้กับนักลงทุน ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ให้มีความหลากหลายถึง 11 ช่องทาง ได้แก่ Facebook, YouTube, Line, TikTok, Instagram, Twitter, Threads, Blockdit, Clubhouse, PodBean, และ Spotify เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์และบทวิเคราะห์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ บริษัทฯ มีฐานลูกค้าในทุกดิจิทัลแพลตฟอร์มรวม PVD online และ Krungthai NEXT กว่า 1.53 ล้านราย (ข้อมูล ณ 31 ก.ค. 2566)
นอกจากนี้ บริษัทยังคงผลักดันให้มีการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนและการบริการให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งพัฒนาแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน โดยล่าสุดได้เพิ่มบริการหักเงินค่าซื้อกองทุนเพื่ออำนวยความสะดวกนักลงทุนที่ใช้บริการธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น อีกทั้งเรายังคงส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ภายใต้เทคโนโลยีความปลอดภัยต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าข้อมูลของลูกค้าทั้งหมดจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องกังวล โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีนักลงทุนที่ใช้บริการผ่าน KTAM Smart Trade แล้วกว่า 44,000 บัญชี