xs
xsm
sm
md
lg

ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ต้องติดตามประเด็นไหนบ้าง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



 
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หรือประมาณ 1 ใน 4 ของเศรษฐกิจโลก ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน ทั้งยังมีหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่นักลงทุนรู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันดีอยู่มากมาย เช่น Facebook, Google หรือ Amazon ดังนั้น จึงถือเป็นขุมทรัพย์การลงทุนขนาดใหญ่ที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ

เมื่อมีโอกาสการลงทุนในหุ้นเติบโตของสหรัฐฯ คราวนี้ลองมาดูกันบ้างว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่จะมีผลต่อการลงทุนในสหรัฐฯ ที่นักลงทุนควรติดตาม

เรื่องนี้ (น.ส.) ดร.มิ่งขวัญ ทองพฤกษา Chief Economist  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือกองทุนบัวหลวง ระบุว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามมีอยู่ 4 เรื่อง คือ

1. นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
2. ติดตามเงินเฟ้อ
3. ดูการจ้างงาน
4. ติดตามการผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในสภาคองเกรส
 
สำหรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) นักลงทุนต้องจับตาว่าเฟดคิดอะไรอยู่ จะทำอะไรต่อไป เฟดมองตัวแปรไหนเป็นตัวชี้วัดประเมินผลงาน (KPI) โดยช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าการอัดสภาพคล่องซื้อสินทรัพย์จากสถาบันการเงิน เป็นเหตุผลทำให้สภาพคล่องล้นตลาดจนเข้าสู่ตลาดทุน และทำให้ตลาดทุนเดินตามเกมนโยบายการเงินของเฟดอยู่ตลอด

ส่วนการติดตามเงินเฟ้อ เรื่องนี้ก็สืบเนื่องมาจากนโยบายการเงินของเฟดนั่นเอง เพราะ KPI อย่างหนึ่งของเฟดคือ เงินเฟ้อ ซึ่งเฟดอยากเห็นเงินเฟ้อที่ 2% แต่เวลานี้ถ้าดูตัวเลขเงินเฟ้อรายเดือนที่ออกมา แล้วคูณไป 12 เดือน จะพบว่าอัตราเงินเฟ้อเกินกว่า 2% ไปมากแล้ว

อย่างไรก็ดี เฟดเคยออกมาบอกว่าจะยอมให้เงินเฟ้อเกิน 2% ได้ เพราะเข้าใจได้กับช่วงเวลานี้ที่ความต้องการสินค้าล้นตลาดเพราะอั้นไว้นานในช่วงที่ล็อกดาวน์จากโควิด-19 ดังนั้นก็คงต้องจับตากันต่อไปว่า ถ้าเงินเฟ้อกลับมาสู่ระดับปกติ คือปรับขึ้นเดือนละ 0.2-0.3% แล้ว เฟดอาจกลับมาสนใจตัวชี้วัดนี้อีกครั้ง  
เรื่องที่ต้องดูการจ้างงาน เพราะการจ้างงานเป็นเครื่องชี้เศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นช้ากว่าตัวอื่นๆ จะเรียกว่าเป็นตัวชี้วัดท้ายสุดที่จะปรับขึ้นก็ได้ ซึ่งปกติแล้วนโยบายการเงินที่ดีจะต้องรอให้เครื่องชี้เศรษฐกิจขยายตัวให้ครบก่อนจึงจะพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย ดังนั้น เฟดเองก็น่าจะรอดูการจ้างงานก่อน หากดีขึ้นแล้ว จึงพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกรอบ

เมื่อไม่นานมานี้มีการประกาศการจ้างงานนอกภาคเกษตรรอบล่าสุด เกิดการจ้างงานกว่า 9 แสนตำแหน่ง ทำให้ตำแหน่งที่ยังขาดคนลดลงไปเรื่อยๆ

ในช่วงเกิดโควิดนั้นตำแหน่งงานหายไปกว่า 20 ล้านตำแหน่ง ในช่วงเวลานี้ตำแหน่งงานถูกเติมเต็มเพิ่มมากว่า 5 ล้านตำแหน่ง หากคำนวณต่อไปในระยะข้างหน้าแล้ว ถ้าจำนวนตำแหน่งงานเพิ่มในระดับ 8-9 แสนตำแหน่งต่อเดือน การจ้างงานก็น่าจะกลับไปอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดโควิดในอีก 8-10 เดือนข้างหน้า เมื่อถึงเวลานั้นก็ต้องจับตาดูว่าเฟดจะเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินหรือไม่ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเห็นเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2565

ส่วนการลดหรือชะลอซื้อสินทรัพย์สภาพคล่อง ที่เรียกว่าทำ taper นั้น ไม่อยากให้นักลงทุนกังวลกับประเด็นนี้มาก เพราะการทำ taper ไม่ได้แปลว่าลดอย่างเดียว แต่อาจหมายถึงคงระดับไว้ก็ได้ ซึ่งกว่าที่เราจะเห็นการลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ เฟดจะต้องแน่ใจก่อนว่าสถาบันการเงินที่นำสินทรัพย์มาขายให้จะอยู่ได้ และคงต้องเห็นอัตราดอกเบี้ยไต่ขึ้นไปช่วงหนึ่งก่อนจึงจะเห็นการลดซื้อสินทรัพย์เกิดขึ้น

สุดท้ายคือ การผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในสภาคองเกรส เพราะสหรัฐฯ เป็นประเทศที่การเมืองเป็นประชาธิปไตยสูงสุดในโลก จึงต้องมีการลงคะแนนเสียงและต่อรองกันในสภา ซึ่งโดยปกติแล้ว ประธานาธิบดีไม่ใช่คนที่มีความสำคัญมากๆ ในสภาคองเกรส คนที่สำคัญสุดคือ ประธานสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และประธานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ซึ่งก็คือ ชัค ชูมเมอร์ กับ แนนซี เพโลซี เวลาจะผลักดันนโยบายอะไรให้ผ่านสภาคองเกรสต้องผ่านทั้ง ส.ส. ส.ว. ซึ่งการจะทำอย่างนี้ได้เสียงส่วนมากต้องเป็นเดโมแครตชนะ

หากพิจารณาภาพในครั้งที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา เป็นประธานาธิบดี ก็มีการผลักดันนโยบายด้านสุขภาพ Obama care สำเร็จ เพราะเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา แต่ฝันดีของโอบามานั้นมีรอบเดียว เพราะในรอบสุดท้ายของสภา คือช่วงเทอมที่ 2 โอบามาเป็นประธานาธิบดีเสียงข้างน้อย ไม่สามารถผลักดันนโยบายอะไรได้เลย เมื่อนำมาเทียบกับไบเดนในรอบนี้ แปลว่าในช่วง 4 ปีที่ดำรงตำแหน่ง 2 ปีแรกซึ่งเป็นเทอมแรก ไบเดนจะต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ผลักดันนโยบายการคลังออกมาให้ได้มากที่สุด เพราะตอนนี้ยังครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภาอยู่

ปัจจุบันนโยบายที่ผลักดันสำเร็จมีอย่างเดียว คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยเรื่องโควิด มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน Build Back Better แผนยุทธศาสตร์ฟื้นฟูสหรัฐฯ ของโจ ไบเดน แต่นโยบายอื่นๆ เช่น พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันทางอุตสาหกรรม เน้นหนักที่กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ และกฎหมายลูกเกี่ยวกับชิปยังค้างอยู่ในสภา ยังผลักดันไม่สำเร็จ หากนโยบายนี้ผลักดันสำเร็จจะมีมูลค่าหลักแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ และยานยนต์ได้อานิสงส์

นอกจากนี้ ใน Build Back Better ยังมีอีก 2 เรื่องที่ยังไม่ได้ผลักดันให้สำเร็จ คือ โครงการโครงสร้างพื้นฐานและ พ.ร.บ.ว่าด้วยเรื่องครอบครัวสหรัฐฯ ที่มีเรื่องให้การศึกษาเด็ก ซึ่งถ้าผลักดันได้ก็จะทำให้มีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ค่อนข้างมาก เช่น กลุ่มพลังงานสะอาด กลุ่มก่อสร้าง เป็นต้น

ทั้งนี้ (น.ส.) ดร.มิ่งขวัญแนะนำว่า ถ้าตัดเรื่องทิศทางนโยบายการเงินออกไป แล้วไปดูผลตอบแทนที่หุ้นสหรัฐฯ ทำได้ต่อปี จากข้อมูลในอดีต พบว่ามีน้อยปีมากๆ ที่ผลตอบแทนจากหุ้นสหรัฐฯ ติดลบ ภาพรวมส่วนใหญ่จะให้ผลตอบแทนที่ดีหลายปีติดต่อกัน ดังนั้น ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็เชื่อว่าผู้จัดการกองทุนสามารถหากลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์นั้นๆ ได้  

นี่คือ คำแนะนำจากนักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนบัวหลวง ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว หากสนใจลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กองทุนบัวหลวงก็มีกองทุนน้องใหม่ชื่อว่า กองทุนเปิดบัวหลวงยูเอสอัลฟ่า (B-USALPHA) ที่กำลังเปิดขาย IPO วันที่ 17-24 ส.ค.นี้ ซึ่งสามารถติดตามรายละเอียดได้ในเว็บไซต์กองทุนบัวหลวง
กำลังโหลดความคิดเห็น