xs
xsm
sm
md
lg

ต้องทำอย่างไรถึงชนะ SET Index?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โดย ทีมจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด
ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือเรียกกันติดปากว่า SET Index เป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ทั้งหมด (Composite Index) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยการคำนวณจะถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Weight) กล่าวคือ การเคลื่อนไหวของหุ้นที่มีมูลค่าตลาดมากกว่าจะมีผลต่อ SET Index มากกว่า ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาดัชนีผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์ (SET Total Return Index, SET TRI) ซึ่งได้รวมผลตอบแทนจากสิทธิในการจองซื้อและเงินปันผล เพื่อให้ดัชนีสะท้อนผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ดียิ่งขึ้น

SET Index และ SET TRI มีแนวคิดเรียบง่าย ตรงไปตรงมา และมักถูกใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงวัดผลการดำเนินงานของการลงทุนเรื่อยมา แต่จากสถิติย้อนหลังพบว่าการสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าเกณฑ์อ้างอิงมีความท้าทายอย่างยิ่ง ทำให้เรามักจะได้ยินเสมอว่านักลงทุนส่วนใหญ่แพ้ตลาด แม้กองทุนที่บริหารโดยมืออาชีพก็ไม่มีข้อยกเว้น นำมาซึ่งคำแนะนำสำหรับนักลงทุนทั่วไปว่าให้ลงทุนในกองทุนดัชนี (Index Fund) แม้ว่าจะให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนีผลตอบแทนรวมเล็กน้อยเสมอจากค่าใช้จ่ายต่างๆ ของกองทุน แต่ก็ยังดีกว่า Active Fund ที่มีความไม่แน่นอนสูงกว่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการสร้างผลตอบแทนให้เหนือกว่าตลาดโดยรวมจะเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่ก็ไม่ยากเกินจะเป็นไปได้ ซึ่งมีตัวอย่างนักลงทุนมากมายที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้สูงกว่าตลาดโดยรวม หรือในกรณีของกองทุนรวมก็มีตัวอย่างกองทุน Active Fund ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดในระยะยาวเช่นกัน

การจะสร้างผลตอบแทนสูงกว่าตลาดเป็นส่วนผสมของหลายๆ ปัจจัย โดยแนวคิดพื้นฐาน 3 ด้านต่อไปนี้ได้แก่ การคัดเลือกหุ้นที่ดี การกระจายความเสี่ยง และระยะเวลาในการลงทุนที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นได้เป็นอย่างดี

1) การคัดเลือกหุ้นที่ดีเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว นักลงทุนควรคำนึงเสมอว่าหุ้นคือสิทธิความเป็นเจ้าของในธุรกิจ การเลือกซื้อหุ้นก็เสมือนการเลือกซื้อธุรกิจ ราคาหุ้นคือสิ่งที่เราจ่ายเพื่อแลกกับกำไรของกิจการที่จะสร้างขึ้นได้ในอนาคต ดังนั้น พยายามโฟกัสกับคำว่า Business Model มากกว่ากำไรของผลประกอบการระยะสั้น ซึ่งต้องสามารถเข้าใจธุรกิจที่เราลงทุนได้ โดยหากธุรกิจนั้นๆ ขายสินค้าหรือบริการที่คู่แข่งเลียนแบบได้ยาก ย่อมน่าสนใจกว่าธุรกิจที่แข่งขันกันด้วยราคา หรือในกรณีนักลงทุนที่ทำงานในสายร้านอาหาร ย่อมมีแนวโน้มในการมองเห็นโอกาสของธุรกิจร้านอาหารได้ก่อนนักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นอย่างแน่นอน

2) การกระจายความเสี่ยง “อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าเดียว” จะเป็นคำแนะนำที่เราได้ยินเสมอในการลงทุน การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการบริหารเงินลงทุน ถึงกับมีคำกล่าวว่า “Diversification is the only free lunch in investing.” เพราะว่าการกระจายความเสี่ยงจะช่วยลดความผันผวนของผลตอบแทนจากการลงทุน ในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มผลตอบแทนที่คาดหวังได้ โดยที่ระดับความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนเท่าเดิม นักลงทุนจึงควรกระจายการลงทุนไปในหุ้นของหลายๆ บริษัท ในหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อลดความเสี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่มีโอกาสเข้ามาสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการลงทุน

3) ลงทุนจากมุมมองระยะยาว แม้ว่าในระยะสั้นจะมีปัจจัยมากมายที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น แต่ในระยะยาวความสามารถในการทำกำไรเป็นปัจจัยเดียวที่สำคัญที่สุดในการกำหนดทิศทางของราคา ในการลงทุนนักลงทุนควรให้เวลาหุ้นที่เราเลือก อย่ารีบคาดคั้นผลตอบแทนเร็วเกินไป ฉะนั้นหากหุ้นของเรา ประกาศผลประกอบการที่น่าประทับใจ แต่ราคายังไม่สะท้อนผลการดำเนินงาน อาจต้องให้เวลา เพราะหลายๆ บริษัทอาจต้องใช้เวลาหลายๆ ปี ถึงจะเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นแบบเป็นหุ้นเด้งในปีที่ 3-4 ของการถือหุ้นตัวนั้นๆ

นอกจากแนวคิดพื้นฐานข้างต้น ต่อไปนี้เป็นทริปเล็กๆ ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสเอาชนะตลาด
- การซื้อหุ้นตอนต่ำสุด และขายหุ้นที่จุดสูงสุด เป็นเรื่องที่ “เกือบ” จะเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นนักลงทุนควรเรียนรู้วิธีการประเมินมูลค่าหุ้น [เช่น การใช้ P/E, P/BV, Dividend Yield] เป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจลงทุน อีกทั้งสถิติย้อนหลังบ่งชี้ว่าระดับ Valuation มีแนวโน้มกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ย ดังนั้น ปรับสัดส่วนการลงทุนจากหุ้น Valuation ที่อยู่ในระดับสูงไปสู่หุ้นที่ระดับ Valuation ต่ำกว่า ก็มีโอกาสช่วยเพิ่มตอบแทนได้

- “ถือ” หุ้นที่เป็น Winner ของเราให้นานที่สุด และ “หลีกเลี่ยง” หุ้นที่เป็น Loser ให้ได้ นักลงทุนมักใช้การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นเป็นเหตุผลในการขายหุ้น และใช้โอกาสในการลดลงของราคาหุ้นเป็นเหตุผลในการเข้าซื้อ ซึ่งนำมาซึ่งการถือ Winner สั้นเกินไป และถือ Loser นานเกินไป นักลงทุนไม่ควรใช้ราคาหุ้นเป็นปัจจัยหลักในการซื้อหรือขาย ราคาเป็นเพียงผลลัพธ์ของผลการดำเนินงานของกิจการ การขายหุ้นที่เติบโตสม่ำเสมอเร็วเกินไปทำให้เสียโอกาส แต่การถือหุ้นที่ Valuation สูงเกินไปหรือหุ้นที่ดำเนินธุรกิจในกิจการที่มีการแข่งขันสูง หรือมีโอกาสถูก Disrupt ได้ในอนาคต จะทำให้สูญเสียเงินลงทุนได้

- กล้าที่จะคิดแตกต่าง (Contrarian) “Fearful when others are greedy, and greedy when others are fearful.” เป็นคำกล่าวของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่สะท้อนแนวคิด Contrarian เมื่อตลาดอยู่ในภาวะโลภ นักลงทุนมีความกล้า หุ้นมักซื้อขายในระดับ Valuation ที่สูง จึงควรลงทุนด้วยความระมัดระวัง และเมื่อตลาดอยู่ในภาวะกลัว นักลงทุนจะมีความกังวล หุ้นมักซื้อขายในระดับ Valuation ที่ต่ำ จึงควรถือเป็นโอกาสในการลงทุน อย่างไรก็ตาม การกล้าคิดต่างต้องเริ่มต้นด้วยการศึกษาปัจจัยพื้นฐานของกิจการให้เป็นอย่างดี

- การหมั่นหาความรู้ให้รอบด้านไม่จำกัดเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหุ้น แต่ความรู้ด้านธุรกิจ เทคโนโลยี แม้เรื่องที่อาจจะดูไม่เกี่ยวกับการลงทุน เช่น ประวัติศาสตร์ จิตวิทยา และอื่นๆ ก็เป็นการเสริมทักษะการลงทุนที่ดี ความสามารถในการเชื่อมโยงศาสตร์ต่างๆ อย่างกว้างขวาง Connecting The Dots ก็มีส่วนช่วยส่งเสริมให้นักลงทุนประสบความสำเร็จจากการลงทุนในตลาดหุ้น

การประสบความสำเร็จในการลงทุนเปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอน เป็นเกมระยะยาว ต้องมีการฝึกฝน มีการวางแผนที่เหมาะสมกับตนเอง การลงทุนก็เช่นกัน นักลงทุนจำเป็นต้องกำหนดกลยุทธ์ ตั้งเป้าหมาย กำหนดระดับความเสี่ยงที่เหมาะกับตนเอง ที่สำคัญต้องมีวินัยในการลงทุน แม้ว่าผลตอบแทนของ SET Index หรือ SET TRI จะถูกใช้เป็นตัวชี้วัดการลงทุน แต่ไม่ควรยอมให้ตัวชี้วัดทำให้เป้าหมายในการลงทุนเบี่ยงเบนไป การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์เพื่อพยายามเอาชนะดัชนีในระยะสั้นมีแนวโน้มส่งผลเสียต่อกลยุทธ์การลงทุนในระยะยาว
กำลังโหลดความคิดเห็น