กองทุนบัวหลวงเชื่อเศรษฐกิจโตแรงหนุนหุ้นทั่วโลกปรับขึ้น คาดปีนี้ไทยอัปไซด์ 8% ชี้เป้ากลุ่มรับอานิสงส์ท่องเที่ยวฟื้นน่าสนใจ ระบุเงินเฟ้อ-บอนด์ยิลด์พุ่งกระทบหุ้นระยะสั้น แต่ระยะยาวยังมีแนวโน้มเป็นบวก
นายสันติ ธนะนิรันดร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือกองทุนบัวหลวง เปิดเผยว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้ IMF คาดว่าจะอยู่ที่ 5.5% แต่อาจจะมี การปรับประมาณการได้เนื่องจากความคาดหวังต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีเพิ่มมากขึ้นในระดับ 6-7% จากเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีมูลค่ากว่า 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.3% ถือเป็นการเติบโตที่ไม่สูงมากนักเนื่องจากประเทศไทยยังต้องพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าการท่องเที่ยวน่าจะกลับมาเป็นปกติได้ในช่วงต้นปีหน้าเป็นต้นไป
ทั้งนี้ การฟื้นตัวเศรษฐกิจน่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก โดยตลาดหุ้นไทยเองปีนี้น่าจะมีอัปไซด์อยู่ที่ประมาณ 8% โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนประกอบด้วย หุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นปิโตรเคมี และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และหากการท่องเที่ยวของประเทศไทยกลับมาฟื้นตัวเป็นปกติก็น่าจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดเช่นกัน แต่ก็ต้องดูด้วยว่าแผนการแจกจ่ายวัคซีนของไทยสามารถทำได้ตามเป้าที่กำหนดไว้หรือไม่
“หุ้นไทยหนึ่งปีข้างหน้าน่าจะมีอัปไซด์อยู่ประมาณ 8% ซึ่งยังไม่รวมหากมีเม็ดเงินจากต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุน ซึ่งเป็นไปได้ว่าหากการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวเป็นปกติเม็ดเงินต่างชาติก็น่าจะสนใจกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยอีกได้ และการลงทุนเองก็ต้องมีการจับจังหวะและเลือกดูหลายตัวด้วยเพราะว่าหุ้นบางตัวอาจมีความเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวแต่ไม่ใช่หุ้นท่องเที่ยวโดยตรง เช่นหุ้นโทรคมมนาคม ซึ่งก็ได้รับผลกระทบจากการใช้ในส่วนของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาและใช้เครือข่ายในประเทศไทย รวมถึงการที่คนไทยใช้บริการซิมของไทยเมื่อไปท่องเที่ยวในต่างประเทศด้วย เป็นต้น”
ในส่วนเรื่องของความกังวลด้านเงินเฟ้อและการปรับตัวเพิ่มของผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น แต่เชื่อการลงทุนในหุ้นจะมีแนวโน้มเป็นบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากกว่า ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า
“เรามองว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ตลาดเองก็รับรู้แล้วว่าอาจขึ้นไปถึง 2.6% จากการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินมหาศาลของสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะเป็นระดับที่เฟดยังพอรับได้และคงไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ไทยในปีนี้ก็น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับนี้ต่อไป ส่วนการชะลอหรือหยุดซื้อสินทรัพย์ของเฟด ถ้าดูจากอดีต ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์จะพบว่าส่งผลต่อการลงทุนในหุ้นแค่ระยะสั้นเท่านั้น แต่ระยะยาวยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ และเป็นจังหวะในการเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม”
ขณะที่แนวโน้มการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่อจากนี้อาจจะต้องมีการเลือกกลุ่มการลงทุนมากขึ้นโดยหุ้นกลุ่มเทคจะมีด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ 1. หุ้นที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่และปัจจุบันมีราคาไม่แพงมาก เช่น Google Facebook แอมะซอน ซึ่งเป็นบริษัทที่สามารถทำกำไรได้แล้วและมีแนวโน้มการเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับราคาในปัจจุบัน 2. หุ้นบริษัทที่อยู่ในช่วงการพัฒนาเทคโนโลยีและยังไม่สามารถทำกำไรได้ ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้อาจจะต้องระมัดระวังในการลงทุนเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากอาจมีความเสี่ยงได้หากในอนาคตบริษัทยังไม่สามารถทำกำไรได้ตามที่คาดหวัง
ทั้งนี้ บริษัทมีกองทุนที่ครอบคลุมและได้รับผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการปรับตัวในยุคดิจิทัลไว้เป็นทางเลือกแก่นักลงทุน โดยแนะนำนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทยสามารถลงทุนได้ในกองทุนเปิดบัวแก้ว และกองทุนเปิดบัวหลวงทศพล
ขณะที่การลงทุนในกองทุนต่างประเทศ บริษัทมีทางเลือกที่อยากแนะนำให้นักลงทุน ประกอบด้วยกองทุนเปิด B-GTO B-FUTURE B-ASIA และ B-CHINE-EQ ซึ่งจะครอบคลุมการลงทุนด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมและภูมิภาคที่น่าสนใจ เช่น จีน เป็นต้น