โดย ทีมจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด
จากการที่ในอดีตแต่ละประเทศทั่วโลกเคยพึ่งพาอาศัยกันทั้งทางด้านการค้าและการลงทุน ในปัจจุบันกลับกลายเป็นว่าแต่ละประเทศต่างก็เน้นไปที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศของตัวเองมากขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งคือ เน้นการบริโภคสินค้าในประเทศตัวเอง รวมถึงพยายามดึงฐานการผลิตจากต่างประเทศกลับมาสู่ประเทศตัวเอง ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมามากมาย เช่น สงครามการค้าที่เกิดขึ้นในยุคของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ หรือประเทศจีนที่ได้ออกนโยบายการเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเน้นการเติบโตของการบริโภคและการผลิตในประเทศตัวเองเป็นหลัก ท่ามกลางนโยบายด้านต่างๆ ของแต่ละประเทศที่ไปกันคนละทิศละทาง ยังมีนโยบายด้านหนึ่งที่เกือบทุกประเทศทั่วโลกมีความเห็นไปในทางเดียวกันมาตลอด นั่นก็คือ นโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งประเทศต่างๆ มีความกังวลอย่างมากว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) ในบรรยากาศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) หรือภาวะโลกร้อน (Global Warming) และนำไปสู่ความอันตรายต่อผู้คนและระบบนิเวศ
สาเหตุสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) มาจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อที่จะผลิตพลังงานไปใช้ในทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน ในประเทศที่เป็นมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาได้มีนโยบายการคลังที่ไปลงทุนเกี่ยวกับด้าน Climate Change ถึง 1.8 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ซึ่งเงินเหล่านี้จะถูกใช้ไปในการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าแบบ Low Carbon การลงทุนเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการค้นคว้าวิจัยด้าน Green Technology ส่วนในประเทศอื่นๆ อย่างในยุโรปก็ได้มีการตั้งเป้าว่าจะเป็น Net Zero Carbon Emission ในปี 2060 สำหรับประเทศจีนในช่วงปี 2010-2020 ก็ได้มีการลงทุนจำนวน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในการเปลี่ยนแปลงจากการผลิตไฟฟ้ารูปแบบเดิมๆ ไปเป็นการผลิตไฟฟ้าที่ไม่ปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม จากการลงทุนต่างๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้น กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์คงหนีไม่พ้น กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด (Clean Energy) เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลม โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โซลาร์เซลล์ตามบ้านเรือน ที่จะมาทดแทนโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่จะเข้ามาแทนที่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine) นอกจากนโยบายจากประเทศต่างๆ แล้ว การพัฒนาของ Technology ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด (Clean Energy) เติบโตได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะเป็นอีกหนึ่ง Mega Trend ในอนาคต
Technology เข้ามามีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด (Clean Energy) ในด้านการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงการลดต้นทุนในการผลิต ในอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าจะพบว่าปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดบางประเภทมีต้นทุนต่อหน่วยไฟฟ้าถูกกว่าการผลิตไฟฟ้าแบบดั่งเดิมเป็นที่เรียบร้อย ดังแผนภาพที่ 1 ส่วนราคารถยนต์ไฟฟ้าในตลาดก็มีแนวโน้มจะมีราคาถูกลงเรื่อยๆ จากเทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่ที่ทำให้ต้นทุนของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาต่ำลง รวมถึงใช้งานได้นานขึ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเปลี่ยนจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine) มาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
ด้วยปัจจัยด้านนโยบายของประเทศต่างๆ และการพัฒนาของ Technology ทำให้การเติบโตของกลุ่มพลังงานหมุนเวียนทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานลม โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ที่ใช้ตามบ้านเรือนมีการเติบโตอย่างมาก โดยองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency, IEA) ได้ประเมินว่าปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและจะแซงหน้าปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติในปี 2040 ส่วนกลุ่มอุตสากรรมรถยนต์ไฟฟ้าก็จะเติบโตได้เร็วไม่แพ้กัน ตามแผนภาพที่ 2 จะเห็นว่าภายในปี 2040 ยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าจะนำยอดขายของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน
จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ทำให้เรามองว่าหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด (Clean Energy) เป็นอีก Theme ที่มีความน่าสนใจในการลงทุน ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้จะประกอบด้วย 1) กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่จะครอบคลุมตั้งแต่บริษัทที่ถือครองโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ผู้ผลิตโซลาร์เซลล์ที่ใช้ในบ้านเรือน รวมไปถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด 2) กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงบริษัทที่ทำเหมืองลิเทียมที่ใช้ทำแบตเตอรี่ นอกจากหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด (Clean Energy) จะเป็นกลุ่มหุ้นที่เติบโตได้ดีแล้ว นักลงทุนยังสามารถลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด (Clean Energy) เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอการลงทุนได้ เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด (Clean Energy) มีปัจจัยเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกับหุ้นใน Mega Trend อื่นๆ เช่น หุ้นกลุ่ม Technology หรือหุ้นกลุ่ม Healthcare
ทั้งนี้ กองทุนที่ลงทุนใน Sector Fund และ Thematic Theme นั้นจัดเป็นกองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรมที่มุ่งลงทุนเฉพาะเจาะจงในหมวดอุตสาหกรรมและเป็นกองทุนที่มีการลงทุนที่มีการกระจุกตัวสูง และมีความผันผวนมากกว่ากองทุนทั่วไป โดยจัดเป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงมาก ดังนั้น ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน