บลจ.กรุงไทยคาดเศรษฐกิจฟื้นทั่วโลก ไทยจีดีพี 3% ระบุหุ้นไทยปีนี้ดัชนี 1,600 จุด แต่ราคาอาจปรับตัวบ้างเล็กน้อย ส่วนปีหน้าโตชัดเจนหากท่องเที่ยวส่งสัญญาณฟื้น
นายสมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้จะอยู่ในระยะฟื้นตัวทั่วโลกแต่อัตราการฟื้นตัวนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยมีปัจจัยประกอบแบ่งเป็น 1. แผนการใช้และประสิทธิภาพของวัคซีน 2. ความต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเนื่องจากขณะนี้มีหลายประเทศมีงบประมาณขาดดุลในระดับสูง จะมีเพียงแค่ 4 ประเทศที่มีงบประมาณเกินดุลอยู่ทำให้เป็นอุปสรรคในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับไทยคาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจะอยู่ที่ประมาณ 3% โดยมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญอยู่แต่คงจะสามารถกระตุ้นได้เพียงระยะสั้นเท่านั้นหากไม่มีโครงการลงทุนภาครัฐเข้ามาเพื่อทำให้เกิดการจ้างงานในระยะยาวได้ ขณะที่แผนการนำเข้าและแจกจ่ายวัคซีนของไทยยังถือว่าล่าช้า ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะชัดเจนมากขึ้นเชื่อว่าคงเป็นปีหน้าเป็นต้นไปหรือจนกว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวได้ตามปกติเหมือนก่อนการแพร่ระบาด
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยบริษัทยังมีมุมมองเชิงบวกถึงแม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะมีการปรับตัวมาแล้วระดับหนึ่ง โดยคาดว่าดัชนีทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 1,600 จุด หรือเพิ่มขึ้นได้อีกกว่า 100 จุดต่อจากนี้ ที่ P/E ระดับ 21 เท่า โดยมีผลตอบแทนรวมประมาณ 8-10% แบ่งเป็นอัปไซด์ 5-6% และปันผลประมาณ 2-3%
ทั้งนี้ หุ้นไทยและหุ้นทั่วโลกน่าจะกลับมาเป็นบวกมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยหุ้นไทยช่วงดัชนี 1,600 จุดจะได้ประโยชน์จากการที่ก่อนหน้านี้หุ้นไทยค่อนข้างฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่น แต่หุ้นไทยจะต้องรอสัญญาณที่ชัดเจนจากทั้งเรื่องการแจกจ่ายวัคซีนได้เพียงพอต่อความต้องการหรือไม่และการกลับมาของนักท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจจะเป็นหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวหากมีสัญญาณเรื่องการเปิดรับนักท่องเที่ยวชัดขึ้น และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ นอกจากนี้ยังมีหุ้นหลายตัวที่มีศักยภาพการเติบโตสูงก็เป็นหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจลงทุน
“หุ้นไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นในปีหน้าหรือปีถัดไปมากกว่านี้ถ้านักท่องเที่ยวกลับมาอยู่ในระดับเดิมได้ที่ 40 ล้านคนต่อปี แต่ต่อจากนี้ก็จะต้องพิจารณาด้วยว่าถ้าหุ้นไทยเติบโตด้วยโครงสร้างแบบเดิมๆ จะทำให้ความน่าสนใจน้อยลง ส่วนสิ่งที่ต้องดูต่อจากนี้คือเรื่องของราคาเนื่องจากราคาในปีที่ผ่านมาปรับตัวสูงถึง 25-26 เท่าเป็นอะไรที่แพงเมื่อเทียบกับเอิร์นนิ่งโกรทติดลบและราคาก่อนช่วงการแพร่ระบาดที่พีอี 12-13 เท่า และปีนี้น่าจะปรับลดลงบ้างแต่คงไม่ถึงกับมากนักเพราะในช่วงที่ผ่านมามีการโยกการลงทุนจากตราสารหนี้เข้ามาลงทุนในหุ้นมากขึ้นจากการที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่หากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นเร็วเกินจะเป็นแรงกดดันไม่ให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้อีก และต้องพิจารณาอีกครั้งว่าราคาที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไหร่”
สำหรับแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อจากนี้คงจะต้องดูท่าทีของเฟดที่คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วง 1-2 เดือนนี้ โดยมีอัตราเงินเฟ้อเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ซึ่งหากเฟดมองว่าเศรษฐกิจมีการเติบโตที่มั่นคงแล้วก็อาจปรับอัตราดอกเบี้ยได้ แต่ปัจจุบันมองว่าเฟดยังไม่น่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเนื่องจากอัตราการว่างงานในสหรัฐฯ แท้จริงแล้วยังอยู่ในระดับสูงถึง 10% และเศรษฐกิจยังไม่เข้มแข็งพอ
ส่วนแนวโน้มการเข้าลงทุนของต่างชาติในภูมิภาคเอเชียจะต้องจับตาจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเริ่มปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ส่วนในระยะยาวจะต้องดูว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าได้อีกเท่าไหร่เพราะช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ก็อ่อนค่าลงไปแล้วถึงกว่า 6%