ตลาดหุ้นเอเชียในปี 2563 ที่ผ่านมาได้รับแรงกดดันอย่างมากจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งนำไปสู่มาตรการ lockdown ที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดดังกล่าว ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงักและนำไปสู่ความผันผวนของดัชนีตลาดหุ้นค่อนข้างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 นี้คาดว่าตลาดหุ้นเอเชีย (Asian Emerging Market) นับเป็นหนึ่งภูมิภาคที่น่าสนใจลงทุน เนื่องจากตลาดหุ้นเอเชียน่าจะได้รับผลบวกจาก 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้ 1) ข่าวดีจากการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัส COVID-19 2) การเติบโตของ Semiconductor Cycle และ 3) ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายลง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับอานิสงส์สูงสุดจากแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนที่สามารถฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ได้รวดเร็วกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ความคาดหวังในเรื่องการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัส COVID-19 ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดต่อการกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนต้านไวรัส COVID-19 ของบริษัทยา Pfizer/BioNTech และบริษัทยา Moderna สำหรับการรักษากรณีฉุกเฉินได้ ขณะที่วัคซีนของบริษัท Astrazeneca/Oxford ได้รับอนุมัติจาก British Regulatory Authorities ให้ใช้ได้ในกรณีฉุกเฉิน เป็นการยืนยันว่าภายในปี 2564 จะมีวัคซีนพร้อมแจกจ่ายให้แก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกมากกว่า 3 พันล้านโดส โดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่มียอดจองวัคซีนไว้ล่วงหน้าจำนวนมากคาดว่าจะได้รับการกระจายวัคซีนก่อน ประกอบด้วย สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และอังกฤษ และสำหรับประเทศในเอเชียในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยส่งเสริมการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและส่งผลให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
อีกปัจจัยที่สนับสนุนตลาดหุ้นเอเชียต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 ได้แก่ แนวโน้มอุตสาหกรรม Semiconductors ที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องไปอีก 3-4 ปีข้างหน้า ท่ามกลางกระแสเทคโนโลยี 5G ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยบริษัท Accenture Semiconductors ได้คาดการณ์ไว้ว่า Smartphone 5G จะมีสัดส่วนสูงถึงประมาณ 30% ของ Smartphone ที่ผลิตได้ทั้งหมดในปี 2564 และยังคาดการณ์สัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 71% ของ Smartphone ที่ผลิตได้ทั้งหมดในปี 2567 นอกจากนี้ รายได้ของผู้ผลิต Premium Smartphone และ Basic Smartphone ที่ใช้ 5G จะเติบโตสูงถึง 18% และ 106% CAGR ตามลำดับในปี 2564-2566 จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการใช้ Semiconductors เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สะท้อนในปริมาณสินค้าคงคลังที่ปรับลดลงต่อเนื่อง เป็นปัจจัยหนุนให้บริษัทผู้ผลิต Semiconductors เร่งผลิตสินค้าออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทผู้ผลิต Semiconductors ในเอเชียถือว่ามีความก้าวหน้ากว่าบริษัทในประเทศพัฒนาอื่นๆ มาก ยกตัวอย่าง เช่น บริษัท Samsung และ TSMC ที่คาดว่าจะสามารถพัฒนาและผลิตขนาดของ Memory ได้ขนาดเล็กลงถึง 3 นาโนเมตร นั่นหมายความว่าตัว Memory จะมีประสิทธิภาพการเก็บประจุและเก็บความจำที่ดีขึ้น ซึ่งก้าวหน้ากว่าบริษัท Intel ที่ยังคงผลิตขนาด Memory ได้เพียง 7 นาโนเมตร จะเห็นว่าตลาดหุ้นเอเชียน่าจะยังคงได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของ Semiconductor สูงกว่าภูมิภาคอื่น
สำหรับสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนคาดว่าจะลดความตึงเครียดลงหลังจาก นายโจ ไบเดน ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิปดีสหรัฐฯ คนถัดไป ซึ่งมาตรการการแข่งขันทางการค้าของนายโจ ไบเดน จะมีการเปลี่ยนรูปแบบจากมาตรการทางด้านภาษีไปสู่มาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี และการรวมกลุ่มทางการค้าแทน ซึ่งน่าจะส่งผลให้ปริมาณการค้าโลกปรับตัวดีขึ้น และเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นเอเชีย อย่างไรก็ตาม สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากนายโจ ไบเดน ยังคงสนับสนุนนโยบายที่จะกีดกัน Software, Applications รวมถึงเทคโนโลยี 5G ของบริษัทจีน คล้ายกับนโยบายเดิมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างเช่น การเตรียมใส่รายชื่อบริษัทของจีนเข้าบัญชีดำ (Blacklists) ห้ามทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าและเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ขณะเดียวกันทางรัฐบาลจีนก็ได้มีการตอบโต้กลับเช่นกัน อาทิ การประกาศลบ Applications จำนวน 105 แอปฯ ซึ่งรวมถึง Applications ของบริษัททริปแอดไวเซอร์ ซึ่งเป็นบริษัทท่องเที่ยวของสหรัฐฯ ออกจาก App Store ในประเทศจีน
การลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียคงหนีไม่พ้นที่จะต้องลงทุนในตลาดหุ้นจีน ซึ่งจากผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 ประเทศจีนถือว่าเป็นประเทศที่กลับมาฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็ว ประเทศจีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างมีประสิทธิภาพทำให้กำลังการบริโภคและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนกลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว โดย IMF คาดการณ์ว่า GDP ของประเทศจีนจะเติบโตถึง 8.2% ซึ่งเป็นประเทศหลักประเทศเดียวในโลกที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าระดับก่อนการระบาดของไวรัส COVID-19 นอกจากนี้ รัฐบาลยังคงมีเครื่องมือเพียงพออีกมากที่จะเข้าแทรกแซงกระตุ้นเศรษฐกิจหากจำเป็น
สำหรับในปี 2564 นี้จะเป็นปีแรกที่ประเทศจีนจะนำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 5 ปี ฉบับที่ 14 มาใช้ โดยแผนพัฒนาดังกล่าวนี้จะเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศ การพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการพึ่งพาตัวเองในด้านเทคโนโลยี และรัฐบาลจีนคาดหวังว่าประเทศจีนจะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีจีนมีศักยภาพที่จะสร้างกำไรดีต่อเนื่องในอีกหลายปีข้างหน้า อีกทั้งการร่วมมือทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) โดยรวมตัวกันมากกว่า 15 ประเทศ เทียบเท่ากับ 29.46% ของ GDP โลก ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า NAFTA และ European Union โดยปัจจัยบวกดังกล่าวคาดว่าจะเป็นแรงผลักดันการขยายตัวทางการค้าภายในกลุ่มประเทศเอเชียในระยะยาว
ขณะที่ประเทศจีนมีศักยภาพในการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัส COVID-19 ได้ด้วยตนเอง จึงทำให้โอกาสในการรับวัคซีนของประชากรที่เป็นวงกว้างและครอบคลุมทั้งประเทศมีความเป็นไปได้สูงและรวดเร็วภายในปี 2564 นี้ ซึ่งในปัจจุบันพัฒนาการของวัคซีนสัญชาติจีนจำนวน 4 บริษัทอยู่ในการพัฒนาระยะสุดท้าย (Phase 3) และวัคซีนดังกล่าวได้รับอนุมัติให้ใช้ในวงจำกัดจากรัฐบาลจีนเป็นที่เรียบร้อย
จากเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้น ตลาดหุ้นเอเชียยังคงมีความน่าสนใจสูงกว่าตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้น S&P500 ไม่ว่าจะเป็นด้าน Valuation และด้านการขยายตัวของผลกำไร (Earnings) โดยการคาดการณ์ผลกำไรในอีก 12 เดือนข้างหน้าของนักวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองบวกต่อเนื่อง อีกทั้งค่าเงินที่มีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียต่อเนื่อง
โดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด