พริ้มพัชร จิรบวรพงศา, AFPTTM
กองทุนบัวหลวง
ปัจจุบันคนรุ่นใหม่สนใจลงทุนกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนโดยตรงในสินทรัพย์ต่างๆ และการลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยมักได้รับคำแนะนำให้จัดพอร์ตลงทุน (Asset Allocation) ด้วยการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเภทกัน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ใด สินทรัพย์หนึ่ง มากจนเกินไป ตามประโยคยอดฮิตที่ว่า “อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียวกัน (Don’t put all eggs in one basket)”
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้นักลงทุนเริ่มจัดพอร์ตการลงทุนกันมากขึ้น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า นักลงทุนส่วนใหญ่มักจัดพอร์ตการลงทุนแค่เพียงครั้งแรกเท่านั้น โดยเริ่มต้นจากกำหนดเป้าหมายในการลงทุน ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเอง จากนั้นก็จัดพอร์ตการลงทุน ด้วยการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทให้สอดคล้องกัน ยกตัวอย่าง นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางและมีเป้าหมายลงทุนระยะยาว สัดส่วนการลงทุนที่แนะนำสำหรับนักลงทุนกลุ่มนี้ คือ สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้น หรือกองทุนหุ้นได้ประมาณ 50%
ประเด็นสำคัญ ก็คือ เมื่อจัดพอร์ตลงทุนไปแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่กลับมาดูความคืบหน้าของ
ผลตอบแทน แต่ไม่ทันได้สังเกตถึงมูลค่าของเงินที่ เติบโต หรือ ลดลง จนทำให้สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทของพอร์ตลงทุนที่จัดไว้ก่อนหน้าเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ยกตัวอย่าง นักลงทุนรับความเสี่ยงได้ปานกลาง เริ่มต้นจัดพอร์ตลงทุนด้วยเงิน 100,000 บาท จึงกำหนดสัดส่วนการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น 50% เป็นเงิน 50,000 บาท และตราสารหนี้ 50% เป็นเงิน 50,000 บาท ต่อมาตลาดหุ้นเติบโตให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 10% เงินลงทุน 50,000 บาท จะเติบโตเป็น 55,000 บาท ตลาดตราสารหนี้เติบโต 1% เงินลงทุน 50,000 บาท จะเติบโตเป็น 50,500 บาท สัดส่วนการลงทุนจาก 50-50 จะกลายเป็นหุ้น 52.13% ตราสารหนี้ 47.87% ทำให้ภาพรวมของพอร์ตลงทุนนี้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ดังนั้น สำหรับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว ผู้ลงทุนควรต้องพิจารณาปรับสมดุล หรือที่เรียกว่า Rebalancing โดยต้องคอยดูสินทรัพย์หลักในพอร์ตลงทุนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อกำหนดและควบคุมความเสี่ยง วิธีการนี้เรียกว่า SAA : Strategic Asset Allocation คือ พิจารณาขายคืนสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนเกินขึ้นมา หรือเลือกซื้อเพิ่มในสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนลดลงไป เพื่อให้พอร์ตลงทุนกลับสู่สมดุลตามเดิม ซึ่งกรณีนี้ ก็อาจพิจารณาลดสัดส่วนกองทุนหุ้นด้วยการขายคืนตามมูลค่าที่เกินมาออกไป หรือเลือกสับเปลี่ยนมูลค่าที่เกินมานี้ไปยังกองทุนรวมตราสารหนี้ หรือไปซื้อกองทุนตราสารหนี้เพิ่ม เพื่อให้สัดส่วนการลงทุนกลับมาเป็นเหมือนเดิม คงระดับความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน เพื่อไม่ให้ความเสี่ยงของพอร์ตสูงเกินกว่าที่ผู้ลงทุนยอมรับได้
ทั้งนี้ การปรับสมดุล หรือ Rebalancing ผู้ลงทุนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยการซื้อ-ขายสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่ด้วยตัวเอง ซึ่งกรณีนี้ผู้ลงทุนต้องวางแผนการลงทุนให้ดี เพราะสภาพคล่องของสินทรัพย์แต่ละประเภทนั้นแตกต่างกัน ในทางตรงกันข้ามการลงทุนในกองทุนรวม แม้ว่าจะไม่สามารถเลือกสินทรัพย์แบบเฉพาะเจาะจงเป็นรายตัวได้ แต่กองทุนรวมนั้นได้เปรียบเชิงสภาพคล่อง และทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลาย จึงเหมาะกับผู้ลงทุนทุกคน
โดยผู้ลงทุนสามารถจัดพอร์ตลงทุนผ่านกองทุนรวมได้ด้วยการเลือกกองทุนที่ชอบ และกำหนดสัดส่วนเงินลงทุนไปในแต่ละกองทุน หรืออาจเลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายแบบผสมไว้แล้วก็ได้ ซึ่งปัจจุบันมีกองทุนผสมที่กำหนดสัดส่วนสินทรัพย์การลงทุนหลักไว้ให้แล้ว ชื่อว่า B-MAPS : Bualuang Multi – Asset Portfolio Solutions ที่มีสินทรัพย์การลงทุนผสมผสานระหว่างหุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ โดยกำหนดสัดส่วนของสินทรัพย์หลัก คือ หุ้นไว้ที่ 25%, 55%, 100% ชื่อว่า B-MAPS25, B-MAPS55, B-MAPS100 จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการปรับสมดุล หรือ Rebalancing ความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดแต่ไม่มีเวลา