โดย ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์
ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสินทรัพย์ที่กำลังร้อนแรงมากที่สุดคงหนีไม่พ้นทองคำ ที่ได้ทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในบทความฉบับนี้เราจะมาดูกันว่าราคาทองคำมีความสำพันธ์กับพัฒนาการในช่วงที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง
ทองคำนอกจากจะเป็นสินทรัพย์ที่หายากและมีอยู่อย่างจำกัดแล้ว ในอดีตนั้นทองคำได้ถูกนำมาใช้เป็นระบบมาตรฐานการเงินระหว่างประเทศในการระบุอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ (Gold standard) ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบเงินกระดาษ (Fiat currency) บทบาทของทองคำในแง่ของการลงทุนนั้นมักจะถูกมองเป็นสินทรัพย์ที่ไว้ใช้หลบภัย (Safe haven) ในยามที่ตลาดมีความผันผวนสูงขึ้น นอกจากนี้แล้วทองคำยังมักจะถูกใช้ในการบริหารความเสี่ยงจากแนวโน้มของเงินเฟ้อได้เช่นกัน ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ประกอบกับพัฒนาการที่เกี่ยวข้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาทองปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
ปัจจัยแรกที่สนับสนุนการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำนั้นคือความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจ นับตั้งแต่ปี 2018 นั้นนักลงทุนคงได้เจอกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และล่าสุดคือวิกฤต COVID-19 เมื่อความผันผวนเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างต้องป้องกันความเสี่ยงด้วยการลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างเช่นการลงทุนในหุ้น และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและได้รับผลกระทบน้อยจากความผันผวนที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เช่นการเพิ่มสัดส่วนในการถือเงินสด หรือลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนคุ้นเคยกันในนาม Safe heaven เช่น ทองคำ
ปัจจัยที่สองนั้นคือ นโยบายทางการเงินที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากการปิดเมือง การใช้มาตรการช่วยเหลือไม่ว่าจะทั้งการเงินและการคลังได้ส่งผลกระทบต่อการด้อยค่าลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่เป็นผลมาจากมาตรการทางการเงินที่มีการพิมพ์ธนบัตรออกมาเป็นจำนวนมหาศาล รวมไปถึงการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะที่เป็นผลมาจากการใช้มาตรการทางการคลัง หากเราลองสังเกตดูจะพอเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลดอลลาร์นั้นมักจะมีทิศทางตรงกันข้ามกับราคาทองคำอยู่เป็นระยะ
ปัจจัยสุดท้าย ได้แก่ แนวโน้มของเงินเฟ้อที่น่าจะมีทิศทางที่ปรับตัวขึ้น สาเหตุหลักนั้นมาจากช่วงที่ผ่านมากิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มีการชะลอตัวลงไป ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริโภค นอกจากนี้แล้วหากท่านผู้อ่านยังจำเหตุการณ์สงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุฯ กับรัสเซียเมื่อต้นปีได้ ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลงลงอย่างรวดเร็วและอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลากว่า 2 เดือนก่อน ราคาน้ำมันส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งหากเราพิจารณาถึงแนวโน้มราคาน้ำมันที่น่าจะคงราคาอยู่ในระดับปัจจุบันได้ อัตราเงินเฟ้อก็น่าจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นในอีกไม่ช้า การลงทุนในทองคำถือเป็นอีกทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม การประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของราคาทองคำนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ด้วยราคาที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรงทำให้ความเสี่ยงในการเข้าไปลงทุนในทองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน และหากปัจจัยที่ผมได้เขียนไปข้างต้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ก็จะสามารถส่งผลกระทบต่อราคาทองคำได้ทั้งทางบวก และทางลบครับ