ชนาทิพย์ เตียวตรานนท์
กองทุนบัวหลวง
โควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นตัวเร่งให้ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เราได้เห็นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์และธุรกิจที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงจนต้องปิดกิจการไปเลยก็มี ก่อนหน้านี้ เราเคยกล่าวถึงยอดขายของออนไลน์ที่เพิ่มสูงขึ้นหลังเกิดโควิด-19 ยอดการใช้แอปพลิเคชัน เพื่อทำ video conference เพิ่มขึ้น ไปจนถึงการใช้ e-signature แทนการเซ็นเอกสารเพิ่มขึ้น เพื่อความสะดวกในช่วง work from home (WFH) ขณะ lockdown ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนได้จากการปรับขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (NYSE, NASDAQ) เช่น หุ้น FANG+ (Facebook, Amazon, Netflix, Google, อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง) เพราะเป็นตลาดที่หุ้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจึงให้ผลตอบแทน outperform ตลาดอื่น คอลัมน์นี้ เราจะกล่าวถึงความสำคัญและแนวโน้มของการเติบโตที่ดีของเทคโนโลยี และ infrastructures ที่จำเป็นเพื่อรองรับชีวิต new normal
เนื่องจากช่วง lock down ทำให้มีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น ผู้บริโภคสั่งซื้อของ มี delivery มาถึงบ้าน รวมถึงใช้แอปพลิเคชันเพื่อให้ทำงานจากบ้านได้คล่องตัว หรือจะเล่นเกม ดูหนังออนไลน์ ส่งผลให้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น เราจำเป็นต้องมี hardware เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์มือถือ ต้องมี software เช่น Internet Explorer, Google Chrome, Netflix และต้องมี Services เช่น คอลเซ็นเตอร์ให้บริการ มีระบบการจัดการข้อมูลการสั่งซื้อของลูกค้า ตลอดจนบริการขนส่ง เป็นต้น เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้รวดเร็ว เมื่อมีข้อมูล (data) ที่ต้องจัดการจำนวนมากและสามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ตหรือแอปพลิเคชันจากที่ไหนก็ได้ ซึ่งเราเห็นได้ชัดจากช่วง WFH ที่บริษัทต่างๆ ต้องให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลการทำงานได้ โดยจัดเก็บข้อมูลนั้นไว้ที่ไหนสักแห่งที่ปลอดภัยเพื่อให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลนั้นได้โดยไม่ต้องอยู่ในออฟฟิศ จึงทำให้ความต้องการใช้ Cloud Computing และ Data Center เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากข้อมูลของ Gartner Research Company แสดงรายได้ของ global public cloud services โตแบบก้าวกระโดด จาก 110 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2012 ไปที่ 214 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2019 และมีทีท่าว่าจะโตขึ้นเรื่อยๆ Alibaba ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนของจีนก็เพิ่งประกาศในเดือนเมษายนปีนี้ว่าจะลงทุนใน cloud infrastructures เป็นจำนวนเงิน 28 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 3 ปีจากนี้ ในขณะเดียวกัน MarketsandMarkets research firm คาดว่า ผลกระทบของโควิด-19 จะทำให้ global public cloud demand โตจาก 233 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2019 ไปเป็น 295 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2021 และจากการเติบโตของ cloud services ทำให้ความต้องการใช้ data center เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย หากเปรียบบริษัทที่ให้บริการ cloud services เป็นเสมือนรางรถไฟแล้ว เราเปรียบบริษัทที่ใช้ cloud services เช่น video conferencing, e-commerce, online shopping ว่า เป็นขบวนรถไฟโบกี้ที่แล่นไปบนรางรถไฟ
Infrastructure ที่รองรับชีวิตดิจิทัลที่สำคัญอีกอย่าง ก็คือ ระบบ 5G ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วว่า 5G เทคโนโลยีเป็นเครือข่ายไร้สายที่มีความเร็วและรับส่งข้อมูลได้มากกว่าระบบ 4G สามารถสั่งงานและควบคุมสิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ 5G ยังรองรับการเชื่อมต่อจำนวนมากๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet of Things) เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, telemedicine, หุ่นยนต์ในโรงงาน รวมถึงช่วยให้เกิดการใช้งาน Augmented Reality (AR) โดยมีหลักการทำงาน คือ ใช้ sensor ในการตรวจจับภาพ เสียงการสัมผัส หรือการรับกลิ่น แล้วสร้างภาพ 3 มิติขึ้นมาตามข้อมูลที่ได้รับ ด้วยการประมวลผลจาก software โดยผู้ใช้งานจะต้องมองผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ที่แสดงภาพได้ ไม่ว่าจะเป็น แว่นตา จอภาพ จอ Smartphone หรือคอนแทกต์เลนส์ ที่เป็น hardware ระบบ 5G เปรียบเสมือนท่อส่งข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการเข้าถึงการใช้งาน Cloud Computing ได้อย่างดี
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 5G จำเป็นต้องใช้ semiconductors และ integrated chips เพื่อที่จะเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารไร้สายทุกชนิด (user interface) เข้าด้วยกัน จากข้อมูลของ Viavi research company ณ สิ้นปี 2019 มี 85 เมืองในเกาหลีใต้ 57 เมืองในจีน 50 เมืองในสหรัฐอเมริกา มีระบบ 5G ใช้แล้ว และจำนวนเมืองที่ใช้ 5G จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่วนประกอบของ semiconductors ที่จำเป็นต่อ 5G ได้แก่ 5G embedded SOC CPU/AP, Application-specific IC (ASIC), Power management IC (PMIC), memory, graphic processors เป็นต้น
โควิด-19 เป็นแรงผลักดันให้บริษัทและผู้บริโภคปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลเร็วขึ้น สำหรับนักลงทุน เราจึงต้องติดตามแนวโน้มดิจิทัลเพื่อหาโอกาสในการลงทุน