นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จีนเป็นประเทศที่มีการเติบโตก้าวกระโดด จากประเทศที่อาศัยแรงงานผลิตสินค้าพื้นฐานด้วยต้นทุนต่ำ (Old Economy) ไปสู่การผลิตสินค้าบริการที่มีเทคโนโลยี (New Economy) ภายใต้นโยบาย Made in China 2025 จีนมีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่และการขยายตัวของสังคมเมือง เป็นโอกาสดีในการลงทุนในกลุ่มบริษัทที่สอดคล้องกับการเติบโตอย่างรวดเร็วดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้นจำนวนกว่า 3,500 บริษัทที่รวมเรียกว่า หุ้นจีน A-Shares
ตลาดหุ้นจีน A-Shares ที่มีความน่าสนใจ และมีหุ้นที่หลากหลายโดดเด่น ได้แก่ ธุรกิจเกี่ยวข้องการบริโภค กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร นอกจากนี้ บริษัทในตลาดหุ้นจีน A-Shares ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อย่างจำกัด เนื่องจากรายได้ของบริษัทดังกล่าว กว่าร้อยละ 90 มาจากการบริโภคภายในประเทศจีน
เอ็มเอฟซีจึงแนะนำกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไชน่า อิควิตี้ (MCHINA) เป็นกองทุนรวมประเภท Feeder Fund มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Allianz China A-Shares (กองทุนหลัก) ซึ่งบริหารโดย Allianz Global Investors GmbH เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่ต่ำกว่า 80% ของ NAV ซึ่งกองทุนหลักจดทะเบียนจัดตั้งที่ประเทศลักเซมเบิร์ก โดยกองทุนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว เน้นลงทุนในตลาดหุ้น A-Shares ของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยไม่จำกัดกลุ่มอุตสาหกรรมหรือประเทศที่ก่อตั้งดำเนินธุรกิจและลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน (efficient portfolio management)
กองทุนหลักยังมีจุดเด่นที่สำคัญ คือ มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น กองทุนได้ Overall Morningstar Rating 5 ดาว ในกลุ่ม China Equity กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นจีนที่มีการเติบโตสูง (Growth) คุณภาพดี (Quality )และมีมูลค่าที่เหมาะสม (Valuation) เพื่อคัดสรรหลักทรัพย์ลงทุน 40 – 60 บริษัท โดยผ่านกระบวนการวิเคราะห์เชิงลึกอย่างเข้มข้นพร้อมด้วยทีมงานวิจัย ภาคสนาม (Grass root Research) ที่มีความเชี่ยวชาญ และคัดเลือกหุ้นที่มีผลตอบแทนสม่ำเสมอ
โดยเน้นกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ อาทิบริษัทในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศจีน เช่น Consumer Brands, Tourism, Health Care Service หรือกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายของภาครัฐอย่าง Semiconductor, รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ Hi-tech ต่างๆ
นายธนโชติกล่าวอีกว่า จีนเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก โดยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 หรือคิดเป็น 16.2% ของจีดีพีโลก และคาดว่าจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2030 ด้วยประชากร 1.5 พันล้านคน จีนมีจุดเด่นในด้านกำลังการบริโภคขนาดใหญ่ของชนชั้นกลางและมีระดับรายได้สุทธิหลังหักภาษีที่สามารถใช้จ่ายได้จริงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.8% ต่อปี) จีนได้ผ่านวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นประเทศแรก ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเนื่องจากการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและนโยบายผ่อนคลายการเงินส่งผลให้กลุ่มธุรกิจบางกลุ่มในจีนขยายตัวสวนกระแส จึงเป็นโอกาสดีที่จะลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาวของจีนเพื่อสร้างความมั่งคั่งไปพร้อมกับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของจีน