นายโรเบิร์ต เพนนาโลซา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทจะทำการเสนอขายกองทุนรวมเพื่อการออม กองทุนเปิดอเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ตราสารทุนไทย เพื่อการออม (ABTESSF และ ABTESSFX) สนับสนุนการออมระยะยาวเพื่ออนาคต พร้อมได้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะหุ้นไทยน่าลงทุน เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) 1-10 มิ.ย. 63
กองทุนเปิดอเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ตราสารทุนไทย เพื่อการออม เป็นกองทุนรวมตราสารทุน โดยจะลงทุนในระยะปานกลางและระยะยาวในหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีการบริหารพอร์ตการลงทุน โดยเน้นกลยุทธ์แบบ Bottom Up Approach หรือการวิเคราะห์หลักทรัพย์รายตัวด้วยเกณฑ์การพิจารณาที่ประกอบด้วยปัจจัยทางด้าน ESG และปัจจัยหลักรอบด้าน ซึ่งมีขั้นตอนแตกต่างจากบริษัทอื่นอย่างชัดเจน โดยใช้หลักการ คุณภาพ มูลค่า และการเปลี่ยนแปลง (Quality and Value, Change) โดยเน้นการถือหลักทรัพย์ที่ผ่านการคัดกรองแล้วในระยะยาวเพื่อสร้างโอกาสผลตอบแทนที่มั่นคง กองทุนนี้จะมีให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่ ชนิดเพื่อการออมพิเศษ (ABTESSFX) และชนิดเพื่อการออม (ABTESSF) เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้ และต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน โดยผู้ลงทุนสามารถเริ่มลงทุนได้ที่ขั้นต่ำ 5,000 บาท
“ในฐานะผู้บริหารจัดการกองทุนระดับโลก และหนึ่งในทีมผู้จัดการกองทุนที่ทุ่มเทในประเทศไทย อเบอร์ดีน สแตนดาร์ดมีความยินดีที่จะมอบผลตอบแทนในการลงทุนระยะยาวผ่านกองทุนรวมเพื่อการออมนี้ ด้วยสภาพแวดล้อมตลาดในปัจจุบันและทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ของเรา ผู้ลงทุนสามารถมั่นใจได้ว่าเราจะสามารถลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูงในราคาที่เหมาะสมเพื่อสร้างผลตอบแทนที่แท้จริงในระยะยาวสำหรับนักลงทุน”
สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนเพื่อใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษี ต้องถือครองหน่วยลงทุนกองทุน SSF และ SSFX เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยนับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน สำหรับการลงทุนในกองทุน SSFX สามารถนำมาลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท (ไม่รวมกับวงเงินซื้อหน่วยลงทุนกองทุน SSF แบบปกติ) เริ่มซื้อหน่วยลงทุนได้ตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน 2563 นี้ แตกต่างจากกองทุน SSF ที่สามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ในปี 2563-2567 โดยกองทุน SSF สามารถหักลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท แต่เมื่อรวมกับวงเงินหักลดหย่อนรวมในกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วสามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปีภาษี