นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด (บลจ.ภัทร) บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า บลจ.ภัทรเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออมเพิ่มเติมอีก 8 กองทุน ให้ผู้ลงทุนสามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. 2563 ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากที่ได้เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออมของกองทุนเปิดภัทร สตราทิจิค แอสเซ็ท อโลเคชั่น (PHATRA SG-AA-SSF) ไปแล้วเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2563 ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้ครอบคลุมนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกผสมผสานจัดพอร์ตการลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และความเหมาะสมของผู้ลงทุน อีกทั้งผู้ลงทุนยังสามารถนำมูลค่าซื้อหน่วยลงทุนในหน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม (SSF) ไปลดหย่อนภาษีเงินได้ไม่เกิน 200,000 บาท ภายใต้เงื่อนไขว่าเมื่อรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ประกันบำนาญ และกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท ตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายกำหนด
กองทุนรวมเพื่อการออมทั้ง 9 กองทุนข้างต้น เป็นการแบ่งชนิดหน่วยลงทุน (Class) จากกองทุนรวมที่มีอยู่ในปัจจุบันของ บลจ.ภัทร ครอบคลุมทุกประเภททรัพย์สิน ประกอบด้วย
1. กองทุนรวมตลาดเงิน (ความเสี่ยงต่ำ) : ได้แก่ กองทุน PHATRA MP-SSF เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทยระยะสั้น และเงินฝาก
2. กองทุนตราสารหนี้ (ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ) : ได้แก่ กองทุน PHATRA ACT FIXED-SSF เน้นกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและตราสารหนี้ภาคเอกชนทั้งใน และต่างประเทศ โดยมีกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก (Active Management)
3. กองทุนผสม (ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) : บลจ.ภัทรมีกองทุนผสมที่กระจายการลงทุนในทรัพย์สินต่างๆ ทั้งใน และต่างประเทศ ได้แก่ ตราสารทุน ตราสารหนี้ ตลอดจนทรัพย์สินทางเลือก เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทองคำ และน้ำมัน โดยมีให้เลือก 3 กองทุน ซึ่งแตกต่างกันตามระดับความเสี่ยง โดยลงทุนในทรัพย์สินประเภทต่างๆ ในสัดส่วนที่แตกต่างกันไล่เรียงตามระดับความเสี่ยง ดังนี้ (1) กองทุน PHATRA SG-AA Light-SSF (2) กองทุน PHATRA SG-AA-SSF และ (3) กองทุน PHATRA SG-AA Extra-SSF
4. กองทุนตราสารทุน (ความเสี่ยงสูง) : สำหรับกองทุนตราสารทุนในประเทศ มีให้เลือก 2 กองทุน ได้แก่ (1) กองทุน PHATRA ACT EQ-SSF ลงทุนในตราสารทุนที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มในการเจริญเติบโตสูง โดยมีกลยุทธ์การลงทุนแบบเชิงรุก (Active Management) และ (2) กองทุน PHATRA SET50 ESG-SSF ลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยกองทุนมีเป้าหมายเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET50 โดยจะคัดเลือกหลักทรัพย์ตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทจัดการกำหนด เช่น หลักเกณฑ์ด้านปัจจัยพื้นฐาน หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนตราสารทุนต่างประเทศ ได้แก่ กองทุน PHATRA PGE-SSF ซึ่งลงทุนในกองทุนหลัก คือ iShares MSCI ACWI ETF ที่เน้นลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับ
ผลการดำเนินงานของดัชนี MSCI ACWI
5. กองทุนรวมหน่วยลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (ความเสี่ยงสูงมาก) : ได้แก่ กองทุน PHATRA PROP-D-SSF ลงทุนในหลักทรัพย์/ตราสารที่อยู่ในหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ (Property Sector) ทั้งใน และต่างประเทศ โดยมีกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก (Active Management)
“สำหรับภาวะตลาดการลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศในช่วงนี้มีการฟื้นตัวดีที่ขึ้น เนื่องจาก หลายประเทศเริ่มควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้มากขึ้นและทยอยเปิดดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม บลจ.ภัทรมองว่าตลาดการลงทุนทั่วโลกในช่วงที่เหลือของปียังคงมีความผันผวนสูง เนื่องจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคคาดว่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนกว่าจะมียารักษาหรือวัคซีนไวรัสโควิด-19 ทำให้ยังคงมีความเสี่ยงที่ธุรกิจซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด-19 อาจขาดสภาพคล่องและผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งตลาดการลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม มาตรการทางการเงินและการคลังที่รัฐบาลและธนาคารกลางของหลายประเทศประกาศใช้ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ช่วยให้มีสภาพคล่องเพิ่มในระบบจำนวนมหาศาล นับเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจและตลาดการลงทุนโดยรวม
การลงทุนในกองทุนรวม SSF จะช่วยสร้างวินัยการลงทุนในระยะยาวให้แก่ผู้ลงทุน ซึ่งกำหนดการถือหน่วยลงทุนเป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว โดย บลจ.ภัทรมองว่าการกระจายการลงทุนในทรัพย์สินที่หลากหลายเป็นวิธีที่จะช่วยให้ผู้ลงทุนรับมือกับความผันผวนได้ดีขึ้น จึงได้นำเสนอหน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม 9 กองทุนที่ครอบคลุมทุกประเภททรัพย์สิน เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกผสมผสานจัดพอร์ตการลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และตอบสนองต่อเป้าหมายการลงทุนระยะยาว” คุณยุทธพลกล่าว