โดย ทีมจัดการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด
ตั้งแต่เปิดปี 2020 เป็นต้นมาโลกต้องเผชิญกับสภาวะความไม่แน่นอนทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างรุนแรง เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง จากการที่สหรัฐฯ สังหารนายพลคนสำคัญของอิหร่าน แต่เคราะห์ดีที่ไม่เกิดการตอบโต้ทางทหารที่รุนแรง ทำให้เหตุการณ์ไม่ลุกลามบานปลาย ต่อมาในช่วงปลายเดือนมกราคม เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในประเทศจีนและลุกลามต่อเนื่องไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั่วโลกเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจภายในประเทศเองก็ถูกกดดันจากทั้งภาวะภัยแล้ง ความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยอย่างรุนแรง เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นชาติหลักที่เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ประกอบกับในช่วงเวลาปกติ ไตรมาสที่ 1 ถือเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยวไทย ส่งผลให้ประเทศสูญเสียรายได้ไปอย่างมาก ผลกระทบดังกล่าวยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก เมื่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ขยายวงกว้างออกไปในอีกหลายประเทศนอกเหนือจากประเทศจีน ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกหยุดชะงักลง และยังส่งผลไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สนามบิน สายการบิน การขนส่ง ห้างสรรพสินค้า ค้าปลีก โรงภาพยนตร์ รวมถึงภาคการผลิตที่ต้องอาศัยชิ้นส่วนวัตถุดิบจากต่างประเทศ ต่างก็ต้องชะลอคำสั่งซื้อออกไป เนื่องจากไม่สามารถขนส่งสินค้าระหว่างกันได้ จะเห็นได้ว่าผลกระทบดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภาคการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่กระจายไปทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ
จากปัจจัยข้างต้นทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว นักลงทุนจึงมีการเทขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดคงยังไม่สามารถยุติได้ในเร็ววัน อาจทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 1 ออกมาแย่กว่าที่คาด และหากสถานการณ์ดังกล่าวยังไม่คลี่คลาย ก็อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ต่อเนื่องไปอีกก็เป็นได้
ขณะเดียวกัน ในฝั่งตลาดตราสารหนี้ไทยกลับให้ผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงมาอยู่ราว 1.08% (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ก.พ. 2563) ขณะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุตั้งแต่ 7 ปีลงมาอยู่ระดับที่ต่ำกว่า 1% ซึ่งเป็นระดับของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงการขาดความเชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม และการที่นักลงทุนหันมาถือสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากขึ้น
ในเชิงของกลยุทธ์การลงทุน หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไปในลักษณะเช่นนี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปีอาจยังมีความเสี่ยงด้านขาลง เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายภาคส่วนยังคงหยุดชะงักอยู่ ตามเหตุผลที่ได้กล่าวไปข้างต้น ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อ ขณะเดียวกัน หากเราเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างพันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้ภาคเอกชน ก็จะพบว่าอัตราผลตอบแทน ณ ปัจจุบันนั้นอยู่ในระดับที่ต่ำ ทำให้มีความน่าสนใจลงทุนน้อย นักลงทุนจึงควรแสวงหาทางเลือกการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ แต่ยังสามารถจ่ายผลตอบแทนออกมาให้นักลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ นั่นหมายความว่าสินทรัพย์ที่เข้าไปลงทุนต้องมีรายรับที่ค่อนข้างแน่นอนไม่ผันผวนไปตามสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งหนึ่งในสินทรัพย์ที่สามารถให้ผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ ก็คือ กองทุนประเภท Property Funds, REITs และ Infrastructure Funds ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วสินทรัพย์ในกองทุนประเภทนี้มักมีสัญญาเช่าระยะยาว จึงทำให้มีรายได้ที่ค่อนข้างมั่นคง
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์ที่อยู่ในแต่ละกองทุนให้ดีเสียก่อน เนื่องจากกองทุนประเภท Property Funds, REITs และ Infrastructure Funds สามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น อาคารสำนักงาน โรงงานให้เช่า คลังสินค้าให้เช่า ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การประชุม โรงแรม โรงไฟฟ้า หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม เป็นต้น ซึ่งสินทรัพย์แต่ละประเภทอาจมีคุณลักษณะที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านของ
1. คุณภาพของสินทรัพย์ โดยอาจพิจารณาได้จากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็น ทำเลที่ตั้งของสินทรัพย์ ความสามารถในการขึ้นค่าเช่า ความสามารถในการรักษาอัตราการเช่าให้อยู่ในระดับสูง รวมถึงคู่แข่งที่จะเข้ามาในอนาคต
2. รูปแบบของรายได้ สินทรัพย์บางประเภทมีรายได้ค่าเช่าที่คงที่ สินทรัพย์บางประเภทมีรายได้ที่เป็นค่าเช่าคงที่บางส่วนและเป็นรายได้ประเภทที่เป็นส่วนแบ่งรายได้บางส่วน หรือสินทรัพย์บางประเภทอาจมีรายได้ที่ผันแปรไปตามอัตราการใช้งานเป็นหลัก ซึ่งทำให้ความแน่นอนของรายได้ก็แตกต่างกันออกไป
3. ระยะเวลาของสัญญาเช่าโดยเฉลี่ยของแต่ละสินทรัพย์ในแต่ละกองทุนก็แตกต่างกัน สินทรัพย์ที่มีระยะเวลาของสัญญาเช่าที่สั้นก็จะมีความเสี่ยงของการไม่ต่อสัญญามากกว่าสินทรัพย์ที่มีระยะเวลาของสัญญาเช่าที่ยาว
4. การกระจายตัวของผู้เช่า สินทรัพย์ที่มีการพึ่งพิงผู้เช่ารายใดรายหนึ่งมากเกินไป ก็จะมีความเสี่ยงมากกว่าสินทรัพย์ที่มีการกระจายตัวของผู้เช่าหลายๆ ราย เนื่องจากหากผู้เช่ารายใหญ่ดังกล่าวยกเลิกสัญญาเช่าไป ก็มีโอกาสที่จะสูญเสียค่าเช่าเป็นจำนวนมาก
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนจะต้องพิจารณาก่อนลงทุนในกองทุนประเภท REITs นี้ก็คือ กรรมสิทธิ์การถือครองสินทรัพย์ที่กองทุนเข้าไปลงทุน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การถือครองกรรมสิทธิ์แบบเป็นเจ้าของสินทรัพย์อย่างสมบูรณ์ (Freehold) และแบบเป็นสิทธิการเช่าระยะยาวภายในระยะเวลาที่กำหนด (Leasehold) ถ้าสินทรัพย์ที่กองทุนมีนั้นเป็นประเภทสิทธิการเช่า เมื่อหมดสัญญาเช่าแล้ว มูลค่าของสินทรัพย์นั้นจะกลายเป็นศูนย์ทันที ดังนั้น หากนักลงทุนลงทุนในสินทรัพย์ประเภท Leasehold จึงควรแยกว่าผลตอบแทนที่จ่ายออกมานั้นมาจากผลประกอบการที่เกิดจากการทำมาหาได้หรือเป็นการจ่ายคืนเงินต้นออกมา
อย่างไรก็ดี นักลงทุนที่สนใจการลงทุนในกองทุนประเภท REITs นี้ อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนใน Property Funds, REITs และ Infrastructure Funds อีกทีก็ได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงอีกที เนื่องจากกองทุนประเภท REITs นี้สามารถเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ต่างกันได้ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้น การลงทุนในกองทุนรวมอีกทีจึงเปรียบเสมือนการกระจายความเสี่ยงนั่นเอง
สำหรับการลงทุนในปีที่แสนจะผันผวนปีนี้ ทางผู้จัดการกองทุนอยากจะขอเน้นย้ำว่า นักลงทุนควรมีการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลายๆ ประเภทในสัดส่วนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ท่านยอมรับได้ จึงจะทำให้พอร์ตการลงทุนของท่านไม่ผันผวนมากจนเกินไป อีกทั้งยังสามารถได้รับผลตอบแทนจากสินทรัพย์บางประเภทที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สม่ำเสมอท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนอย่างเช่นในปัจจุบันได้