xs
xsm
sm
md
lg

โควิด-19ถล่มหุ้นไทยดิ่ง72จุด-ทุบสถิติต่ำสุดในรอบเกือบ4ปี

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ผู้จัดการรายวัน 360 – ตลาดหุ้นไทยโดนถล่มหนัก หลังพบผู้ติดเชื้อ "โควิด-19" เพิ่มอีก 3 ราย ดัชนีดิ่งกว่า 72.69 จุด หรือ 5.05% หนักสุดในตลาดหุ้นเอเชีย และปิดที่ 1,366.41 จุด ต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ-ก.ล.ต. ประสานเสียง “โควิด-19” กระทบแค่บางธุรกิจ ให้เลือกลงทุนกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ แนะผู้ลงทุนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด “ภากร” ปลอบมั่นใจเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นหุ้นไทยจะรีบาวนด์ได้เร็ว เผยปัจจัยบวกพ.ร.บ.งบประมาณ 63 มีผลบังคับใช้ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (26 ก.พ.) ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้าและต่อเนื่องถึงช่วงบ่าย โดยเฉพาะก่อนปิดตลาดการซื้อขาย ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่้วโลก จากปัจจัยลบความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ขณะที่ไทยเองพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 3 ราย

โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวหลุดแนวรับที่ 1,400 จุด สร้างความกังวลให้นักลงทุน จึงมีแรงเทขายออกมาอย่างหนาแน่นในช่วงท้ายตลาด กดดันให้ดัชนีปิดที่ระดับต่ำสุด 1,366.41 จุด ลดลงกว่า 72.69 จุด คิดเป็น 5.05% มูลค่าการซื้อขายรวม 93,189.41 ล้านบาท นับเป็นดัชนีต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี นับจากวันที่ 8 เม.ย. 59 ที่ดัชนีตลาดหุ้นปิดที่ 1,369.64 จุด

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 833.93 ล้านบาท สถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 4,494.27 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 507.00 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยทั่วประเทศ ซื้อสุทธิ 4,821.20 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ราคาปิด 62.50 บาท ลดลง 2.25 บาท หรือ 3.47% มูลค่าการซื้อขาย 5,292.64 ล้านบาท บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ราคาปิด 32.50 บาท ลดลง 4.75 บาท หรือ 12.75% มูลค่า 4,673.96 ล้านบาท และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ราคาปิด 115.50 บาท ลดลง 12.50 บาท หรือ 9.77% มูลค่า 4,416.40 ล้านบาท

ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียหลักๆ ต่างปรับตัวลดลงเช่นกัน แต่ไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทย หรือลดลงจากวันก่อนต่ำกว่า 1% อาทิ ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง ปิดที่ 26,696.49 จุด ลดลง 196.74 จุด หรือ 0.73% ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดที่ 22,426.19 จุด ลดลง 179.22 จุด หรือ 0.79% ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ดัชนี FTSE STI ปิดที่ 3,117.52 จุด ลดลง 40.72 จุด หรือ 1.29% ตลาดหุ้นจีน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ปิดที่ 2,987.93 จุด ลดลง 25.12 จุด หรือ 0.83%

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2563 ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมา 8.91% ดัชนีหลุดระดับ 1,400 จุด สาเหตุเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 ที่เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งเกิดผลกระทบเฉพาะบางกลุ่มธุรกิจ บางกลุ่มมาก-น้อย ไม่เท่ากัน เช่น หมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน ปรับเพิ่มขึ้น 2.35% กระดาษและวัสดุการพิมพ์ เพิ่มขึ้น 1.05 % ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้น 0.54% เงินทุนและหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้น 5.06 % เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ลดลง 3.23 % ดังนั้น ขอให้นักลงทุนพิจารณาจากข้อมูล อย่าตื่นตระหนก ให้เลือกหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบ

"มั่นใจว่าเมื่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ดีขึ้น ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาบวกได้ เงินลงทุนต่างชาติจะไหลกลับมา เพราะเงินต่างชาติไม่ได้ไหลออกจากประเทศไทย แต่ย้ายการลงทุนจากตลาดหุ้นไปตลาดตราสารหนี้ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ทรัพย์ปลอดภัย ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ลงมาต่ำมากอยู่ที่ 1.1% ซึ่งยังมั่นใจในความแข็งแกร่งของพื้นฐานเศรษฐกิจและบริษัทจดทะเบียนไทยที่มีความหลากหลายของอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย" นายภากร กล่าว

นายภากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนในหุ้นไทยมีความแข็งแกร่ง สามารถฟื้นตัวจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ภายในเวลาอันสั้น ใช้เวลาไม่ถึง 3 เดือน เช่น ภาวะที่เกิดการระบาดของโรคซาร์ส การชุมนุมทางการเมือง ยกเว้นช่วงน้ำท่วมที่เกิดกระทบต่อระบบการผลิต ซึ่งในช่วง 3 วันที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงแต่ละวันก็มีการรีบาวน์ตัวได้ และมีมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างมาก เพราะมีนักลงทุนเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานดี ปันผลสูง ที่ราคาถูก

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นผลจากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งน่าจะมีผลต่อบางอุตสาหกรรม และเป็นการปรับตัวไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก

ทั้งนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. ได้ประสานงานกับตลาดหลักทรัพย์ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพบว่าระบบการซื้อขายและชำระราคาของธุรกิจหลักทรัพย์สามารถดำเนินการได้ตามปกติ ทั้งนี้ พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 26 ก.พ.63 จะช่วยให้เกิดการลงทุนและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ จึงขอแนะนำให้ผู้ลงทุนติดตามและศึกษาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนอย่างรอบคอบ


กำลังโหลดความคิดเห็น