ทิพยประกันภัยมั่นใจปีหน้าเบี้ยรวมโตกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม ระบุจะเป็นปีที่มีการแข่งขันกันสูง เนื่องจากเบี้ยประกันภัยทรงตัว เหตุการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคยังชะลอตัว แต่จะได้อานิสงส์จากการลงทุนภาครัฐช่วยหนุน พร้อมหนุนรัฐทำโครงการสวัสดิการเพื่อประชาชน แต่ต้องดูรายละเอียดก่อนเพื่อป้องกันการซ้ำซ้อนและประหยัดงบประมาณได้
ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัททิพยประกันภัย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีหน้าการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะส่งผลดีต่อธุรกิจประกันวินาศภัย และบริษัทคาดว่าโครงการต่างๆที่ภาครัฐวางไว้น่าจะเริ่มดำเนินการได้จริงภายในปีหน้า ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าแต่จะไม่กระทบต่อธุรกิจประกัน เพราะสำหรับโครงการที่เริ่มแล้วจะต้องเข้าระบบประกันภัยทันที ส่วนในเรื่องสัวสดิการภาคประชาชนที่มีระบบประกันเข้าไปเกี่ยวข้องภาครัฐคงต้องดูในรายละเอียดเพิ่มเติม
"เรื่องประกันสุขภาพในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐส่วนตัวมองว่า ถ้าภาครัฐมีโครงการ30บาทรักษาทุกโรคเป็นระบบประกันสุขภาพด้านพื้นฐานอยู่แล้ว ซึ่งที่รัฐควรทำก็คือการพิจารณาทำประกันเพิ่มเติมเฉพาะในส่วนของโรคเรื้อรัง หรือโรคร้ายแรงเพิ่มเติม ร่วมถึงการที่จะช่วยเหลือด้านรายได้ชดเชยระหว่างการรักษาตัว ซึ่งคนเหล่านี้มักจะไม่มีเงินเก็บและถ้าใช้ระบบประกันภัยเข้ามาช่วยจะทำให้สามารถใช้งบประมาณด้านนี้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และถ้ารัฐบาลต้องการดำเนินการอย่างจริงจังก็อยากจะแนะนำแบบนี้ เพราะจะลดความซ้ำซ้อนกับโครงการที่มีอยู่ แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ยังไม่มีการพูดคุยกับภาคเอกชนอย่างจริงจัง"ดร.สมพรกล่าว
ทั้งนี้บริษัทมีความพร้อมที่จะรองรับงานของภาครัฐอย่างเต็มที่ถึงแม้ช่วงที่ผ่านมาบริษัทเริ่มหันกลับมาให้ความสำคัญกับการรับประกันภัยรถยนต์มากขึ้น ซึ่งบริษัทที่จะให้ความร่วมมือและริเริ่มโครงการร่วมกับภาครัฐอยู่เสมอในด้านการประกันภัย เพราะบริษัทมองว่าการดำเนินงานของบริษัทด้านนึงจะเป็นการช่วยเหลือสังคมและไม่ใช่การดำเนินธุรกิจที่ต้องการสร้างผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะสร้างความคุ้มครองและหลักประกันให้แก่ประชาชนด้วย
สำหรับเบี้ยประกันภัยในส่วนของโครงการภาครัฐและเอกชนจะมีอยู่ประมาณ 40% ของเบี้ยประกันภัยรับรวมจากเดิมที่อยู่ประมาณ 70% ซึ่งเป็นการขยายงานภาคเอกชนทำให้สัดส่วนดูลดลง โดยบริษัทยังมองว่าการรับงานภาคเอกชนยังมีโอกาสโต ซึ่งภาครัฐที่จำเป็นจะต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนทำให้เชื่อว่าเบี้ยในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนน่าจะมีการขยายตัวที่ดี
ดร.สมพร กล่าวอีกว่า ภาพร่วมเศรษฐกิจในปีหน้าจะขับเคลื่อนด้วยการใช้จ่ายของภาครัฐ แต่การที่จะทำให้การเศรษฐกิจเติบโตอย่างถาวรจะต้องมีการลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภายในประเทศ และปีหน้าการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคภายในประเทศจะยังชะลอตัวอยู่ ซึ่งการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาการเติบโตของธุรกิจจะเป็น2เท่าของการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ใน5ปีหลังมีการเปลี่ยนแปลงเป็นการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยจะอยู่ประมาณครึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สำหรับปีหน้าถ้าเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตอย่างมากที่สุด 3% เชื่อว่าธุรกิจประกันวินาศภัยน่าจะเติบโตได้ประมาณ 1.5% โดยบริษัทจะตั้งเป้าหมายการเติบของเบี้ยประกันภัยสูงกว่าอุตสาหกรรมเป็น2เท่าเสมอ
"ปีหน้าการแข่งขันในธุรกิจประกันวินาศภัยน่าจะรุนแรงกว่าปีนี้ เพราะเบี้ยประกันภัยยังอยู่เท่าเดิมไม่ขยับตัวมากนัก โดยส่วนใหญ่จะเป็นเบี้ยจากการลงทุนภาครัฐ แต่ในส่วนของเอกชนและการบริโภคยังชะลอตัวซึ่งน่าจะทำให้เห็นการแข่งขันด้านราคาเพิ่มมากขึ้น แต่บริษัทจะไม่แข่งขันด้านราคาและเชื่อว่าผู้บริโภคยังเลือกทำประกันภัยจากความคุ้มค่าและบริการ ซึ่งลูกค้าที่ให้ความสำคัญด้านราคาเป็นหลักจะไม่ใช่กลุ่มลูกค้าของเรา"ดร.สมพรกล่าว