บลจ.กรุงศรีเปิดตัวกองหุ้นธรรมาภิบาลไทย ตามโครงการกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย มั่นใจให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดโดยรวม แถมเติบโตยั่งยืนจากบริษัทที่ลงทุน ระบุเน้นหุ้นบริษัทที่ได้ CG Rating 4 ดาวจากสถาบันกรรมการบริษัทไทย พร้อมย้ำตลาดหุ้นไทยกลาง-ยาวดี รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินการลงทุนของภาครัฐ
นางสาวศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด(บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า บริษัททำการเปิดตัวกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นธรรมาภิบาลไทย (KFTHAICG) เน้นลงทุนหุ้นคุณภาพดี ธรรมาภิบาลเด่น ชี้เป็นหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่าตลาดโดยรวม เติบโตยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมโปร่งใสและต่อต้านการคอร์รัปชันอย่างเป็นรูปธรรม เสนอขายครั้งแรกตั้งแต่วันนี้ถึง 29 สิงหาคม 2560
สำหรับกองทุนดังกล่าวเกิดจากการที่บริษัทเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นอีกหนึ่งพลังสนับสนุนการสร้างธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชันในสังคมไทย แนวคิดคือการเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากหุ้นที่มีมาตรฐานด้านธรรมาภิบาลดีเด่น ลงทุนได้อย่างมั่นใจ พร้อมกับการมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมโปร่งใสและต่อต้านการคอร์รัปชัน ด้วยการที่บริษัทจะนำเงิน 40% ของค่าธรรมเนียมบริหารจัดการกองทุนที่บริษัทได้รับไปมอบให้แก่หน่วยงานที่ส่งเสริมธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชัน”
“หุ้นที่กองทุน KFTHAICG จะพิจารณาลงทุนคือหุ้นของบริษัทที่ได้รับ CG Rating 4 ดาวจากสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) และเข้าร่วมในโครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นร่วมกันโดยคณะกรรมการกำหนดหลักทรัพย์และหลักเกณฑ์ในการลงทุนและคณะกรรมการพิจารณาการบริจาคเงินกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย ทั้งนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนของ บลจ.กรุงศรีจะใช้กระบวนการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นรายตัวในการกลั่นกรองหุ้นเหล่านี้อีกครั้ง โดยจะวิเคราะห์ทั้งในเรื่องของศักยภาพในการเติบโต ความสามารถในการทำกำไร และระดับราคา เพื่อคัดสรรบริษัทที่เรามีมุมมองว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาด และสามารถสร้างผลการดำเนินงานของกองทุนให้สม่ำเสมอยั่งยืน โดยกลยุทธ์จะเน้นการลงทุนที่ยืดหยุ่น ไม่มีข้อจำกัดด้านประเภทหุ้นที่ลงทุน สามารถพิจารณาลงทุนได้ทั้งหุ้นเติบโต หุ้นปันผล หุ้นคุณค่า หุ้นขนาดเล็ก หุ้นขนาดใหญ่ และปรับให้เหมาะกับภาวะตลาดแต่ละช่วงเวลา โดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์มานานกว่า 10 ปี และมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกองทุนหุ้นไทยกว่า 87,000 ล้านบาท” (ข้อมูล : บลจ.กรุงศรี ณ มิ.ย. 60)
“อีกประเด็นที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุน คือในทุกกองทุนของ บลจ.กรุงศรี เราให้ความสำคัญต่อคุณภาพด้านธรรมาภิบาลของบริษัทที่เราจะเลือกลงทุนเสมอมาอยู่แล้ว เพราะเราเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้บริษัทนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะเติบโตยั่งยืน ถ้าเปรียบเทียบผลตอบแทนเฉลี่ยของ IOD/CG index ย้อนหลังประมาณ 9 ปี (ม.ค. 50-ก.ย. 59) อยู่ที่ 12.28% ต่อปี สูงกว่า SET Index ที่ 10.33% ต่อปี และผลตอบแทนปรับด้วยระดับความเสี่ยงก็สูงกว่าเช่นกัน (ที่มา : Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2016, Thai IOD / ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต)
“ทั้งนี้ ปัจจุบัน บลจ.กรุงศรียังคงมีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะปานกลาง-ยาว เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการทั้งในส่วนของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี นโยบายการเงินของไทยยังคงอยู่ในภาวะผ่อนคลาย และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังอยู่ระดับต่ำต่อไป ด้านนโยบายภาครัฐ ได้มีการลงทุนในหลายๆ โครงการ เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง EEC เป็นต้น เมื่อถึงเวลาที่มีการเบิกจ่ายเต็มที่น่าจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดียิ่งขึ้น ในส่วนของภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้ดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในระยะกลางถึงยาว แม้ว่าในปีนี้ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดอื่นๆ แต่หากพิจารณาหุ้นเป็นรายตัวจะพบว่าหุ้นหลักๆ หลายตัวปรับขึ้นมากกว่า 10% แล้ว ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น”
“กองทุน KFTHAICG เป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจและเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่สังคมไทย ผู้ที่ลงทุนในกองทุนดังกล่าวจะมีโอกาสเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างภูมิใจ คือได้มีส่วนในการสนับสนุนองค์กรที่มีธรรมาภิบาล ต่อต้านคอร์รัปชัน และได้รับผลตอบแทนจากหุ้นคุณภาพดี ธรรมาภิบาลเด่น เน้นการเติบโตของเงินลงทุนอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนต้องสามารถรับความผันผวนในระยะสั้นจากการลงทุนในตลาดหุ้นได้ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีอย่างยั่งยืนในระยะยาว และควรมีระยะเวลาในการถือครองประมาณ 3 ปีขึ้นไป” น.ส.ศิริพรกล่าว