นายกสมาคม บลจ. เผย 11 บลจ. น้ำดีจับมือตั้งกองทุนลุยหุ้นธรรมาภิบาล เชื่อหนุนเพิ่มความโปร่งใสในการบริหารและรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทจดทะเบียน คาด เริ่มจำหน่ายแก่นักลงทุนได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปีนี้ ด้านบิ๊ก บลจ. ประสานเสียง มั่นใจหุ้นไทยดี กำไรบริษัทจดทะเบียนโตต่อ แถมเศรษฐกิจไทยฟื้นช่วยหนุน ระบุ ผลตอบแทนอาจลดลงบ้าง แต่ยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ยิลด์ดีสุด พร้อมแนะกระจายลงทุนหลากสินทรัพย์ มั่นใจลดความผันผวนดีสุด
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยว่า บริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) จำนวน 11 บริษัท ได้ทำความร่วมมือเพื่อเปิดจำหน่ายกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย เพื่อสนับสนุนการมีธรรมาภิบาลและต่อต้านการคอร์รัปชัน ซึ่งทั้ง 11 บริษัท ประกอบด้วย 1. บลจ.กรุงไทย 2. บลจ.กรุงศรี 3. บลจ.ทหารไทย 4. บลจ.ทาลิส 5. บลจ.ทิสโก้ 6. บลจ.ไทยพาณิชย์ 7. บลจ.บัวหลวง 8. บลจ.ยูโอบี 9. บลจ.กสิกร 10. บลจ.เอ็มเอฟซี และสุดท้าย บลจ.บางกอกแคปปิตอล
ทั้งนี้ บลจ. จะนำรายได้ 40% จากค่าธรรมเนียมของการจัดการกองทุนที่ได้รับไปบริจาคให้กับหน่วยงานที่ส่งเสริมธรรมาภิบาลไทย และหน่วยงานที่ส่งเสริมการต่อต้านคอร์รัปชัน โดยพิจารณาถึงความยั่งยืนของโครงการต่างๆ ส่วนการคัดเลือกบริษัทที่จะลงทุนจะเลือกจากบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับ Thai IOD(CGR) rating ตั้งแต่ 4 ดาวขึ้นไป ซึ่งได้รับการรับรองจากแนวร่วมปฎิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริตเป็นหลัก
โดยเบื้องต้นบริษัทที่ได้รับคัดเลือกจะมีอยู่ด้วยกันประมาณ 103 บริษัท แต่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีกต่อจากนี้ โดยคาดว่ากองทุนธรรมาภิบาลของทั้ง 11 บลจ. จะสามารถเปิดจำหน่ายให้แก่นักลงทุนในช่วงไตรมาสที่ 3 หรือ 4 ของปีนี้ เป็นต้นไป
“กองนี้จะมีทั้งแบบแอคทีฟ พาสซีพ หรืออาจเป็นอีทีเอฟ ตามความถนัดของแต่ละ บลจ. ซึ่งค่าธรรมเนียมจะไม่เท่ากัน ส่วนหุ้นที่เข้าเกณฑ์นั้นแต่ละ บลจ. เลือกเอง และสามารถปรับออกเองได้ โดยข้อมุลเหล่านี้จะมีการปรับทุกปี แต่ถ้าพบว่าหุ้นตัวไหนไม่เหมาะสมก็สามารถปรับออกก่อนได้ และการตั้งกองทุนนี้จะเป็นแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนมีการบริหารงานที่โปร่งใส และตระหนักในความรับผิดชอบต่อผู้ลงทุนและสังคมมากขึ้นด้วย” นางวรวรรณ กล่าว
ชี้หุ้นไทยดี-กำไร บจ.โตต่อ
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มที่ดี และตั้งแต่ต้นปีผ่านมาทุก บลจ. ลงทุนรวมกันแล้วกว่า 4.7 หมื่นล้านบาท และคาดว่าในปีนี้กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตอยู่ในระดับ 8 - 10% ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัว ซึ่งต่อจากนี้เป็นหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนในการคัดสรรการลงทุนเพื่อให้เหมาะกับความเสี่ยงควบคู่กันไป อย่างไรก็ตาม สิ่งที่บริษัทจดทะเบียนต้องพัฒนาคือด้านนวัตกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและสร้างรายได้ในอนาคต
“กำไรของบริษัทจดทะเบียนปกติจะโตเป็น 2 เท่าของจีดีพี แต่ปีนี้เรื่องนวัตกรรมจะเป็นสิ่งสำคัญที่บริษัทจดทะเบียนต้องให้ความสำคัญในอนาคต ซึ่งเชื่อว่าบริษัทจดทะเบียนไทยล้วนมีคุณภาพและศักยภาพเหมาะที่จะลงทุน โดยในส่วนของบริษัทเองเราก็มีนวัตกรรมเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม เพื่อให้เหมาะกับสังคมสูงวัย และสามารถสร้างโอกาส ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงควบคู่กันไป” นายสมิทธ์ กล่าว
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศอยู่ในช่วงที่กำลังฟื้นตัว ซึ่งโดยรวมแล้วทิศทางของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนเป็นอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนหนีออกจากการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งการลงทุนในหุ้นนั้นพบว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดี แต่จะทำอย่างไรให้นักลงทุนเข้าใจและตอบสนองการเข้าสู่สังคมสูงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ บริษัทได้ทำการรวบรวมข้อมูล และทำให้พบว่าการลดความผันผวนนั้น สามารถทำได้ด้วยการกระจายการลงทุนในหลากสินทรัพย์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมมากที่สุดต่อจากนี้และหน้าจะช่วยตอบโจทย์การลงทุนที่เหมาะกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทยมากที่สุด
ด้าน นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ทาลิส กล่าวว่า ในอดีตการลงทุนในหุ้นจะมีผลตอบแทนจากการปรับขึ้นของราคาและเงินปันผลรวมกันแล้วประมาณ 12% จากพื้นฐานอัตราการเติบโตของจีดีพีไทยที่ประมาณ 7% ซึ่งการลงทุนในหุ้นต่อจากนี้น่าจะมีผลตอบแทนลดลงบ้างที่ประมาณ 7 - 8% จากพื้นฐานการเติบโตของจีดีพีที่ประมาณ 3 - 4% อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นถือว่ามีผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น ตราสารหนี้ ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยทรงตัวอยู่ในระดับต่ำมาโดยตลอด