ไตรมาสแรกของปี 60 ปัจจัยหลายด้าน เช่น การผิดนัดชำระหนี้ประเภท High Yield สภาวะตลาดหุ้นไทยผันผวน รวมทั้งเหตุการณ์ความตึงเครียดของสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุน ทำให้เงินไหลเข้ากองทุนรวมสุทธิเพียง 42,577 ล้านบาท และกองทุนรวมโตเพียงเล็กน้อยจากสิ้นปีที่แล้ว 2.06%
นายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์กองทุน ประจำประเทศไทย บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จากปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้ประเภท High Yield ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อการลงทุนในตราสารดังกล่าว จึงเป็นผลให้ผู้ลงทุนตัดสินใจไม่ลงทุนต่อในกลุ่มดังกล่าวและดูเหมือนยังไม่จบสิ้นดี
ที่สำคัญมากไปกว่านั้นเหตุการณ์ดังกล่าวยังส่งผลกระทบไปถึงหลาย บลจ.ที่เน้นการออกกองทุนในกลุ่มกองทุนประเภทดังกล่าวเป็นพิเศษนั้นได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดยที่บาง บลจ.ยอดเงินภายใต้การบริหารลดลงไปกว่า 80%
สำหรับเงินไหลออกส่วนใหญ่มาจากกรณีตั๋วบีอีในประเทศที่มีปัญหา บลจ.ที่ได้รับผลกระทบเริ่มทยอยปิดกองทุนดังกล่าวเมื่อครบกำหนด บลจ.ที่ใช้เป็นกองทุนหลักในการดำเนินธุรกิจจะทำให้มูลค่าสินทรัพย์หายไปอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญนักลงทุนเริ่มกังวลความเสี่ยงดังกล่าวระวังการลงทุนประเภทตราสาร High Yield มากขึ้น ทำให้ชะลอการลงทุนและยังย้ายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นที่มีความผันผวนต่ำกว่า ดังนั้นถ้า บลจ.ไม่สามารถหาสินทรัพย์อื่นมาทดแทนได้ จึงทำให้เกิดภาวะเงินไหลออก
ส่วนทางด้าน บลจ.ที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ สังเกตได้ว่าทั้งหมดเป็นกลุ่มกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลางทั้งสิ้น ซึ่งนั่นสะท้อนให้เห็นว่าผู้ลงทุนยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์การลงทุนอยู่ 5 บลจ.ที่มีเงินไหลเข้ามากสุด อันดับ 1 บลจ.ทหารไทย จำนวน 25,184 ล้านบาท รองลงมาอันดับ 2 บลจ.กรุงไทย จำนวน 22,825 ล้านบาท อันดับ 3 บลจ.ธนชาต จำนวน 17,127 ล้านบาท อันดับ 4 บลจ.กรุงศรี จำนวน 10,096 ล้านบาท และอันดับ 5 บลจ.บัวหลวง จำนวน 6,982 ล้านบาท
นายกิตติคุณกล่าวต่อว่า ณ ไตรมาส 1 ปี 60 มีเงินไหลเข้ากองทุนรวมสุทธิเพียง 42,577 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2559 กว่า 72.53% แต่อย่างไรก็ตามภาพรวมของอุตสาหกรรมก็ยังโตอยู่ที่ 2.06% นับจากสิ้นปี 2559 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 4.74 ล้านล้านบาท ในส่วนของประเภทกองทุนที่ได้รับความนิยมจากผู้ลงทุนนั้นมีความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยที่กองทุนประเภท Foreign Investment Bond Fix Term และ Short Term Bond นั้นยังคงได้รับความนิยมสูงสุดอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปลายปีที่แล้วอันเป็นผลมาจากปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้ประเภท High Yield ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อการลงทุนในตราสารดังกล่าว จึงเป็นผลให้ผู้ลงทุนตัดสินใจไม่ลงทุนต่อในกลุ่มดังกล่าวแล้วหันมาลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสูงขึ้นและมีระยะเวลาสั้นลงแทน
อีกทั้งสภาพของตลาดหุ้นไทยที่ยังคงมีความผันผวนประกอบกับปัจจัยภายนอกทั้งเรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ย การเลือกตั้งของหลายประเทศใหญ่ในยุโรป และล่าสุดความกังวลต่อสถานการณ์ของสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ทั้งหมดกดดันให้นักลงทุนชะลอการลงทุนและรวมทั้งย้ายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ไตรมาสแรกปีนี้กลุ่ม High Yield Bond ทั้งในและต่างประเทศมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลงอย่างน่าใจหายเหลือรวมกันแค่ประมาณ 125,840 ล้านบาท จากที่เคยสูงสุดถึงกว่า 520,000 ล้านบาทเมื่อกลางปี 2558 ที่ผ่านมา