บลจ.กสิกรไทยเผย เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นจำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค ซีเล็คท์ หุ้นทุน (K-SELECT) ในอัตรา 0.60 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2558-30 พ.ย. 59 มองเศรษฐกิจในปีหน้ามีอัตราเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการฟื้นตัวภาคเกษตรและท่องเที่ยว
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นจำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค ซีเล็คท์ หุ้นทุน (K-SELECT) ในอัตรา 0.60 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2558-30 พฤศจิกายน 2559 และกองทุนเปิดเค พร็อพเพอร์ตี้ เซคเตอร์ (K-PROP) ในอัตรา 0.11 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2559-30 พฤศจิกายน 2559 โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 ธันวาคม 2559 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 77.4 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน K-SELECT ที่ผ่านมา นางสาวธิดาศิริกล่าวว่า หากนับรวมการจ่ายปันผลในครั้งนี้ด้วย กองทุนมีการจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 24 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 10.88 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา (1 ธ.ค. 58- 30 พ.ย. 59) จ่ายปันผลรวมทั้งสิ้นในอัตรา 0.60 บาทต่อหน่วย หรือสามารถคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย (Dividend Yield) อยู่ที่ 7.63% ต่อปี ขณะที่กองทุน K-SELECT มีผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 12.07% โดยสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐาน (SET Index) ซึ่งอยู่ที่ 11.07% (ข้อมูล ณ 30 พ.ย. 59) ทั้งนี้เป็นผลมาจากการคัดเลือกหุ้นแบบรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยเน้นพิจารณาหุ้นที่มีการซื้อขายอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงและมีอัตราการเติบโตที่ดี
ส่วนกองทุน K-PROP ซึ่งเพิ่งจัดตั้งไปเมื่อ 1 มิ.ย. 59 ที่ผ่านมา กองทุนมีการจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 2 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 0.24 บาทต่อหน่วย หรือสามารถคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในรอบ 6 เดือนอยู่ที่ 2.40% ขณะที่กองทุนดังกล่าวมีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 6.37% โดยสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งอยู่ที่ 0.56% (ข้อมูล ณ 30 พ.ย. 59) ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่เลือกลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และ REITs ทั้งในประเทศไทยและสิงคโปร์ซึ่งมีความมั่นคงและสามารถสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นการลงทุนในภาคธุรกิจที่พึ่งพาความต้องการในประเทศเป็นหลัก เช่น ในหมวดห้างค้าปลีก และอาคารสำนักงานของทั้งประเทศไทยและสิงคโปร์
นางสาวธิดาศิริกล่าวต่อไปว่า ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการการเติบโตของ GDP ปีนี้อยู่ที่ระดับ 3.3% เนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐและเอกชนที่ขยายตัวดีขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของรายได้เกษตรกรและการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง ขณะที่ตัวเลขการส่งออกติดลบน้อยลง ด้านธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า GDP ปีนี้จะเติบโตได้ 3.2% โดยปัจจัยสนับสนุนหลักยังมาจากการเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดได้อนุมัติมาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มเติมในเดือนธันวาคมปีนี้
“บลจ.กสิกรไทยยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในระยะกลางถึงยาว โดยคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2560 อยู่ที่ 11% ส่วนเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2560 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,690 จุด อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นอาจมีความผันผวนทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อันเนื่องมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคมนี้ และจากการคาดการณ์ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์จะดำเนินนโยบายที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศตามที่ได้หาเสียงไว้ก่อนหน้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเงินทุนไหลเข้าออกของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศ ต้องจับตามองประสิทธิภาพของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐและการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนในระยะต่อไป ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยมีกลยุทธ์การลงทุนในรายอุตสาหกรรม โดยให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตอย่างมั่นคง และกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายของภาครัฐบาลและการบริโภคภายในประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มอาหาร กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง” นางสาวธิดาศิริกล่าวในที่สุด