บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้น ได้แก่ กองทุนเปิดรวงข้าวทวีผล 2 (RKF-HI2) ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 16.92 ล้านบาท นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนจนถึงการจ่ายเงินปันผลในครั้งนี้มีการจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 21 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 11.3690 บาทต่อหน่วย
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้น ได้แก่ กองทุนเปิดรวงข้าวทวีผล 2 (RKF-HI2) ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2559-30 กันยายน 2559 โดยกองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 30 กันยายน 2559 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 ตุลาคม 2559 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 16.92 ล้านบาท
ด้านผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นที่มีการจ่ายปันผลในครั้งนี้ นางสาวธิดาศิริกล่าวว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยประวัติการจ่ายปันผลของกองทุน RKF-HI2 นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนจนถึงการจ่ายเงินปันผลในครั้งนี้ มีการจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 21 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 11.3690 บาทต่อหน่วย ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือน ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 8.13% สามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐาน (SET Index) ซึ่งอยู่ที่ 5.36% และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 12.06% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 9.95% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 59)
สำหรับมุมมองด้านการลงทุนและเศรษฐกิจภายในประเทศ นางสาวธิดาศิริกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการการเติบโตของ GDP ปีนี้ อยู่ที่ระดับ 3.3% จากเดิม 3% เนื่องจากการบริโภคทั้งภาครัฐและเอกชนขยายตัวดีขึ้น เริ่มเห็นการฟื้นตัวของรายได้เกษตรกรและการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง ส่วนการส่งออกติดลบน้อยลง ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมมีทิศทางเป็นบวก ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเชื่อว่า GDP จะเติบโตได้ 3.2% ตามที่คาด นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่คาดว่ายังคงออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมไปจนถึงปี 2560 โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศยังมีปัจจัยบวกจากสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่ยังคงมีอยู่ในระดับสูงจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายทั่วโลก รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“บลจ.กสิกรไทยยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในระยะกลางถึงยาว โดยมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปีนี้ที่ระดับ 1,550 จุด ด้วยอัตราส่วน Forward P/E ปี 2560 ที่ระดับ 14.5 เท่า และคาดว่าในช่วงกลางปี 2560 ดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 1,640 จุด ด้วยปัจจัยหนุนด้านการใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภคของภาคเอกชนและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ประกอบกับภาวะอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำและยาวนานกว่าปกติ ส่งผลให้การลงทุนในหุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่นักลงทุนควรติดตามคือ จังหวะในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่ยังเหลือการประชุมอีก 2 ครั้งในปีนี้ คือช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ที่อาจส่งผลต่อความผันผวนของหุ้นไทยในระยะสั้นและทิศทางการเคลื่อนย้ายของเม็ดเงินลงทุน ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ต้องจับตามองประสิทธิภาพของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐและการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนในระยะต่อไป ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยมีกลยุทธ์การลงทุนในรายอุตสาหกรรม โดยให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตอย่างมั่นคง กลุ่มที่จ่ายเงินปันผลในระดับดี และกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายของภาครัฐบาลและการบริโภคภายในประเทศ” นางสาวธิดาศิริกล่าวในที่สุด