xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยยังไงก็ไปต่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


คุณมณฑล จุนชยะ
ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.วรรณ
monthol.j@one-asset.com

ในช่วงนี้ตลาดเริ่มกลับมาคาดหวังอีกครั้งว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยความน่าจะเป็นในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 25% สำหรับการประชุมเดือน ก.ย. และ 47% สำหรับการประชุมเดือน ธ.ค. เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมที่ออกมาดี กอปรกับดัชนีชี้นำ (Manufacturing PMI) บ่งชี้ว่ากิจกรรมเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมในเดือน ก.ค.มีการขยายตัว ขณะที่ยอดค้าปลีกขยายตัว 3 เดือนติดต่อกันในเดือน มิ.ย. ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยยังคงเติบโตจากยอดสร้างบ้านใหม่และยอดขออนุญาตสร้างบ้านที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์เฉลี่ย 4 สัปดาห์ลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 2.58 แสนราย

อย่างไรก็ดี แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แต่ประเด็นดังกล่าวผมกลับมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังรอคอยการฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการขยายตัวของตลาดแรงงานที่มากเพียงพอ อีกทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ในเดือน ธ.ค. 59 เนื่องจากรอดูผลกระทบของ BREXIT และรอดูการฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพรวมทั้งเงินเฟ้อที่ยังมีระดับต่ำ รวมทั้งผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือน พ.ย. 59

จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ที่ยังไม่ปรับขึ้น กอปรกับการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของประเทศต่างๆ ทำให้มีกระแสเงินที่ยังไหลเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ไล่ตามตลาดกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมไปถึงตลาดหุ้นไทย ซึ่งตลาดหุ้นเอเชียรวมถึงไทยถือว่าได้เปรียบจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน ภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ BREXIT โดยในไตรมาส 3 นี้ยังคงมีกระแสเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทยด้วย และเป็นการไหลติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 สะท้อนได้ว่าในภาวะสภาพคล่องในระบบที่สูงนั้น ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียถือว่าได้รับความน่าสนใจมากที่สุด โดยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 4 ของโลก และหากเปรียบเทียบ YTD มีเม็ดเงินต่างชาติซื้อสุทธิประมาณ 1,940.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากที่สุดในประเทศกลุ่ม TIP (อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) ที่มีสถานะซื้อสุทธิ 1,643.3 และ 980.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น ผมมองว่านอกจาก Fund flow ที่ยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องแล้ว การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย ซึ่งเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3/59 จะได้รับปัจจัยหนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้น ทั้งจากสถานการณ์ภัยแล้งที่คลี่คลาย ทำให้รายได้เกษตรกรทยอยปรับตัวดีขึ้น รวมถึงจากการที่รัฐบาลพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคและนักลงทุนด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ

สำหรับในระยะใกล้นี้ อาจต้องติดตามความชัดเจนเกี่ยวกับการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งผลสำรวจครั้งที่ 8 จากนิด้าโพลบ่งชี้ว่า ผู้เห็นด้วยกับร่างฯ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 30% ซึ่งสูงกว่าผู้ไม่เห็นด้วยกับร่างฯ ที่ 7% ขณะที่ประชาชนส่วนมากประมาณ 62% ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะร่วมโหวตรับหรือไม่รับร่างฯ อย่างไรก็ดี หากมีมติรับร่างฯ และนำไปสู่การเลือกตั้งได้เร็วจะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทย แต่หากไม่เป็นไปตามคาดหมาย ภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอาจมีย่อตัวลงบ้าง ทั้งนี้ ผมมองว่าปัจจัยเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญจะยังไม่มีผลอย่างมีนัยต่อภาพตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยมองว่าความไม่แน่นอนในเรื่องดังกล่าวจะกลับมามีผลต่อความเชื่อมั่นในภาคการลงทุนอีกครั้งในปีหน้า (2560) โดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่จะได้ข้อสรุป หากใช้เวลาไม่นานก็ย่อมเป็นผลดีต่อภาคการลงทุน ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวต้องกลับมาทบทวนควบคู่ไปกับเศรษฐกิจภายในประเทศว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ชัดเจนและต่อเนื่องจากปีนี้หรือไม่ เพราะจะมีผลในแง่ของความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อตลาดหุ้นไทย

“ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น