xs
xsm
sm
md
lg

นานาทัศนะหลังมติ Brexit

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


Paul Krugman
เศรษฐกิจของอังกฤษอาจจะแย่ แต่ไม่แย่มากอย่างที่หลายคนพูดกัน การเมืองสิจะแย่เอามากๆ แต่หลายๆ อย่างที่แย่นั้นมันก็เกิดขึ้นได้ถ้าอังกฤษยังคงอยู่ใน EU ต่อ

ใช่ ... Brexit จะทำให้อังกฤษจนลง แต่ขณะนี้ที่ทุกๆ คนพูดถึงมีแต่เรื่องเกี่ยวกับการเงิน ... ตลาดพัง .... Recession ในอังกฤษและอาจจะทั่วโลก บลาๆๆๆ

แต่ผมยังไม่เห็นมันเกิดขึ้นเลย

เงินปอนด์ดิ่งเหวลงก็จริง แต่เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตในตลาดเกิดใหม่ ผมไม่เห็นว่าเงินปอนด์จะดิ่งเหวมากมายอะไร

ยิ่งเทียบกับช่วงทศวรรษ 70s ที่เกิดวิกฤตในอังกฤษจนค่าเงินตกลงถึง 1 ใน 3 .... หรือตกลงไป 1 ใน 4 ในช่วงปี 1992 ที่อังกฤษออกจากระบบแลกเปลี่ยนเงินตรา (Exchange Rate Mechanism)

เพราะขณะที่ผมเขียนอยู่นี้เงินปอนด์ตกลงไปแค่ 8% จึงยังไม่ใช่การช็อกระดับโลกอย่างที่ว่ากัน

นอกจากนี้ อังกฤษก็เป็นชาติที่กู้ยืมด้วยสกุลเงินปอนด์ จึงไม่เกิด Balance Sheet Crisis จากการที่เงินปอนด์ลดค่าลง ซึ่งไม่เหมือนกรณีของอาร์เจนตินาที่เปโซพังเพราะกู้เป็นดอลลาร์สหรัฐ

ดังนั้น ถ้าห่วงว่าจะเจอกับเงินทุนไหลออกแล้วทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นละก็ ... ผมยังไม่เห็นจะมีสัญญาณอย่างนั้นเลย

ตรงกันข้าม อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอังกฤษอายุ 10 ปี กลับลดลงซะอีก

แล้วการที่อัตราดอกเบี้ยและดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลง มันสะท้อนความตระหนกว่าเศรษฐกิจจะอ่อนแอจนทำให้ธนาคารกลางหลายๆ แห่งต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินเอามากๆ ใช่หรือไม่

คำตอบหนึ่งของการที่อัตราดอกเบี้ยและดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงก็คือ “ความไม่แน่นอน” ซึ่งกดดันการลงทุน เพราะเราไม่รู้เลยว่ากระบวนการนำอังกฤษออกจาก EU จะเป็นอย่างไร

แต่ที่น่ากังวลมากกว่า น่าจะเป็นเรื่องการเมืองที่จะแย่เอามากๆ ทั้งที่อังกฤษและ EU

เพราะมันชัดเจนแล้วว่า EU กำลังอยู่ในความยากลำบาก และผมก็กังวลเรื่องอนาคตของ EU เป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ความกังวลในเรื่องนี้ก็จะยังคงอยู่อยู่ดี แม้อังกฤษจะลงประชามติให้ตนเองคงอยู่ใน EU ต่อไป

เพราะความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของการเกิด EU ก็คือ

- ไม่มีการคิดให้รอบคอบว่าการรวมเงินสกุลต่างๆ เป็นยูโรสกุลเดียวจะเดินไปได้อย่างไรหากไม่มีรัฐบาลกลาง

- การขาดความรับผิดชอบของประเทศทางตอนใต้ของกลุ่ม EU

- การปล่อยให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามประเทศกันได้อย่างเสรีโดยไม่คิดล่วงหน้าให้รอบคอบเสียก่อน ทั้งๆ ที่คนแต่ละประเทศต่างมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมประเพณี และระดับรายได้

เมื่อเป็นอย่างนี้ Brexit จึงเป็นผลลัพธ์จากปัญหาเหล่านี้ต่างหาก แต่การออกจาก EU ก็ทำให้อังกฤษเสียเครดิตไปด้วย ทั้งๆ ที่อังกฤษมีสามัญสำนึกที่ดีที่จะไม่อยู่ร่วมกับ EU

และความเสียหายที่แท้จริงต่ออังกฤษก็คือ การเมืองภายใน ที่อาจจะนำไปสู่การแตกแยกของ Britain ... หาก Boris ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขาอาจเป็นเพียงนายกรัฐมนตรีของ England เท่านั้น (ไม่ใช่ของ Britain)

ดังนั้น จงสงบลงได้แล้วถ้าห่วงเรื่องเศรษฐกิจในระยะสั้น เริ่มภาวนาให้ยุโรป และกังวลเรื่อง Britain แทน

Marc Faber
อนาคตของโลกในเชิงเศรษฐกิจอยู่ที่เอเชีย .... อินเดีย จีน อินโดนีเซีย และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในอินโดจีน และ Emerging Economies

ความสำคัญของโลกตะวันตกกำลังลดลงเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม Emerging Economies รวมถึงความสำคัญทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ด้วย

Nouriel Rubini
Brexit จะทำให้เศรษฐกิจของอังกฤษหยุดชะงัก และนำไปสู่ Recession เพราะคนจะช็อก ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะถูกทำลาย

การที่อังกฤษขาดดุลแฝด ทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการคลัง เป็นความเสี่ยงที่ค่าเงินปอนด์จะตกฮวบ และทำให้เงินทุนหยุดไหลเข้าประเทศ

Lee Hsien Loong นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์
หากจะดูปฏิกิริยาของผู้นำประเทศในเอเชียต่อ BREXIT ที่น่าสนใจ พี่เลือกดู ลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ทั้งในฐานะที่เราชื่นชมในความสามารถ ในฐานะผู้นำของประเทศคู่แข่งของเรา และในฐานะประเทศในแถบนี้ที่เปิดประเทศ Globalize มากที่สุด เนื่องจากผลจากประชามติอาจจะทำให้สิงคโปร์ต้องปรับเปลี่ยนอะไรๆ อีกหลายอย่างก็ได้

ลีเซียนลุงเขียนในเฟซบุ๊กสรุปใจความว่า ผลการลงคะแนนประชามติให้อังกฤษออกจาก EU ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในโลกแห่งความจริง เพราะมันสะท้อนความเครียดของคนอังกฤษต่อเรื่องคนต่างด้าวที่อพยพเข้าไปอยู่ในประเทศ สะท้อนความไม่พอใจของคนอังกฤษที่ต้องต่อรองในการเอื้อเฟื้อให้ประเทศอื่นๆ ใน EU และสะท้อนความปรารถนาที่อังกฤษจะยืนยันตัวตนและอธิปไตยของความเป็น British

ประเทศพัฒนาอื่นๆ ก็กำลังประสบกับความท้าทายแบบนี้เหมือนกัน เพราะเราทุกประเทศอยู่ในโลกที่เชื่อมโยงกัน (Globalization) ดังนั้น ความปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากกฎกติกาและข้อจำกัดที่กำหนดโดยคนอื่นเพื่อความเป็นหนึ่งเดียว ความต้องการมีอิสระที่จะทำในสิ่งที่ตนเองเลือก จึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ประเทศที่หันกลับไปมองแต่ตนเองน่าจะมีความมั่นคงปลอดภัยน้อยลง รุ่งเรืองน้อยลง และมีอนาคตที่ริบหรี่ลงก็ได้

ใน 2-3 ปีข้างหน้าจะเป็นช่วงที่อังกฤษกับยุโรปเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอน การออกจากอียูก็ซับซ้อนพอๆ กับการเข้าไปอยู่ในอียูนั่นแหละ

จะเกิดอะไรต่อไปนั้น มันเร็วเกินกว่าจะคาดการณ์ได้ แต่เราต้องจับตาดูพัฒนาการนี้อย่างใกล้ชิด และยังไม่มีใครสามารถทำนายผลกระทบจาก Brexit ได้

แต่เมื่อคนอังกฤษตัดสินใจแล้ว เราก็ขอส่งความปรารถนาดีไปยังอังกฤษ และเดวิด คาเมรอน ผู้เป็นมิตรแท้ของสิงคโปร์ ที่ได้ประกาศขอลาออกจากตำแหน่งด้วย

สิงคโปร์จะยังคงบ่มเพาะความสัมพันธ์กับอังกฤษอย่างต่อเนื่อง เพราะเราเป็นมิตรประเทศและหุ้นส่วนกัน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเวลาของความไม่แน่ไม่นอนนี้จะสั้นลง และเราจะทำให้ดีที่สุดสำหรับอนาคตใหม่ที่ตั้งอยู่บนความจริง (คือ Nationalization … อันนี้พี่เติมเอง)

โปรดสังเกตว่า ผู้นำของเขามองโลกทั้งโลก มองประเทศสิงคโปร์ทั้งประเทศ ไม่ได้มองเฉพาะผลกระทบด้านเศรษฐกิจกับการลงทุนเท่านั้น ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับ Brexit ก็ตาม

30 มิถุนายน 2559
วรวรรณ ธาราภูมิ
CEO กองทุนบัวหลวง
กำลังโหลดความคิดเห็น