xs
xsm
sm
md
lg

เล็งเพิ่มทุนกองห้างฯ-โรงแรม LH ฟันด์ชี้หุ้นไทยไม่น่ากลัว-ทองรีเทิร์น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตั้งเป้าครึ่งปีหลังลุยเพิ่มทุนกองอสังหาฯ โรงแรม-ศูนย์การค้า หวังดันยอด AUM แตะ 7 หมื่นล้านตามเป้า พร้อมขยายรุกธุรกิจทรัสตีมั่นใจสร้างรายได้จากความเชี่ยวชาญที่มี ขณะเดียวกันแนะลงทุนทองคำ น้ำมัน และหุ้นญี่ปุ่น ชี้ราคาทองคำจ่อขยับตัวขึ้นรับดีมานด์บริโภคและการลงทุนช่วงดอกเบี้ยลง ระบุหุ้นไทยไม่น่ากลัว ราคาอาจแพงแต่โอกาสทำกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชีย

นางจันทนา กาญจนาคม กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LH Fund เปิดเผยว่า สินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาของบริษัทมีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 80% และบริษัทมีแผนเดินหน้าเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) แตะ 100,000 ล้านบาทภายในปี 2560 โดยสิ้นปีนี้มั่นใจว่ามูลค่าสินทรัพย์ดังกล่าวทั้งปีเติบโตประมาณ 20% คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 70,000-75,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารทั้งสิ้นประมาณ 56,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.72% โดย AUM และหากรวมกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มีมูลค่ารวมกันอยู่ประมาณ 2,000 กว่าล้านบาทก็จะทำให้ยอด AUM แตะ 60,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มทุนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ (บจ.) จำนวน 2 กองทุนด้วยกัน ทั้งกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทโรงแรมและกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทศูนย์การค้า โดยบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มทุนกองทุนดังกล่าวในการหาสินทรัพย์ที่มีศักยภาพดีสามารถสร้างผลตอบแทนที่อยู่ในเครือ QH และ LH รวมถึงสินทรัพย์ที่อยู่นอกเครือทั้งสองแห่งด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลและสินทรัพย์ที่จะนำเข้ามา พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างขออนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต.ในการเป็นทรัสตี (Trustee) ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นอีกธุรกิจที่เพิ่มรายได้ให้บริษัทเพราะมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ

“บริษัทได้วางเป้าหมายที่จะสร้างการเติบโตให้กับองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่จะเร่งขยายธุรกิจให้มีบริการด้านกองทุนที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่สนใจเข้าลงทุนผ่านกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล โดยจะใช้จุดเด่นของกิจการในกลุ่มด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ผสมผสานเข้ากับจุดเด่นด้านความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการกองทุนผนวกกัน ทำให้การบริหารจัดการ Fund of Property Fund ทุกกองทุนของบริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นแก่ผู้ถือหน่วย” นางจันทนากล่าว

**หุ้นไทยไม่น่ากลัว-ทองคำรีเทิร์น**
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนมีความผันผวนและอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ปัจจุบันอยู่ที่ 1% กว่าเท่านั้น ซึ่งหลังจากนี้สินทรัพย์ที่บริษัทอยากแนะนำให้แก่นักลงทุนประกอบด้วย น้ำมัน ทองคำ หุ้นญี่ปุ่น กองอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และตลาดหุ้นเอเชียที่ไม่รวมญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ในส่วนของราคาน้ำมันต่อจากนี้น่าจะปรับตัวสูงขึ้นหลังจากปรับลดลงไปมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการลงทุนในน้ำมันอยากให้เป็นการลงทุนในระยะยาว แต่อาจจะยาวมากไม่ได้เพราะในอนาคตเทคโนโลยีไฟฟ้าจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ขณะที่ราคาทองคำถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนที่ดีต่อจากนี้ เพราะราคาทองคำน่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตราดอกเบี้ยและดีมานด์ของการบริโภคจากอินเดียและจีนมากขึ้น

“ในอดีตทองคำขึ้นดอลลาร์อ่อน ถ้ามีการขึ้นดอกเบี้ยแล้วดอลลาร์แข็งทองคำจะลงอันนั้นเป็นเหตุการณ์ในอดีต แต่แนวโน้มทองคำต่อจากนี้จะผูกติดกับดอลลาร์ เงินเฟ้อ และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งถ้าสหรัฐฯ ดีหุ้นจะขึ้นมากแต่การขึ้นของหุ้นจะต้องดูว่าราคามันสูงไปหรือเปล่าด้วย และถ้าดูแนวโน้มดอกเบี้ยตอนนี้เอเชียมีการปรับลดลงมาทั้ง อินโดฯ จีน เกาหลีใต้ ทำให้สินทรัพย์ที่น่าลงทุนจะเป็นหุ้นและทองคำ แต่ถ้าหุ้นมันราคาสูงเกินไปแล้ว ทองคำจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและมีโอกาสมากที่จะปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะตอนนี้ในอินเดียและจีนความต้องการทองกลับมาเป็นปกติแล้ว บวกกับปัจจัยการโหวตของอังกฤษจะส่งผลให้ในระยะสั้นมีโอกาสมากที่ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปชั่วคราว” นายมนรัตน์กล่าว

นายมนรัตน์กล่าวอีกว่า ในส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเชื่อว่าจะมีแนวโน้มที่ดีกว่าการลงทุนในยุโรป โดยธนาคารกลางญี่ปุ่นน่าจะคงมาตรการ QE ไว้แต่คงจะไม่ได้ผลเหมือนในช่วงแรก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจะเป็นปัจจัยบวกมากที่สุดคือแนวโน้มการใช้มาตรการทางการคลัง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าญี่ปุ่นจะมีการใช้จ่ายของภาครัฐในโครงการต่างๆ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นจะต้องเข้าลงทุนในกลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็ก จึงจะมีโอกาสทำกำไรจากการปรับตัวขึ้นมากกว่ากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากหุ้นในกลุ่มนี้มีเงินสดพร้อมที่จะจ่ายปันผลมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และหุ้นญี่ปุ่นที่มีการจ่ายปันผลสูงจะมีผลต่อราคามากกว่า

ขณะที่การลงทุนในหุ้นไทยนั้นเชื่อว่าไม่น่ากลัวอย่างที่คิดถึงแม้จะมีการปรับตัวขึ้นไปแล้วก็ตาม โดยหุ้นไทยเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นในภูมิภาคเอเชียจะสามารถทำกำไรต่อหุ้นในปีนี้ได้ถึง 25% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของหุ้นเอเชียจะทำกำไรได้ที่ 15% ส่วนในปีหน้าคาดว่าหุ้นไทยจะทำกำไรได้เพิ่มขึ้น 14% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของหุ้นเอเชียจะทำกำไรได้ประมาณ 11% นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับราคาในปีหน้าของหุ้นไทยกับหุ้นเอเชียจะพบว่าหุ้นไทยมีราคา PE อยู่ที่ 13.5 ขณะที่เอเชียอยู่ที่ 12.5 ซึ่งต่างกันไม่มากแต่มีอัตราการทำกำไรที่สูงกว่าชัดเจน
กำลังโหลดความคิดเห็น