xs
xsm
sm
md
lg

แนะกระจายพอร์ตลดความเสี่ยง LHFund คาดไตรมาส 2 หุ้นไทยผันผวน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ประเมินไตรมาส 2 หุ้นไทยยังผันผวน จับตาแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและปัญหาภัยแล้งอาจรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ กดดันตลาดเงินตลาดทุนไทย แนะนักลงทุนกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LHFund) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาเป็นการปรับขึ้นแบบแกว่งตัว จากปัจจัยหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐที่พยายามอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ อีกทั้งกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามายังตลาดหุ้นในเอเชียส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสแรกสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนมากกว่า 9% ติดอันดับต้นๆ ของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้นั้น LHFund ประเมินว่าได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนและเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรงกว่าทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยประมาณ 0.5% รวมถึงประเด็นธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่มีความเป็นไปได้ที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจของจีนยังชะลอตัวต่อเนื่องและตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่ถูกปรับลดน้ำหนักดัชนี MSCI Emerging Markets ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนไทยจะมีความผันผวนมากกว่าช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ลงทุนในช่วงนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวัง โดยการลงทุนใน REIT หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในไทยและยุโรปรวมถึงกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นทางเลือกที่น่าสนใจและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ในขณะเดียวกันการลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงก็เป็นทางเลือกที่มีโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าพอใจภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน

“เราประเมินว่าแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 2 ยังมีความผันผวน ปัจจัยที่ต้องติดตามคือเมื่อใกล้ถึงช่วงที่มีการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนนี้อาจเป็นแรงกดดันให้เกิดความกังวลต่อแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลต่อความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนรวมถึงการประชุมของคณะกรรมการนโยบายทางการเงินของแบงก์ชาติในเดือนพฤษภาคมนี้ มีความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หากปัญหาภัยแล้งฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมากกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยจะส่งผลกระทบต่อตลาดตลาดเงินตลาดทุนได้”

นายมนรัฐ กล่าวต่อว่า แม้บรรยากาศตลาดหุ้นไทยในปีนี้ยังต้องเผชิญกับความผันผวน แต่ในปีนี้ LHFund คาดการณ์จะเปิดตัวกองทุนใหม่รวมประมาณ 10-15 กอง เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุนที่ต้องการลงทุนและแสวงหาผลตอบแทนที่ดี โดยล่าสุดได้เปิดตัวกองทุนเปิดที่มีลักษณะเด่นในด้านการกระจายการลงทุน (Asset Allocation) 2 กองทุน คือ กองทุนเปิด แอล เอช อินคัม พลัส’ (LHIP) มูลค่ากองทุน 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสมที่มีนโยบายการลงทุนที่เน้นตราสารหนี้ หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นส่วนใหญ่ และอาจลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสูง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอ สำหรับลูกค้าที่ยอมรับความเสี่ยงได้ไม่สูงมากนัก

ส่วนกองทุนที่ 2 คือกองทุนเปิด แอล เอช สมาร์ท อินคัม (LHSMART) เป็นกองทุนรวมผสมเช่นกัน โดยมีมูลค่าโครงการที่เสนอขาย 2,000 ล้านบาท โดย LHSMART มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีหรือมีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลสูง หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่ แต่สามารถลงทุนในตราสารหนี้เพื่อเสริมสภาพคล่องหรือเพื่อลดความผันผวนของตลาดหุ้น เหมาะสำหรับลูกค้าที่สามารถยอมรับความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของราคาได้

อย่างไรก็ตาม กองทุนที่เปิดใหม่ทั้ง 2 กองทุนนี้มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงเพื่อจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหน่วยอย่างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับกองทุนอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว เช่น LHTPROP หรือ LHPROP-I

โดยทั้ง 2 กองทุนจะเปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน-10 พฤษภาคม 2559 ในราคาหน่วยละ 10 บาท และไม่กำหนดมูลค่าการซื้อขั้นต่ำในครั้งแรก นอกจากนี้ LHFund ยังอยู่ระหว่างพิจารณาการเปิดตัวกองทุนที่จะเข้าลงทุนใน REIT ที่จดทะเบียนในต่างประเทศเพิ่มเติมในอนาคตอีกด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น