โดย ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ
Dr.win@one-asset.com
หลังจากที่ตลาดจับตาในเรื่องของการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ มาโดยตลอดเพื่อคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางฯ ซึ่งปัจจุบันล่าสุดในการแถลงการณ์ของ นางเจเน็ต เยลเลน ต่อสมาชิกเศรษฐกิจนิวยอร์กในวันที่ 29 มี.ค. 59 ก็ได้ส่งสัญญาณการชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งจากถ้อยแถลงที่ระบุว่าจะยังดำเนินการแบบระมัดระวังในการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเนื่องจากตระหนักถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่เติบโตได้ตามที่คาด และอัตราเงินเฟ้อรวมทั้งตัวเลขการใช้จ่ายของภาคเอกชนเริ่มสะท้อนถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
ทำให้ตลาดเริ่มผ่อนคลายความกังวลดังกล่าวหลังจากที่ก่อนหน้าเพียงไม่กี่สัปดาห์ตลาดเริ่มกลับมากังวลอีกครั้งเนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจจีดีพีไตรมาสที่ 4/58 ที่แท้จริงที่ปรับการคาดการณ์ครั้งสุดท้ายขยายตัวได้กว่าที่คาดที่ 1.4% เทียบกับครั้งก่อนหน้าที่ 1.0% และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือน เม.ย. 59
กลับมาที่ผลกระทบต่อเนื่องจากถ้อยแถลงดังกล่าว ในแง่ของการลงทุนในหุ้น ผมมองว่าจะช่วยสนับสนุน Sentiment ของตลาดได้ในระยะสั้นเป็นอย่างน้อย เนื่องจากการชะลอขึ้นดอกเบี้ยฯ ดังกล่าวยังทำให้สินทรัพย์เสี่ยงมีความน่าสนใจต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น ขณะที่ในแง่ของ Fund Flow หรือเงินทุนต่างชาติเองก็ยังมีโอกาสไหลกลับเข้ามาหรือยังไม่ไหลออกไปจากตลาดหุ้นเอเชียในช่วงนี้ ซึ่งสำหรับในแง่ของตลาดหุ้นไทยนั้น ผมก็มองว่าได้อานิสงส์จากประเด็นนี้เช่นเดียวกัน
ในภาพของการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ผมมองว่ายังมีโอกาสปรับตัวขึ้นในลักษณะ sideway up แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปรับตัวขึ้นทุกๆ กลุ่ม ทุกๆ ขนาด เพราะปกติแล้วลักษณะของการเข้าของ Fund Flow จะให้ความสนใจลงทุนในหุ้นมาร์เกตแคปขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ แต่คาดว่าภายหลังจากที่ผ่านพ้นช่วงฤดูการจ่ายปันผลไปแล้ว หุ้นในกลุ่มขนาดกลาง-เล็ก น่าจะเริ่มกลับมาได้รับความน่าสนใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาหุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก
โดยสะท้อนจากดัชนี SET50 ตั้งแต่ต้นปี-ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ 30 มี.ค.) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.49% ซึ่งเป็นระดับที่เท่ากับ SET INDEX หุ้นขนาดใหญ่จึงมีโอกาสถูกกดดันด้วยปัจจัยด้านราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นมาพอสมควร
ขณะที่หุ้นขนาดกลาง-เล็ก ยังมีกลุ่มที่ปัจจัยพื้นฐานมีแนวโน้มเติบโตของกำไรมากกว่า 10% อยู่พอสมควร อาทิ หุ้นที่ได้ประโยชน์ในเชิงมหภาค เช่น กลุ่มการท่องเที่ยว รับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง และสำหรับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนผ่านกองทุนรวม ในช่วงนี้อาจเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในลักษณะกระจายการลงทุนทั้งหุ้นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก เนื่องจากช่วงนี้ยังมีเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น การเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายกระจายการลงทุนก็เพื่อไม่ให้เสียโอกาสลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ และไม่เสียโอกาสลงทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ในกรณีที่หุ้นขนาดใหญ่ราคาเริ่มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นครับ